หากใครที่มีบ้านเป็นของตัวเองหรือสร้างบ้านแล้วมีมากกว่า 1 ชั้น มักจะพบปัญหาในเรื่องของ “สัญญาณไวไฟไม่เสถียร” หรือบางบ้านก็พบเจอ “จุดอับสัญญาณ” ทำให้ไม่สามารถเล่นอินเทอร์เน็ตได้ และในยุคปัจจุบันที่อินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้มันเหมือนกับเป็นปัจจัยที่ 5 ที่ไม่สามารถขาดได้ แน่นอนว่าปัญหานี้สามารถพบเจอได้ทั่วไปแทบจะทุกบ้าน เรามาดูกันดีกว่าว่าเราจะแก้ไขกันได้อย่างไร
ก่อนจ้างผู้รับเหมาก่อสร้าง ต้องรู้อะไรบ้าง
สาเหตุที่ทำให้ Wifi ไม่ทั่วถึง

ภาพจาก : Freepik
สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ Wifi นั้นสัญญาณไม่ทั่วถึงหรือไม่ครอบคลุมบ้านของเราทุกหลังก็เนื่องมาจาก “ระยะสัญญาณ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลื่น 5G ที่จะเป็นคลื่นสั้นและมีใช้งานระยะสั้นกว่าเพียงแค่ประมาณ 5 เมตรเท่านั้นแบบไม่มีสิ่งกีดขวาง และยังพอใช้งานได้ในระยะ 35 เมตรแบบไม่มีสิ่งกีดขวางแต่จะเริ่มไม่ค่อยมีความเสถียรมากนักหากเกินกว่า 10 เมตรขึ้นไป
ส่วนคลื่น 2.4G เป็นคลื่นแบบยาว สามารถทะลุสิ่งกีดขวางได้ดีกว่าคลื่น 5G ใช้งานได้ในระยะ 75 เมตร ส่วนเรื่องความเสถียรควรเล่นในระยะไม่เกิน 15 เมตรสำหรับพื้นที่ที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง
*** ระยะที่เขียนเพียงแค่โดยเฉลี่ยเท่านั้น อาจจะน้อยหรือมากกว่านี้ ***
มาถึงตรงนี้แล้วสิ่งกีดขวางนั้นก็คือ “กำแพงและปูน” ที่แน่นอนว่าบ้านของคุณจะต้องมีสิ่งเหล่านี้อยู่แล้วแต่ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ ด้วยเหตุนี้เองเมื่อมีสิ่งกีดขวางก็จะทำให้คลื่นสัญญาณ Wifi ไม่สามารถครอบคลุมได้ทั้งบ้านเนื่องจากว่าบ้านของเรามีพวกกำแพงหรือปูนบดบังสัญญาณอยู่ เราจึงต้องใช้วิธีแก้เหล่านี้แทน
1. เลือกตำแหน่ง Router อย่างเหมาะสม

ภาพจาก : Freepik
คุณรู้หรือไม่ว่าตำแหน่งที่วาง Router มีผลอย่างมากต่อการกระจายสัญญาณ หลายคนมักวาง Router ไว้ในมุมที่ไม่เหมาะสม เช่น ใกล้ผนังหนา ใกล้พื้น หรือในตู้เก็บของ เพราะคิดว่ามันดูไม่สวยถ้าวางไว้กลางบ้าน
แต่จริง ๆ แล้ว Router ควรอยู่ในตำแหน่งที่เปิดโล่งและเป็นจุดศูนย์กลางของบ้าน เช่น ห้องนั่งเล่นหรือโถงกลางบ้าน เพื่อให้สัญญาณกระจายได้ทั่วถึง ควรวางให้ห่างจากกำแพงหรือวัตถุที่ทำจากโลหะ เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถบล็อกสัญญาณได้
เคล็ดลับเพิ่มเติม ถ้าบ้านของคุณมีหลายชั้น ควรวาง Router บนชั้นที่สองหรือจุดกึ่งกลางของบ้าน เพื่อให้สัญญาณกระจายได้ดีทั้งชั้นบนและชั้นล่าง แต่ถ้าหากคุณมองว่ากำแพงบ้านของคุณหนาเกินไปและใช้งานแล้วกลับพบว่าสัญญาณไม่มีความเสถียรเลยอาจจะต้องพิจารณาซื้อพวก Range Extender ติดตั้งเพิ่มเติม
2. ตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตของคุณ

บางครั้งปัญหาสัญญาณที่อ่อนอาจไม่ได้เกิดจาก Wi-Fi แต่เป็นที่ความเร็วอินเทอร์เน็ตของคุณเอง อาทิเช่น เกิดอาการเปิดเว็บไม่ขึ้น โหลดนานผิดปกติเมื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตในบริเวณเดิมจากที่เคยเล่นได้ ลองทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตด้วยเครื่องมือออนไลน์ เช่น Speedtest เพื่อดูว่าความเร็วที่ได้รับตรงกับแพ็กเกจที่คุณจ่ายหรือไม่
หากพบว่าความเร็วน้อยเกินไปไม่เพียงพอกับการใช้งานที่เหมาะสมกับคนในบ้าน อาจถึงเวลาที่คุณต้องพิจารณาอัปเกรดแพ็กเกจอินเทอร์เน็ต หรือติดต่อผู้ให้บริการเพื่อแก้ไขปัญหา
บางครั้งเมื่อเราเข้าเว็บไซต์ เว็บไซต์เหล่านั้นอาจจะจำกัดความเร็วของเน็ตเอาไว้ด้วยก็มี ทำให้ไม่สามารถใช้งานเน็ตได้เต็มกำลังเนื่องจากผู้ให้บริการของเว็บนั้นมีการจำกัดความเร็วเอาไว้ อันนี้เป็นเรื่องของฝั่งผู้ให้บริการเว็บไซต์ ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต
3. เปลี่ยนเสาอากาศ Router

ภาพจาก : Freepik
เสาอากาศของ Router ที่ให้มาพร้อมกับอุปกรณ์มักไม่ได้มีประสิทธิภาพสูงสุด ถ้าคุณพบว่าสัญญาณ Wi-Fi ไม่ครอบคลุม ลองเปลี่ยนเสาอากาศเป็นแบบที่สามารถรับ-ส่งสัญญาณได้ไกลขึ้น
อาจจะพิจารณาเลือกเสาอากาศแบบ High-Gain Antenna ที่มีความสามารถในการกระจายสัญญาณในระยะไกล และปรับองศาของเสาอากาศให้เหมาะสม จะช่วยให้สัญญาณกระจายได้ครอบคลุมมากขึ้น
เบื้องต้นสำหรับ Router รุ่นใหม่ๆ จากผู้ให้บริการหลายเจ้าก็ใช้เสาอากาศแบบ High – Gain Antenna อยู่แล้ว วิธีนี้อาจจะใช้กับ Router รุ่นเก่าๆ มากกว่า หากรู้สึกว่า Router ของคุณเก่ามากเกินไป ก็สามารถสอบถามกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตที่คุณใข้งานอยู่เพื่อติดต่อขอเปลี่ยนได้เหมือนกัน
4. ใช้ Wi-Fi Range Extender

ภาพจาก : Wavlink
ถ้าบ้านของคุณมีพื้นที่ใหญ่และมีหลายห้อง อาจเป็นเรื่องยากที่ Router ตัวเดียวจะครอบคลุมทุกจุด ลองใช้ Wi-Fi Range Extender หรืออุปกรณ์ขยายสัญญาณ Wi-Fi ที่ช่วยเพิ่มระยะครอบคลุมของสัญญาณในบ้าน
วิธีใช้งานง่ายมาก เพียงติดตั้ง Range Extender ในบริเวณที่สัญญาณเริ่มอ่อน และอุปกรณ์จะช่วยขยายสัญญาณให้ครอบคลุมพื้นที่ที่เหลือ แต่ข้อเสียคือความเร็วอาจจะลดลงเพราะตัว Range Extender จำเป็นจะต้องดึงสัญญาณจาก Router หลักมาใช้และทำการขยายให้ ซึ่งนั่นก็จะทำให้ความเร็วที่ออกมาลดลงด้วย
5. ติดตั้งระบบ Mesh Wi-Fi

ภาพจาก : Wavlink
ถ้าบ้านของคุณมีขนาดใหญ่มาก หรือมีหลายชั้น การใช้ Router หรือ Range Extender อาจยังไม่เพียงพอ ลองเปลี่ยนมาใช้ระบบ Mesh Wi-Fi ซึ่งเป็นโซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อกระจายสัญญาณทั่วบ้าน
ข้อได้เปรียบของ Mesh Wi-Fi คือการทำงานร่วมกันของอุปกรณ์ทุกตัวในเครือข่ายผ่านเทคโนโลยีที่เรียกว่า “Mesh Networking” ทำให้ทุก Node สามารถสื่อสารกับกันและกันได้โดยตรง ไม่จำกัดแค่การเชื่อมต่อกับเราเตอร์หลักเท่านั้น ส่งผลให้สัญญาณมีความเสถียร แม้ใช้งานในพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น บ้านหลายชั้นหรือสำนักงานขนาดใหญ่
6. ทำ Access Point

ภาพจาก : MATE
Access Point (AP) คืออุปกรณ์ที่ใช้กระจายสัญญาณ Wi-Fi ให้กับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟน แล็ปท็อป หรือแท็บเล็ต โดยทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายแบบมีสาย (LAN) กับเครือข่ายไร้สาย (Wi-Fi) Access Point มักใช้ในสถานที่ที่ต้องการขยายการเข้าถึงสัญญาณ Wi-Fi ให้ครอบคลุมพื้นที่กว้างขึ้น หรือในกรณีที่เราเตอร์เพียงตัวเดียวไม่สามารถส่งสัญญาณได้ทั่วถึง
ในกรณีนี้หากคุณมี Router เก่าที่ไม่ได้ใช้งานก็สามารถเอามาทำ Access Point ได้ โดยการตั้งค่าเราเตอร์เก่าให้ทำหน้าที่เป็น Access Point แทนการทำงานเป็นเราเตอร์ วิธีการทำงานคือปิดการทำงานของ DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol) บนเราเตอร์เก่า จากนั้นเชื่อมต่อเราเตอร์เก่าเข้ากับเครือข่ายหลักผ่านสาย LAN ซึ่งจะช่วยให้เราเตอร์เก่ากระจายสัญญาณ Wi-Fi ในลักษณะเดียวกับ Access Point
วิธีนี้จำเป็นจะต้องเดินสาย LAN เพิ่มเติมในจุดที่เราจะเอาไปวาง เพื่อต่อเข้ากับ Router ที่จะมาทำเป็น Access Point
7. อัปเกรดอุปกรณ์ Router ให้ทันสมัย
Router รุ่นเก่ามักไม่สามารถรองรับความเร็วอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ หรือมีข้อจำกัดในการกระจายสัญญาณ ถ้าคุณใช้ Router ที่มีอายุมากกว่า 5 ปี อาจถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ที่รองรับเทคโนโลยี Wi-Fi 6 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่า และสามารถส่งสัญญาณได้เสถียรกว่าเดิม
8. เปลี่ยนช่องสัญญาณ (Channel) ของ Wi-Fi

ภาพจาก : Teltonika Network Wiki
Wi-Fi มีหลายช่องสัญญาณ (Channel) ให้เลือกใช้ บางครั้งปัญหาสัญญาณช้าอาจเกิดจากการที่ Router ของคุณใช้ช่องสัญญาณเดียวกับของเพื่อนบ้าน ทำให้เกิดการรบกวนกันได้เหมือนกัน
ลองเปลี่ยนช่องสัญญาณในแอปพลิเคชันหรือหน้าการตั้งค่าของ Router เลือกช่องที่มีการใช้งานน้อยที่สุด (สามารถใช้แอปพลิเคชัน Wi-Fi Analyzer เพื่อช่วยตรวจสอบได้)
9. ลดการรบกวนจากอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น
อุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ไมโครเวฟ โทรศัพท์ไร้สาย สามารถรบกวนสัญญาณ Wi-Fi ได้ โดยเฉพาะถ้าคุณใช้ความถี่ 2.4 GHz ซึ่งมักจะถูกรบกวนง่าย
หากเป็นไปได้ ให้ย้ายอุปกรณ์เหล่านี้ออกห่างจาก Router และเปลี่ยนไปใช้ความถี่ 5 GHz แทน (หาก Router ของคุณรองรับ)
10. รีเซ็ต Router บ้าง

ภาพจาก : Freepik
แม้ว่า Router จะถูกออกแบบมาให้ใช้ได้อย่างต่อเนื่องตลอด 24/7 แต่เราก็ควรรีเซ็ต Router เป็นครั้งคราวบ้าง เพราะ Router ที่ทำงานต่อเนื่องนานเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาสัญญาณไม่เสถียร การรีเซ็ตจะช่วยล้าง Cache ที่ค้างอยู่ และทำให้ Router กลับมาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง อาจจะทำสัก 6 เดือนครั้งก็ได้เช่นกัน
สรุป
ปัญหาสัญญาณ Wi-Fi ในบ้านไม่ทั่วถึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องทนอยู่กับมัน การแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพียงแค่คุณเริ่มต้นจากการปรับตำแหน่ง Router หรือใช้อุปกรณ์เสริมอย่าง Mesh Wi-Fi และ Range Extender หรือหากคุณมี Router ตัวเก่าก็อาจจะมาทำ Access Point ก็ได้หากจุดอื่นๆ ของบ้านคุณมีการเดินสาย LAN เอาไว้แล้ว รวมถึงตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตอย่างสม่ำเสมอ
ลองทำตามวิธีที่เราแนะนำ แล้วคุณจะพบว่าการใช้งาน Wi-Fi ในบ้านดีขึ้นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของบ้านก็สามารถเชื่อมต่อได้อย่างลื่นไหล สบายใจหายห่วง