แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

เวลาคนจะทาสีบ้าน ไม่ใช่แค่เลือกสีให้สวยหรือเข้ากับสไตล์บ้านอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว เพราะทุกวันนี้สีทาบ้านพัฒนาไปไกลมาก มีคุณสมบัติเฉพาะทางที่ตอบโจทย์การใช้งานและแก้ปัญหาของบ้านเมืองร้อนชื้นอย่างบ้านเราได้ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความร้อน ความชื้น เชื้อรา คราบสกปรก หรือแม้แต่เรื่องความปลอดภัย สีบางชนิดก็จัดการได้หมด ดังนั้นการเลือกสีทาบ้านจึงควรดูให้ลึกกว่าความสวยงามภายนอก เราควรรู้ว่าสีนั้นๆ มีคุณสมบัติพิเศษอะไรบ้าง แล้วใช้ให้ตรงจุด ถึงจะคุ้มค่าทั้งเงินและเวลา วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 9 สีทาบ้านที่ไม่ได้มีดีแค่สีสัน แต่ยังซ่อนคุณสมบัติพิเศษที่หลายคนอาจยังไม่รู้ พร้อมแนะนำส่วนที่ทาบ้าน

1. สีกันร้อน

บ้านในเมืองไทยต้องเจอแดดจัดแทบตลอดปี ความร้อนสะสมที่ผนังและหลังคาส่งผลให้ภายในบ้านร้อนอบอ้าวมากกว่าที่ควรจะเป็น นี่แหละคือจุดที่ “สีกันร้อน” เข้ามาช่วยได้ สีกันร้อนหรือสีสะท้อนความร้อน มักมีสารสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นพิเศษ ช่วยลดอุณหภูมิผิวของพื้นผิวที่ทา และลดภาระการทำงานของแอร์ได้จริง ใช้แล้วบ้านเย็นขึ้นแบบรู้สึกได้ เหมาะสำหรับทาที่ผนังภายนอกบ้าน หลังคา และฝ้าเพดานด้านนอก โดยเฉพาะด้านที่โดนแดดเต็มๆ อย่างทิศใต้หรือทิศตะวันตก

สีกันร้อนถูกออกแบบมาให้มีคุณสมบัติสะท้อนรังสีอินฟราเรด (Infrared) จากแสงแดด ไม่ให้ความร้อนทะลุผ่านเข้าสู่ตัวอาคารมากเกินไป ลดอุณหภูมิภายในบ้านได้เฉลี่ย 2-5 องศาเซลเซียส แถมยังช่วยลดการใช้พลังงานจากเครื่องปรับอากาศลงได้ด้วย สีบางยี่ห้อยังเคลมว่าสามารถลดอุณหภูมิพื้นผิวลงได้ถึง 10 องศาเลยทีเดียว

2. สีกันรั่วซึม

ปัญหาน้ำรั่ว น้ำซึมสร้างความเสียหายให้บ้านได้มากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นผนังปูนแตกลายงา น้ำซึมเข้าผนัง หรือเพดานชื้นจนเชื้อราขึ้น วิธีป้องกันปัญหาเหล่านี้คือการใช้ “สีกันรั่วซึม” ซึ่งมักมีลักษณะเป็นเนื้อฟิล์มยืดหยุ่นสูง ช่วยอุดรอยแตกร้าวขนาดเล็กได้ดี และไม่ให้ความชื้นแทรกผ่านพื้นผิวเข้าไปข้างใน เหมาะอย่างยิ่งกับบริเวณดาดฟ้า ระเบียง ผนังภายนอก และผนังห้องน้ำที่ต้องสัมผัสกับความชื้นบ่อยๆ

สีกันรั่วซึมมีส่วนผสมของวัสดุยืดหยุ่น (เช่น Acrylic หรือ Polyurethane) ที่สามารถปิดรอยแตกร้าวขนาดเล็กได้ดี และไม่ให้ความชื้นแทรกผ่านเข้าไป เหมาะสำหรับปกป้องพื้นผิวภายนอกที่ต้องเผชิญกับฝนฟ้าตลอดทั้งปี สีประเภทนี้บางรุ่นยังสามารถยืดหยุ่นได้มากถึง 400% ทำให้รอยแตกร้าวเล็ก ๆ ถูกกลบมิดอย่างแนบเนียน

และก่อนที่จะทาสีกันรั่วซึม ควรตรวจสอบรอยแตกร้าวให้ดี และซ่อมแซมก่อนทาสีชนิดนี้ เพราะสีจะช่วยกันน้ำได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ถ้ารอยร้าวใหญ่ สีอย่างเดียวเอาไม่อยู่แน่นอน นอกจากนี้ควรทาอย่างน้อย 2-3 รอบ และใช้แปรงหรือลูกกลิ้งแบบพิเศษเพื่อให้เนื้อสีเคลือบแน่นเต็มพื้นที่

3. สีกันเชื้อรา/ตะไคร่

สีประเภทนี้จะมีสารเคมีที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ เช่น เชื้อรา ตะไคร่น้ำ และแบคทีเรียต่าง ๆ มักเป็นสีทาอะคริลิคที่มีส่วนผสมของสารฟลูออโรโพลิเมอร์ (Fluoropolymer) หรือซิลเวอร์นาโน ที่ไม่เพียงแต่ป้องกันเชื้อราแต่ยังช่วยให้ผนังทำความสะอาดง่ายขึ้น ซึ่งก็แล้วแต่คุณสมบัติของแต่ละยี่ห้อด้วยที่อาจจะมีเพิ่มเติมในด้านอื่นๆ อีก

ในพื้นที่ที่มีความชื้นสูงอย่างภาคใต้ของไทย หรือบ้านที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ มักเจอปัญหาเชื้อรา ตะไคร่เขียวจับผนังไวกว่าในพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ใกล้แหล่งน้ำหรือทะเล ทำให้บ้านดูเก่าและไม่น่าอยู่ สีที่มีสารป้องกันเชื้อราและตะไคร่จึงกลายเป็นตัวช่วยที่ขาดไม่ได้ สีประเภทนี้จะช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อราและตะไคร่ได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้ทั้งหมด ซึ่งจะช่วยให้ผนังบ้านสะอาดและดูใหม่อยู่เสมอ เหมาะกับผนังภายนอกบ้านโดยเฉพาะส่วนที่โดนฝนสาดบ่อย เช่น ด้านลมฝน ผนังใกล้สวน หรือรั้วบ้าน

4. สีทำความสะอาดตัวเอง

สีชนิดนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากล้างผนังบ้านบ่อยๆ เพราะมันสามารถทำความสะอาดตัวเองได้จริง ฟังดูเหมือนเว่อร์แต่มีอยู่จริง สีทำความสะอาดตัวเองหรือ Self-Cleaning Paint จะมีโครงสร้างพิเศษที่ทำให้ฝุ่น น้ำฝน และคราบสกปรกไม่เกาะผนัง เมื่อมีฝนตกหรือล้างน้ำเบาๆ ก็สามารถชะล้างคราบออกไปได้ง่าย สีลักษณะนี้เหมาะกับผนังภายนอกอาคาร โดยเฉพาะบ้านที่อยู่ใกล้ถนนใหญ่หรือแหล่งฝุ่นควัน เพราะคราบมันจะทำให้ตึกหรือโครงสร้างด้านนอกบ้านของเราไม่สวยงาม ดังนั้นสีชนิดนี้จึงเหมาะอย่างมากในการทาสีบ้านภายนอก

5. สีป้องกันคราบ

ต่างจากสีทำความสะอาดตัวเอง สีป้องกันคราบจะเน้นเรื่องการป้องกันคราบฝังแน่น เช่น คราบมือ คราบอาหาร คราบน้ำมัน หรือแม้แต่รอยปากกา สีประเภทนี้มักมีฟิล์มเคลือบผิวที่เรียบลื่นพิเศษ ซึ่งช่วยไม่ให้สิ่งสกปรกฝังแน่นจนเช็ดไม่ออก สีบางรุ่นยังสามารถเช็ดด้วยน้ำเปล่าหรือผ้าหมาดได้เลยโดยไม่ทิ้งรอย ทำให้ดูแลรักษาผนังได้ง่าย เหมาะมากกับภายในบ้าน โดยเฉพาะผนังห้องครัว ห้องเด็ก ห้องน้ำ ห้องทำงาน หรือบริเวณที่มือจะจับบ่อยอย่างบันได โถงทางเดิน หรือแม้แต่ผนังรอบสวิตช์ไฟที่มักจะเปื้อนง่าย

6. สีป้องกันเชื้อแบคทีเรีย

สีทาภายในบ้านที่ผสมสารต้านเชื้อแบคทีเรีย กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในยุคที่คนใส่ใจสุขภาพ เพราะสามารถลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่สัมผัสกับพื้นผิวผนังได้จริง โดยเฉพาะในบ้านที่มีเด็กเล็ก คนชรา หรือผู้ป่วย ซึ่งภูมิคุ้มกันอาจอ่อนแอ สีประเภทนี้ยังช่วยลดโอกาสในการแพร่กระจายของเชื้อโรคในบริเวณที่คนใช้ร่วมกันบ่อย เช่น ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น รวมถึงโรงพยาบาล คลินิก ศูนย์เด็กเล็ก หรือแม้แต่ในคอนโดมิเนียมหรืออาคารสำนักงานก็เริ่มใช้มากขึ้น

7. สีลดกลิ่น

เวลาทาสีบ้านใหม่ กลิ่นฉุนจากสีถือเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับหลายคน โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็ก คนแพ้ง่าย หรือสัตว์เลี้ยง สีลดกลิ่นหรือสีไร้กลิ่น (Low Odor หรือ Odorless Paint) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลดปริมาณสาร VOC ที่เป็นต้นตอของกลิ่นฉุนและปัญหาสุขภาพต่างๆ สีประเภทนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับทาภายในบ้าน เช่น ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน หรือแม้แต่ห้องเด็กทารก โดยไม่ต้องรอหลายวันให้กลิ่นจางถึงจะเข้าอยู่ได้

8. สีป้องกันไฟ

สีประเภทนี้มักใช้ในอาคารใหญ่หรือโครงสร้างที่ต้องการความปลอดภัยสูง แต่จริงๆ แล้วบ้านทั่วไปก็สามารถเลือกใช้ได้ สีป้องกันไฟ (Fire Retardant Paint) จะทำหน้าที่ชะลอการลุกไหม้ของไฟบนพื้นผิววัสดุต่างๆ เช่น ไม้ เหล็ก หรือปูน เมื่อโดนไฟจะเกิดชั้นโฟมปกคลุมผิวหน้าที่ช่วยยับยั้งการลามไฟ เหมาะกับทาผนังด้านใน ใต้บันได หรือบริเวณที่ต้องการเสริมความปลอดภัย เช่น ห้องเก็บของหรือโรงจอดรถ

9. สีสะท้อนแสง

สีสะท้อนแสงมีจุดเด่นคือความสามารถในการเรืองแสงในที่มืด หรือสะท้อนแสงไฟเมื่อโดนแสงสว่าง เช่น แสงไฟจากรถยนต์หรือไฟฉาย ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในพื้นที่ที่มีแสงน้อยหรือตอนกลางคืน สีประเภทนี้เหมาะอย่างยิ่งกับการทาขอบบันได ขอบประตู ทางเดินรอบบ้าน รั้วโรงรถ หรือแม้แต่ทางเดินในสวนเพื่อให้มองเห็นได้ง่าย นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้กับโรงจอดรถ ห้องเก็บของ หรือพื้นที่ใต้ถุนบ้านที่แสงเข้าถึงยาก ทำให้พื้นที่เหล่านี้ปลอดภัยและสะดวกยิ่งขึ้น

สรุป

จะทาสีบ้านทั้งที อย่าดูแค่สีสวยหรือยี่ห้อดัง ลองถามตัวเองก่อนว่า “เราต้องการคุณสมบัติอะไรจากสีทาบ้านบ้าง” เพราะทุกวันนี้ สีมีให้เลือกมากกว่าที่คิด ทั้งกันร้อน กันชื้น กันคราบ และอีกสารพัดความสามารถ ลองเลือกใช้ให้ตรงกับปัญหาหรือสภาพแวดล้อมของบ้านคุณ รับรองว่าคุ้มค่าทุกหยดสี และบ้านคุณจะอยู่สบาย ปลอดภัย และดูดีได้นานกว่าที่เคยแน่นอน


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย