เมื่อเราพูดถึงการสร้างบ้านหรือปรับปรุงที่อยู่อาศัย หนึ่งในหัวข้อที่มักถูกมองข้ามแต่กลับมีความสำคัญอย่างยิ่งคือ “ระบบกันซึม” ระบบกันซึมเป็นกระบวนการหรือวัสดุที่ใช้เพื่อป้องกันน้ำหรือความชื้นไม่ให้ซึมผ่านเข้าสู่โครงสร้างของอาคาร เช่น ผนัง พื้นดาดฟ้า หลังคา และชั้นใต้ดิน ความเสียหายจากน้ำที่เข้าสู่ตัวบ้านโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจนำไปสู่ปัญหาโครงสร้าง ผิววัสดุที่เสื่อมสภาพ หรือแม้กระทั่งการสะสมของเชื้อราและแบคทีเรียที่อาจส่งผลต่อสุขภาพผู้อยู่อาศัยในระยะยาวได้
ความสำคัญของกันซึมในบ้าน
ระบบกันซึมถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยปกป้องบ้านจากปัญหาน้ำและความชื้น ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลหรือป้องกันอย่างเหมาะสม อาจก่อให้เกิดความเสียหายในหลายมิติ ทั้งในเรื่องโครงสร้าง สุขภาพของผู้อยู่อาศัย รวมถึงค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมในอนาคต โดยประโยชน์หลักๆ ของกันซึมก็จะมี
ปกป้องโครงสร้างบ้าน
โครงสร้างบ้านเป็นเหมือนกระดูกสันหลังที่ทำให้บ้านมั่นคงและปลอดภัย การที่น้ำหรือความชื้นซึมเข้าสู่โครงสร้าง เช่น คอนกรีตหรือเหล็กเสริมในเสาและพื้น สามารถทำให้โครงสร้างอ่อนแอลง น้ำสามารถก่อให้เกิดการสึกกร่อนในเหล็กเสริม หรือทำให้คอนกรีตเกิดรอยร้าวและเสียหาย เมื่อปัญหาสะสมในระยะยาว อาจนำไปสู่ความเสียหายใหญ่โต เช่น การทรุดตัวหรือการพังทลายของตัวอาคาร ระบบกันซึมจึงมีบทบาทสำคัญในการป้องกันน้ำไม่ให้เข้าสู่ชั้นโครงสร้าง ช่วยยืดอายุการใช้งานของบ้าน และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ลดความเสี่ยงจากเชื้อราและแบคทีเรีย
ความชื้นและน้ำที่สะสมในตัวบ้านหรือบริเวณผิวโครงสร้าง เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่เหมาะสมสำหรับเชื้อราและแบคทีเรีย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการระบายอากาศไม่ดี เช่น ห้องน้ำ พื้นที่ใต้ดิน หรือมุมอับในบ้าน การสะสมของเชื้อราไม่เพียงแต่ทำให้บ้านดูไม่น่าอยู่และมีกลิ่นอับเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการแพ้หรือโรคทางเดินหายใจ การติดตั้งระบบกันซึมที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นการช่วยป้องกันปัญหานี้ตั้งแต่ต้น
ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม
การซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากการรั่วซึมของน้ำมักมีค่าใช้จ่ายสูงมาก และอาจทำให้ผู้อยู่อาศัยต้องเสียเวลามากกว่าการดูแลป้องกันตั้งแต่ต้น การเกิดปัญหารอยร้าวในผนังหรือพื้น การบวมพองของสีหรือกระเบื้อง รวมถึงการเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ที่เสียหายจากน้ำ ล้วนเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด แต่สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการติดตั้งระบบกันซึมตั้งแต่ระยะแรกของการก่อสร้างบ้าน หรือในช่วงที่เริ่มพบปัญหา
ผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อขาดระบบกันซึม
การละเลยหรือขาดกันซึมในบ้านอาจส่งผลกระทบต่อทั้งโครงสร้างบ้าน สุขภาพของผู้อยู่อาศัย และมูลค่าทรัพย์สินโดยรวมในระยะยาว ปัญหาที่เกิดจากการรั่วซึมของน้ำมักไม่ปรากฏให้เห็นในทันที แต่จะสะสมและสร้างความเสียหายที่รุนแรงขึ้นตามกาลเวลา นี่คือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากบ้านขาดกันซึมที่เหมาะสม
รอยร้าวและการทรุดตัวของโครงสร้าง
หากไม่มีระบบกันซึม น้ำสามารถแทรกซึมเข้าไปในรอยต่อหรือรอยแตกของโครงสร้างได้ เมื่ออุณหภูมิลดลง น้ำเหล่านี้จะกลายเป็นน้ำแข็งและขยายตัว ทำให้เกิดรอยร้าวที่ใหญ่ขึ้นในระยะยาว
ปัญหาสุขภาพของผู้อยู่อาศัย
บ้านที่มีความชื้นสูงมักส่งผลกระทบต่อสุขภาพผู้อยู่อาศัยในหลายรูปแบบ เช่น การเกิดเชื้อราที่ผนังหรือพื้น อาจทำให้ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้ หรือหอบหืด มีอาการรุนแรงขึ้น
การเสื่อมสภาพของวัสดุตกแต่งภายใน
เฟอร์นิเจอร์ พื้นไม้ลามิเนต หรือวัสดุที่ใช้ในการตกแต่งภายในอาจเสียหายได้จากการดูดซึมน้ำหรือความชื้น เช่น การพองตัวของพื้นไม้ หรือการลอกล่อนของสีผนัง
จุดสำคัญที่ควรติดตั้งกันซึม
กันซึมไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องบ้านจากปัญหาความชื้น แต่ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งในพื้นที่เฉพาะที่มักเผชิญกับน้ำและความชื้นโดยตรง เช่น ดาดฟ้า หลังคา ห้องน้ำ พื้นที่เปียก และชั้นใต้ดิน การป้องกันน้ำซึมในตำแหน่งเหล่านี้ช่วยลดปัญหาการเสื่อมสภาพของวัสดุและป้องกันการสะสมของความชื้นที่อาจสร้างความเสียหายระยะยาว
ตัวอย่างเช่น ดาดฟ้าและหลังคาเป็นพื้นที่ที่เผชิญกับน้ำฝนและแสงแดดตลอดเวลา การติดตั้งกันซึมในส่วนนี้ไม่เพียงช่วยลดปัญหาการรั่วซึม แต่ยังช่วยป้องกันการเกิดรอยร้าวและการสะสมของน้ำที่อาจสร้างปัญหาต่อโครงสร้างได้ ในส่วนของห้องน้ำและพื้นที่เปียกซึ่งมักมีการใช้งานน้ำอย่างต่อเนื่อง หากไม่มีการป้องกันน้ำซึม น้ำอาจไหลลงไปยังชั้นล่างหรือซึมเข้าสู่ผนัง ส่งผลให้วัสดุตกแต่ง เช่น สีหรือกระเบื้องเกิดความเสียหาย
สำหรับชั้นใต้ดินและฐานราก ระบบกันซึมมีบทบาทสำคัญในการป้องกันน้ำใต้ดินที่อาจซึมเข้ามาสู่ตัวบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีฝนตกชุกหรือระดับน้ำใต้ดินสูง การป้องกันน้ำในส่วนนี้ช่วยให้โครงสร้างบ้านคงทนและปลอดภัยจากปัญหาที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของอาคาร
การใส่ใจในตำแหน่งสำคัญที่ควรติดตั้งระบบกันซึมจึงเป็นสิ่งที่เจ้าของบ้านทุกคนควรให้ความสำคัญ เพื่อปกป้องบ้านและยืดอายุการใช้งานในระยะยาวให้กับบ้านของเรา
ถ้าหากว่าบ้านของคุณอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ก็อย่าลืมตรวจสอบเรื่องกันซึมให้เรียบร้อย เพราะถ้าหากว่าช่างไม่ได้ทำกันซึมตามจุดสำคัญต่างๆ นั่นก็อาจจะทำให้ต้องเสียเวลาย้อนกลับมาแก้ไข หรืออย่างในห้องน้ำถ้าไม่ได้ทำกันซึมแต่มีการปูกระเบื้องเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วก็อาจจะต้องรื้อขึ้นมาใหม่เพื่อทากันซึมได้
ทริคเล็กๆ น้อยๆ จากบ้านเพื่อนการช่าง
ทดสอบการกันซึมในห้องน้ำด้วยการเปิดน้ำให้ล้นบริเวณห้องน้ำ เพื่อตรวจสอบว่ามีน้ำซึมออกมาจากพื้นห้องน้ำหรือไม่ อาจจะใช้เวลาสัก 1 – 2 วันเพื่อดูว่ากันซึมที่ทาไว้หรือติดตั้งเอาไว้สามารถใช้งานได้จริงหรือไม่
ประเภทของวัสดุกันซึม
วัสดุกันซึมในปัจจุบันก็มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบสำเร็จรูปหรือคอนกรีตผสมกันซึม ซึ่งวัสดุกันซึมแต่ละอย่างก็เหมาะสมกับสิ่งปลูกสร้างหรือจุดติดตั้งกันซึมไม่เหมือนกัน โดยกันซึมในปัจจุบันที่นิยมใช้ก็อาทิเช่น
กันซึมแบบทาสี (Liquid Waterproofing)
เป็นการใช้วัสดุเคลือบที่มีลักษณะเป็นของเหลว เช่น อะคริลิก โพลียูรีเทน หรือซีเมนต์โมดิฟายด์ วิธีนี้เหมาะกับพื้นผิวที่ไม่เรียบ เช่น ดาดฟ้าหรือพื้นห้องน้ำ
กันซึมแบบแผ่น (Sheet Membrane)
วัสดุกันซึมชนิดแผ่น เช่น แผ่นบิทูเมนหรือพีวีซี ถูกนำมาติดตั้งบนพื้นหรือผนังเพื่อป้องกันการรั่วซึม นิยมใช้ในงานดาดฟ้าหรือชั้นใต้ดิน
ระบบกันซึมด้วยซีเมนต์ (Cementitious Waterproofing)
ระบบนี้เหมาะสำหรับการติดตั้งในพื้นที่ชื้น เช่น ห้องน้ำหรือชั้นใต้ดิน เพราะวัสดุซีเมนต์โมดิฟายด์มีความทนทานต่อความชื้นและแรงดันน้ำได้ดี
กันซึมแบบโพลีเมอร์ (Polymer-Based Waterproofing)
วัสดุที่มีโพลีเมอร์เป็นส่วนประกอบ เช่น อีพ็อกซี่หรือซิลิโคน มีความยืดหยุ่นสูงและทนต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง นิยมใช้ในงานหลังคา ดาดฟ้า หรือพื้นที่ที่ต้องเผชิญกับความร้อนและความชื้น
นอกจาก 4 อย่างนี้แล้วยังมีวัสดุอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งนี้คุณอาจจะต้องศึกษารายละเอียดแต่ละตัวเพื่อความเหมาะสมกับบ้านของคุณ หรืออาจจะปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลบ้านของคุณก็ได้เช่นกันเพื่อสอบถามและช่วยให้คำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสมได้
การเลือกใช้ระบบกันซึมที่เหมาะสม
การเลือกระบบกันซึมที่เหมาะสมกับพื้นที่และลักษณะการใช้งานเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้บ้านปลอดภัยจากปัญหาความชื้นและน้ำรั่วซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพิจารณาระบบกันซึมต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ทั้งสภาพแวดล้อม วัสดุ และงบประมาณ เพื่อให้การติดตั้งและใช้งานเป็นไปอย่างคุ้มค่าและยาวนาน
คำนึงถึงลักษณะการใช้งาน
การเลือกวัสดุกันซึมควรพิจารณาตามพื้นที่และความต้องการ เช่น ห้องน้ำควรใช้วัสดุที่ทนต่อความชื้นสูง ส่วนหลังคาควรใช้วัสดุที่ทนต่อแสงแดดและอุณหภูมิเปลี่ยนแปลง
งบประมาณ
ราคาของวัสดุกันซึมแตกต่างกันไปตั้งแต่วัสดุราคาถูกจนถึงวัสดุระดับพรีเมียม ควรเลือกให้เหมาะสมกับงบประมาณและความต้องการในระยะยาว
การติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญ
การติดตั้งระบบกันซึมที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อลดความผิดพลาดและเพิ่มอายุการใช้งานของวัสดุ
สรุป
ระบบกันซึมเป็นองค์ประกอบที่ไม่ควรมองข้ามในการดูแลบ้าน ไม่เพียงแค่ช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย การเลือกใช้วัสดุกันซึมและการติดตั้งที่เหมาะสมกับพื้นที่ต่างๆ ของบ้านจะช่วยปกป้องบ้านให้คงทนและน่าอยู่ไปอีกหลายปี
ดังนั้น ไม่ว่าคุณกำลังวางแผนสร้างบ้านใหม่หรือปรับปรุงบ้านเก่า อย่าลืมให้ความสำคัญกับ “กันซึม” เพื่อสร้างบ้านที่มั่นคงและปลอดภัยสำหรับทุกคนในครอบครัว