แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

สำหรับหลายคน การสร้างบ้านคือการลงหลักปักฐานครั้งใหญ่ของชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำกันบ่อย ๆ และแน่นอนว่า เมื่อจะลงทุนลงแรงสร้างสิ่งที่สำคัญถึงเพียงนี้ การคิดและวางแผนให้รอบคอบจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่สุด บางคนเลือกปรึกษาสถาปนิก บางคนใช้บริการผู้รับเหมาที่มีประสบการณ์ แต่ก็มีคนไม่น้อยที่ตัดสินใจหันไปพึ่ง “ชินแส” เพื่อความสบายใจ ความเป็นสิริมงคล และความมั่นคงในอนาคต

คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นตามมาคือ เมื่อมีทั้ง “ชินแส” ที่เน้นศาสตร์ฮวงจุ้ย และ “ผู้รับเหมา” ที่เน้นเรื่องโครงสร้างวิศวกรรม สองฝ่ายนี้สามารถทำงานร่วมกันได้หรือไม่ หรือว่ากลับกลายเป็นสิ่งที่สวนทางกันโดยสิ้นเชิง บทความนี้จะพาหาคำตอบอย่าง พร้อมสะท้อนประสบการณ์จริงของการสร้างบ้านแบบที่ “ศาสตร์ฮวงจุ้ย” กับ “ความเป็นวิศวกรรม” เดินไปด้วยกันได้

ชินแสกับบทบาทในการสร้างบ้าน

“ชินแส” เป็นคำใช้เรียกบุคคลที่มีความรู้ในศาสตร์ฮวงจุ้ย โหงวเฮ้ง และดวงชะตา ชินแสมักจะถูกเรียกมาช่วยตรวจสอบทิศทาง วางตำแหน่งห้องต่าง ๆ กำหนดจุดประตู จุดเตาไฟ จุดห้องน้ำ หรือแม้แต่วันที่จะเริ่มก่อสร้าง หลายคนเชื่อว่าการวางผังบ้านให้ถูกกับธาตุของเจ้าของบ้านและทิศทางพลังงานในธรรมชาติจะช่วยให้ชีวิตสงบสุข ธุรกิจเจริญรุ่งเรือง และมีโชคลาภ

เมื่อพูดถึงการสร้างบ้านโดยมีชินแสเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนมากเจ้าของบ้านจะเลือกเรียกชินแสตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้น เช่น ตรวจที่ดิน ดูทิศทางลม ตรวจตำแหน่งที่ควรสร้าง และเสนอแนะแนวทางวางแปลนเบื้องต้น ชินแสบางคนอาจแนะนำสีของบ้าน ทิศทางของหน้าต่างหรือประตู หรือแม้แต่ตำแหน่งของบ่อน้ำในบ้านด้วย

หน้าที่ของชินแสไม่ได้มาแทนที่ผู้ออกแบบหรือผู้รับเหมา แต่จะเป็นอีกหนึ่งเสียงที่เจ้าของบ้านใช้ประกอบการตัดสินใจ ซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อ ความศรัทธา และความสบายใจของแต่ละบุคคล

ผู้รับเหมา กับหน้าที่ตามหลักการวิศวกรรม

ในอีกด้านหนึ่งของกระบวนการก่อสร้าง “ผู้รับเหมา” มีบทบาทสำคัญในเรื่องของการก่อสร้างจริง ตั้งแต่เตรียมพื้นที่ วางโครงสร้าง คำนวณแรงดันของดิน การตอกเสาเข็ม วางระบบไฟฟ้า ระบบประปา และโครงสร้างทั้งหมดของบ้านโดยอิงจากหลักการทางวิศวกรรม

ผู้รับเหมามักจะใช้แปลนที่ออกแบบโดยสถาปนิกหรือวิศวกร และเมื่อมีการปรับแปลนหรือเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง เช่น ตำแหน่งห้องหรือตัวอาคาร ก็จำเป็นต้องพิจารณาทั้งเรื่องความแข็งแรงของโครงสร้าง และผลกระทบที่จะตามมา เช่น ระบบน้ำ ระบบไฟ หรือแม้แต่ระยะถอยร่นตามกฎหมาย

ดังนั้น ผู้รับเหมาไม่ได้ทำงานบนความเชื่อหรือพลังงานที่มองไม่เห็น แต่ทำงานบนพื้นฐานของความเป็นจริง วัดได้ ชั่งได้ และคำนวณได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อมีชินแสเข้ามาเกี่ยวข้อง หลายครั้งผู้อ่านอาจจะเคยพบว่าผู้รับเหมามักจะมีปัญหากับชินแสอยู่บ่อยครั้งจนกลายเป็นปัญหาที่ค่อนข้างหนักใจสำหรับเจ้าของบ้าน

ปัญหาที่มักจะเกิดขึ้น

หนึ่งในปัญหาหลักที่มักเกิดขึ้นคือ ความขัดแย้งในหลักการ เมื่อชินแสแนะนำให้ขยับห้องน้ำไปอยู่ในตำแหน่งที่ “สมพงษ์” ตามหลักฮวงจุ้ย แต่ผู้รับเหมาพบว่าจุดนั้นอยู่ตรงคาน หรืออยู่ไกลจากท่อน้ำหลัก ซึ่งอาจต้องเพิ่มงบประมาณและเสี่ยงต่อปัญหาในอนาคต หรือเมื่อชินแสแนะนำให้ประตูหน้าบ้านต้องหันไปทิศใต้เพื่อรับโชคลาภ แต่ผู้รับเหมาระบุว่าทิศใต้นั้นรับแดดตลอดทั้งวัน ทำให้บ้านร้อนและเปลืองพลังงาน

สิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างของการที่ “ความเชื่อ” และ “หลักการ” เดินมาคนละเส้นทาง หากไม่มีการพูดคุยที่ดีระหว่างชินแส ผู้รับเหมา และเจ้าของบ้าน สุดท้ายแล้วอาจไม่มีใครพอใจ และงานก่อสร้างอาจล่าช้า หรือมีค่าใช้จ่ายบานปลาย

เจ้าของบ้านคือผู้ตัดสินใจคนสุดท้าย

ถึงแม้ชินแสจะเป็นผู้ให้คำแนะนำ และผู้รับเหมาคือผู้ปฏิบัติงาน แต่เจ้าของบ้านคือผู้ที่ตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะเลือกเดินตามคำแนะนำใด หรือจะปรับสมดุลระหว่างความเชื่อกับความจริงได้อย่างไร บางคนอาจเลือกปรับแปลนตามที่ชินแสแนะนำ แล้วให้วิศวกรคำนวณใหม่ให้สามารถก่อสร้างได้อย่างปลอดภัย หรือบางคนอาจแบ่งโซนบางส่วนให้เป็นไปตามฮวงจุ้ย เช่น ห้องพระ หรือจุดรับแขก และปล่อยให้จุดอื่น ๆ เป็นไปตามหลักการวิศวกรรม

สิ่งสำคัญคือการเปิดใจรับฟังทุกฝ่าย และใช้วิจารณญาณโดยพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือกอย่างรอบคอบ การยึดมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านอื่น อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาในระยะยาวไดด้

การประสานงานที่ดีคือคำตอบ

เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้ทั้งชินแสและผู้รับเหมา การประสานงานให้ทั้งสองฝ่ายสื่อสารกันอย่างเข้าใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ ชินแสอาจต้องเข้าใจว่าการก่อสร้างไม่สามารถขยับไปขยับมาได้ตามใจ เช่นเดียวกับผู้รับเหมาที่อาจต้องเปิดใจรับฟังเหตุผลในมุมของความเชื่อบ้าง แม้จะไม่สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือ แต่หากทำให้เจ้าของบ้านรู้สึกสบายใจ ก็อาจคุ้มค่าต่อการยอมปรับในบางจุด

บางกรณี สถาปนิกที่ออกแบบบ้านจะเป็นผู้ประสานกลางระหว่างชินแสกับผู้รับเหมา โดยนำข้อแนะนำของทั้งสองฝ่ายมาปรับเป็นแบบแปลนที่ตอบโจทย์ทั้งในแง่โครงสร้างและความเชื่อ เพื่อให้งานก่อสร้างเดินหน้าต่อได้โดยไม่มีข้อขัดแย้งใหญ่เกิดขึ้น

ซึ่งส่วนมากในปัจจุบัน เจ้าบ้านหลายท่านก็มีการดูเรื่องฮวงจุ้ยตามความเชื่อแต่ละบุคคล และมักจะแก้ไขปัญหาหรือได้รับคำแนะนำจากผู้รับเหมาด้วยการให้ชินแสช่วยแนะนำตั้งแต่การออกแบบบ้าน ขั้นตอนนี้ทางฝ่ายสถาปนิกเองก็จะช่วยแนะนำพร้อมทั้งพูดคุยถึงงความเป็นไปได้หากมีการสร้างจริง ๆ ซึ่งตรงนี้มันก็ยังอยู่ในโปรแกรม สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอด ทำให้ฝ่ายเจ้าบ้านเองก็รู้สึกสบายใจ ฝั่งผู้รับเหมาเองก็สะดวกในการทำงานโดยที่ไม่ต้องแก้ภายหลังด้วย เพราะหากคุยกับจบตั้งแต่การออกแบบ เรื่องการก่อสร้างก็ไม่ใช่ปัญหา อีกทั้งเป็นเรื่องที่วินวินกันทั้งคู่ด้วย

ความเข้าใจคือกุญแจสำคัญ

สุดท้ายแล้วคำตอบของคำถามที่ว่า “ชินแสกับผู้รับเหมา ไปด้วยกันได้ไหม” จึงไม่ได้อยู่ที่ศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับ “ความเข้าใจ” ระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง หากชินแสมีความยืดหยุ่นในข้อเสนอแนะ และผู้รับเหมามีความอดทนในการอธิบายเหตุผล เจ้าของบ้านก็จะสามารถเป็นผู้เชื่อมความต่างนี้ให้กลายเป็นการทำงานร่วมกันได้อย่างกลมกลืน

ในสังคมไทยที่ผสานทั้งความเชื่อดั้งเดิมกับวิทยาการสมัยใหม่ การเปิดใจให้ศาสตร์ทั้งสองอยู่ร่วมกันได้ คือสิ่งที่สะท้อนความเป็นปัจจุบันของการสร้างบ้านอย่างมีสติ รอบคอบ และตอบโจทย์ทั้งจิตใจและโครงสร้าง

สรุป

การสร้างบ้านในยุคนี้ไม่ใช่เพียงแค่การหาวัสดุหรือเลือกแบบบ้านที่สวยงาม แต่ยังรวมถึงการจัดการกับความเชื่อ ความรู้สึก และความคาดหวังของเจ้าของบ้านด้วย ชินแสในฐานะตัวแทนของศาสตร์ฮวงจุ้ย และผู้รับเหมาในฐานะผู้ปฏิบัติงานตามหลักวิศวกรรม สามารถไปด้วยกันได้ หากมีการสื่อสารที่ดี ความยืดหยุ่น และการเปิดใจรับฟังซึ่งกันและกัน

บ้านที่ดีจึงไม่ได้เกิดจากการเลือกข้างใดข้างหนึ่ง แต่เกิดจากการผสมผสานองค์ความรู้ที่หลากหลายอย่างเหมาะสม และเข้าใจว่าทุกฝ่ายมีเป้าหมายเดียวกันคือ “การสร้างบ้านที่น่าอยู่ ปลอดภัย และเต็มไปด้วยความสุข”


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย