วิธีดูแลแผงโซล่าร์เซลล์ ดูแลดีใช้ได้ถึง 30 ปี

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ในปัจจุบันแนวคิดเรื่องบ้านประหยัดพลังงานก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะด้วยสาเหตุหลายปัจจัยอาทิเช่น ค่าไฟฟ้าแพงมากขึ้น ลดโลกร้อน หรือปัจจัยอื่นๆ ทำให้แนวคิดดังกล่าวเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งวิธีการประหยัดพลังงานยอดนิยมมากในปัจจุบันก็คือ “การติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์” ที่จะช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าให้กับบ้านของเราได้ดีมาก และเมื่อติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์แล้วการดูแลรักษาก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น รวมถึงเพื่อให้มันทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ แล้วเราจะดูแลมันอย่างไรดีให้มีอายุการใช้งานที่นาน ?

1. การทำความสะอาดแผงโซล่าร์เซลล์

แผงโซล่าร์เซลล์คือแผงวงจรที่จะคอยรับแสงอาทิตย์และนำไปเข้าสู่กระบวนการแปลงแสงอาทิตย์ให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อหมุนเวียนใช้ภายในบ้าน และเป็นพลังงานสะอาด แน่นอนว่าตัวแผงที่เราติดตั้งอยู่บนหลังคาบ้านของเรามันก็จะต้องหนีไม่พ้นเรื่องของการผ่านลมผ่านฝน โดนฝุ่นตลอดเวลา ทำให้คราบสิ่งสกปรกต่างๆ เกาะอยู่ที่ตัวแผงและส่งผลให้ประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานของมันลดลงได้เหมือนกัน ดังนั้นแล้วเราควรทำความสะอาดเป็นประจำสม่ำเสมอ เพื่อให้แผงโซล่าร์เซลล์สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและยังช่วยยืดอายุการใช้งานได้

วิธีการทำความสะอาดแผงโซล่าร์เซลล์เบื้องต้นเราอาจจะใช้ฟองน้ำที่มีผิวสัมผัสอ่อนนุ่มและนำไปเช็ดที่แผง ไม่ควรใช้พวกวัสดุที่มีความแข็งในการทำความสะอาดเพราะอาจจะทำให้แผงโซล่าร์เซลล์เสียหายได้ หรือหากไม่มีไม้ที่ยาวพอที่จะทำความสะอาดแผงทั้งหมดบนหลังคาได้ เราก็สามารถใช้สายยางฉีดน้ำใส่แผงโซล่าร์เซลล์เพื่อทำความสะอาดได้เหมือนกัน

ข้อควรระวังเมื่อทำความสะอาดแผงคือห้ามขึ้นไปเหยียบบนแผงโซล่าร์เซลล์โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายได้ นอกจากนี้การทำความสะอาดควรทำในช่วงเช้าหรือช่วงเย็น เนื่องจากว่าหากเราทำความสะอาดในช่วงแดดแรงจัด เมื่ออุณหภูมิมีการเปลี่ยนแปลงกระทันหันอาจจะส่งผลทำให้แผงโซล่าร์เซลล์เกิดความเสียหายจากการแตกร้าวได้เหมือนกัน

2. ตรวจดูสายไฟต่างๆ

แน่นอนว่าการเอาพลังงานจากแผงโซล่าร์เซลล์มาใช้เป็นกระแสไฟฟ้าภายในบ้านก็จำเป็นจะต้องมีการเชื่อมต่อสายไฟเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ สิ่งที่ต้องทำเป็นประจำสม่ำเสมอเลยก็คือการตรวจสอบการเชื่อมต่อของสายไฟว่ามีจุดชำรุดหรือไม่ การต่อเข้ากับอุปกรณ์แน่นพอหรือไม่ หรือมีจุดไหนที่คุณรู้สึกว่าร้อนเกินไปหรือเปล่า หรือดูว่ามีรอยไหม้เกิดขึ้นที่สายไฟมั้ย หากพบว่าสายไฟมีการเสื่อมสภาพจากการใช้งาน แนะนำว่าให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านแผงโซล่าร์เซลล์เข้ามาตรวจสอบโดยด่วน เพราะถ้าหากว่าเราพบปัญหาทางด้านสายไฟแล้วไม่รีบแก้ไข ก็อาจจะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรและเกิดเหตุเพลิงไหม้ได้เช่นกัน

แนะนำว่าหากพบสายไฟชำรุดจริงๆ ไม่ควรที่จะจับต้องสายไฟตรงๆ เพราะอาจจะทำให้คุณได้รับบาดเจ็บหรือถูกกระแสไฟฟ้าช็อตได้ ทั้งนี้ควรรีบปิดการทำงานไว้ก่อนและแจ้งผู้เชี่ยวชาญให้เข้ามาดูแล

3. ตรวจสอบการยึดแผงโซล่าร์เซลล์

สำหรับแผงโซล่าร์เซลล์ที่ติดตั้งอยู่บนหลังคานั้นก็อย่างที่เราได้กล่าวไว้คือมันจำเป็นต้องติดอยู่ภายนอกบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดอยู่บนหลังคาบ้าน แน่นอนว่าการติดตั้งในตอนแรกก็ต้องมีการใช้น็อตยึดแผงโซล่าร์เซลล์เพื่อไม่ให้

ลมพัดมันปลิว แต่เมื่อเราติดตั้งไว้นานแล้วก็ควรมีการตรวจสอบความแน่นของน็อตที่ยึดกับแผงว่ายังยึดดีหรือไม่ เพราะถ้าหากเราไม่ได้ตรวจสอบแล้วพอเข้าฤดูมรสุมก็อาจจะทำให้แผงโซล่าร์เซลล์ของเราหลุดลอยไปกับลมหรือสร้างความเสียหายให้กับแผงโซล่าร์เซลล์ได้เหมือนกัน นอกจากการตรวจสอบการยึดแผงโซล่าร์เซลล์แล้วก็ตรวจสอบด้วยว่ามีต้นไม้หรือมีอะไรบังแผงโซล่าร์เซลล์ เพราะถ้าหากมันมีอะไรบังก็อาจจะทำให้การทำงานของมันไม่เต็มประสิทธิภาพได้เหมือนกัน

4. การตรวจสอบการผลิตไฟฟ้า

การผลิตไฟฟ้าของแผงโซล่าร์เซลล์เราสามารถตรวจสอบผ่านหน้าจอการแสดงผลหรือแอพพลิเคชั่นได้สำหรับแผงโซล่าร์เซลล์บางรุ่น ทั้งนี้เมื่อมีการติดตั้งใหม่เราควรจะสอบถามเรื่องข้อมูลก่อนว่าการติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์ของเราจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้เท่าไหร่ต่อวัน เพื่อที่ภายหลังเราจะได้ตรวจสอบว่าหากค่าพลังงานที่ได้จากแผงน้อยลงผิดปกติจะได้ทราบว่าอาจจะเกิดปัญหาขึ้นกับแผงโซล่าร์เซลล์ และจะได้รีบปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้แผงโซล่าร์เซลล์กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การที่พลังงานน้อยลงก็มาจากหลายสาเหตุเช่น แดดวันนั้นน้อยจนเกินไป แผงโซล่าร์เซลล์มีฝุ่นเกาะหรือมีสิ่งสกปรกติดอยู่ที่แผงมากเกินไป การที่สายไฟบางจุดเกิดปัญหาขึ้น ฯลฯ อันนี้เพื่อนๆ อาจจะต้องมาเช็คอีกครั้งว่าสรุปแล้วเกิดจากอะไร

5. ตรวจสอบรอยร้าวบนแผงโซล่าร์เซลล์

หากเรามีการทำความสะอาดแผงโซล่าร์เซลล์ แนะนำว่าควรตรวจสอบสภาพของแผงโซล่าร์เซลล์ไปด้วยเลยทีเดียว หากเราพบว่าแผงมีรอยแตกร้าว หรือดูเหมือนว่าเสื่อมสภาพมากเกินไปก็อาจจะทำให้การผลิตไฟฟ้าทำได้น้อยลงและขาดประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก อีกอย่างถ้าหากเข้าช่วงฤดูมรสุมแล้วเกิดฝนตกต่อเนื่องบ่อยครั้งน้ำก็อาจจะซึมเข้ารอยแตกร้าวและส่งผลต่อวงจรภายในของแผงทำให้เกิดความเสียหายได้ด้วยเช่นกัน

6. ตรวจสอบแบตเตอรี่

การตรวจสอบแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่เป็นสิ่งที่ช่วยให้สามารถประเมินสภาพของแบตเตอรี่ได้ ควรใช้โวลต์มิเตอร์หรือระบบมอนิเตอร์ที่เชื่อมต่อกับอินเวอร์เตอร์เพื่อตรวจสอบว่าแรงดันไฟฟ้าอยู่ในระดับปกติหรือไม่ หากพบว่าแรงดันไฟฟ้าลดลงผิดปกติ อาจหมายถึงการชาร์จที่ไม่สมบูรณ์หรือมีปัญหาที่ตัวแบตเตอรี่ แน่นอนว่าแบตเตอรี่แต่ละเจ้าหรือรุ่นที่คุณใช้ก็มีความจุหรือแรงดันไฟฟ้าไม่เท่ากัน อันนี้คุณอาจจะต้องสอบถามกับเจ้าที่คุณใช้บริการอยู่

นอกจากเรื่องแรงดันแล้วควรตรวจสอบอุณหภูมิของแบตเตอรี่ด้วยว่ามีอุณหภูมิสูงผิดปกติหรือไม่ หากคุณติดตั้งในที่อากาศถ่ายเทแล้วพบว่ามีอุณหภูมิสูงเกินไป นั่นอาจจะเป็นสัญญาณที่บอกว่าแบตเตอรี่กำลังทำงานผิดปกติหรือเกิดปัญหาขึ้นกับเซลล์แบตเตอรี่ อันนี้คุณจำเป็นต้องเรียกผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบปัญหา

เพื่อให้ระบบโซล่าร์เซลล์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ การสะสมของฝุ่น ขี้เกลือ หรือสิ่งสกปรกที่ขั้วแบตเตอรี่อาจทำให้เกิดความต้านทานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการชาร์จลดลงหรือเกิดความร้อนสะสมได้ ดังนั้นควรทำความสะอาดเป็นประจำสม่ำเสมอ และคอยสังเกตสิ่งผิดปกติอย่างต่อเนื่อง

7. ตรวจสอบประจำปี

 แนะนำว่าหากคุณติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์ไว้ที่บ้านแล้ว และคุณไม่ได้มีความชำนาญทางด้านการดูแลเรื่องแผงโซล่าร์เซลล์เท่าไหร่นักก็อาจจะเรียกให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบให้คุณทุกปีก็ได้เช่นกัน เพื่อตรวจสอบปัญหาการทำงาน ดูแลเรื่องแบตเตอรี่ หรือซ่อมแซมแผงโซล่าร์เซลล์ที่มีความเสียหายให้กับคุณ แต่ทางเราขอแนะนำว่าควรจะเรียกผู้เชี่ยวชาญเข้ามาก่อนที่จะเข้าฤดูมรสุมจะดีกว่า เพราะหากฝนตกหนักๆ แล้วความเสียหายอาจจะมากตามไปด้วยหากไม่แก้ไขก่อน

สรุป

การดูแลรักษาแผงโซล่าร์เซลล์อย่างสม่ำเสมอไม่เพียงแต่ช่วยให้สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้อย่างเต็มที่ แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานในระยะยาว หากปฏิบัติตามแนวทางการดูแลที่เหมาะสม แผงโซล่าร์เซลล์จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานคุ้มค่ากับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่คุณเสียไปอย่างแน่นอน


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

5 ฉนวนกันความร้อนยอดนิยม

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ช่วงที่บ้านเราเข้าใกล้หน้าร้อนขึ้นทุกที ทำให้หลายคนมักจะเริ่มหาอุปกรณ์ต่างๆ มาเพื่อช่วยคลายร้อน ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้เพิ่มเพื่อลดแสงแดดส่องเพื่อให้บ้านเย็นขึ้น การซื้ออุปกรณ์ทำความเย็นให้กับบ้านเพิ่มเติมเตรียมรับมือกับหน้าร้อน แต่อย่างไรก็ตามมีอีกสิ่งที่สำคัญช่วยลดความร้อนและป้องกันไม่ให้ค่าไฟแพงขึ้นในช่วงหน้าร้อนได้ก็คือ “ฉนวนกันความร้อน” โดยเจ้าฉนวนกันความร้อนนี้เหมือนกับผู้ปิดทองหลังพระ ที่จะช่วยลดความร้อนให้กับบ้านของคุณได้เป็นอย่างดี เรามาดูกันดีกว่าว่ามีฉนวนกันความร้อนแบบไหนบ้างที่นิยมในประเทศไทย

ฉนวนกันความร้อนคืออะไร

ฉนวนกันความร้อน คือวัสดุที่จะช่วยลดความร้อนหรือต้านทานความร้อน เพื่อให้ความร้อนถ่ายเทจากอีกฝั่งนึงไปยังอีกฝั่งนึงได้น้อยลง และจะช่วยให้ด้านที่ถูกป้องกันไม่ได้รับความร้อนมากจนเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบ้านก็จะช่วยให้บ้านของเราเย็นขึ้น ประหยัดค่าไฟมากขึ้นในช่วงหน้าร้อนอีกด้วย

สำหรับพื้นที่การติดตั้งฉนวนกันความร้อนหลักๆ ในบ้านก็ได้แก่ หลังคาบ้าน ฝ้าเพดาน หรือแม้กระทั่งผนังในบ้านก็ทำได้เช่นกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าของบ้านต้องการติดตั้งตรงไหน แต่ส่วนมากแล้วมักจะติดตั้งบริเวณหลังคาบ้านกับฝ้าเพดานมากกว่า

1. ฉนวนโพลียูรีเทนโฟม (PU Foam)

ฉนวนโพลียูรีเทนโฟม (PU Foam) เป็นวัสดุที่ทำมาจากส่วนประกอบหลักอย่าง “โพลียูรีเทน” ที่เป็นโพลิเมอร์ชนิดหนึ่ง ทำให้มันมีประสิทธิภาพในการกันความร้อนที่ดีมาก มีน้ำหนักเบา นอกจากนี้ด้วยคุณสมบัติของมันยังสามารถกันเสียงได้ดีอีกด้วย แต่ด้วยฉนวนแบบโพลียูรีเทนโฟมนั้นมีให้เลือกหลากหลายประเภทดังนั้นอาจจะต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม

ยิ่งหากใครที่ต้องการสร้างบ้านที่ประหยัดพลังงาน หนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมก็หนีไม่พ้นฉนวนกันความร้อนชนิดนี้ เพราะมีน้ำหนักเบา ช่วยกักเก็บความเย็นในบ้านและลดความร้อนจากภายนอกได้เป็นอย่างดี รวมถึงมีให้เลือกหลากหลายประเภททำให้ค่อนข้างครอบคลุมความต้องการหลายๆ ด้านพอสมควร

2. ฉนวนกันความร้อนโพลีเอทิลีนหรือ พีอีโฟม (Polyethylene – PE Foam)

ฉนวนกันความร้อนแบบโพลีเอทิลีน เป็นฉนวนกันความร้อนแบบแผ่น ภายนอกจะเคลือบด้วยแผ่นฟอยล์บางๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสะท้อนความร้อน ส่วนวัสดุหลักก็จะถูกสร้างมาจากโพลีเอทิลีนเลย ซึ่งตัววัสดุโฟมนี้เองจะช่วยต้านทานความร้อนด้วยอีกระดับหนึ่ง นอกจากด้านนอกที่เคลือบด้วยฟอยล์จะช่วยสะท้อนความร้อนแล้ว ยังช่วยปกป้องแผ่นโฟมอีกด้วย ซึ่งตัวนี้ยังช่วยให้ความเย็นในบ้านของเราคงอยู่ได้นานขึ้น แถมยังช่วยลดเสียงจากภายนอกได้ดีระดับหนึ่ง

3. อะลูมิเนียมฟอยล์ (Aluminium Foil)

สำหรับฉนวนกันความร้อนชนิดนี้จำเป็นจะต้องติดตั้งคู่กับฉนวนกันความร้อนชนิดอื่นๆ โดยตัวอะลูมิเนียมฟอยล์นั้นจะเป็นเพียงแผ่นอะลูมิเนียมที่มีผิวมันวาว มีความบาง แต่ว่าเหนียวมากไม่ฉีกขาดต่อแรงดึงได้ง่าย โดยคุณสมบัติของอะลูมิเนียมฟอยล์นั้นจะมีหน้าที่ในการสะท้อนความร้อน แต่ไม่สามารถลดความร้อนเข้าสู่บ้านได้ จึงทำให้มันต้องติดตั้งคู่กับฉนวนกันความร้อนชนิดอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดความร้อนให้ดียิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามตัวอะลูมิเนียมฟอยล์ก็มีให้เลือกทั้งหมด 4 ประเภทหลักๆ ไม่ว่าจะเป็น

– แผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์เดี่ยว (Single Layer Foil) – เป็นฟอยล์บางเพียงชั้นเดียว เหมาะสำหรับใช้ป้องกันรังสีความร้อนเบื้องต้น

– ฉนวนอะลูมิเนียมฟอยล์สองด้าน (Double Layer Foil) – มีอะลูมิเนียมเคลือบทั้งสองด้าน สะท้อนความร้อนได้ดียิ่งขึ้น

– ฉนวนอะลูมิเนียมฟอยล์เคลือบโฟม (Foil with PE Foam) – มีโฟมโพลีเอทิลีนตรงกลาง เพิ่มความสามารถในการกันความร้อนและกันเสียง

– ฉนวนอะลูมิเนียมฟอยล์แบบรังผึ้ง (Foil with Bubble Sheet) – ใช้แผ่นฟองอากาศ (Bubble) เป็นตัวช่วยกันความร้อนและซับแรงกระแทก

ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเลือกใช้ชนิดไหนที่เหมาะกับบ้านของคุณ

4. ฉนวนใยแก้ว (Glass Wool)

ฉนวนใยแก้วเปป็นวัสดุที่ได้จากการนำใยแก้วละเอียดมาผลิตและขึ้นรูปเป็นแผ่น ซึ่งทำให้ข้างในมีพื้นที่เป็นรูพรุนเต็มไปหมด ซึ่งจุดนี้เองก็ทำให้มันลดความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านได้เป็นอย่างดี และจุดเด่นของมันก็มีอาทิเช่น น้ำหนักเบา กันเสียงได้ดี มีความยืดหยุ่นพอสมควร มีความทนทานต่อความร้อนสูง แต่ข้อเสียของมันก็มีเช่นกันคือไม่สามารถโดนน้ำได้เพราะจะทำให้ตัววัสดุยุบและสูญเสียคุณสมบัติในการป้องกันความร้อนได้

ฉนวนใยแก้วนั้นมีการใช้มาอย่างยาวนานและได้รับความนิยมไปทั่วโลกทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา แต่ปัจจุบันก็ได้เสื่อมความนิยมลงไปเพราะมีฉนวนกันความร้อนชนิดอื่นเข้ามาทดแทน เพราะเนื่องจากว่าการจะทำให้มันป้องกันความร้อนได้ดียิ่งขึ้นก็ต้องมีการใช้ร่วมกับวัสดุฉนวนกันความร้อนอื่นๆ

อีกประเด็นหนึ่งก็คือหากมันเสื่อมสภาพแล้วอาจจะทำให้ละอองใยแก้วฟุ้งกระจายเต็มบ้านและส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจได้เช่นกัน ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบหายใจรวมถึงระคายเคืองต่อผิวหนัง

5. ฉนวนกันความร้อนแบบแอร์บับเบิล (Air Bubble Insulation)

ฉนวนกันความร้อนแบบแอร์บับเบิล เป็นฉนวนกันความร้อนที่ผลิตมาจากแผ่นพลาสติกและมีฟองน้ำเป็นจุดๆ บุฟองอากาศไว้อยู่ด้านในของแผ่น คล้ายกับบับเบิลกันกระแทกที่ไว้สำหรับแพ็คของ โดยตัวแอร์บับเบิลนั้นจะมีการห่อหุ้มด้วยอะลูมีเนียมไว้ทั้งสองด้าน เพื่อปกป้องตัวฟองอากาศที่อยู่ด้านใน นอกจากนี้ตัวฟอยล์อะลูมิเนียมยังช่วยสะท้อนความร้อนออกไปได้ด้วย แถมราคาค่อนข้างถูกพอสมควร

สำหรับเรื่องวัสดุหรือความสามารถอื่นๆ ก็ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตแต่ละเจ้าด้วยเช่นกันว่าจะเพิ่มอะไรลงไปให้กับตัวแอร์บับเบิล ส่วนนี้เพื่อนๆ อาจจะต้องหาข้อมูลจากผู้ผลิตอีกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ

สรุป

สำหรับหน้าร้อนแล้วหลายคนก็อาจจะต้องหาวิธีป้องกันบ้านของตนเองเพื่อไม่ให้เกิดความร้อนหรือไม่ความร้อนสะสมภายในบ้านมากจนเกินไป เพื่อให้บ้านของเราเย็นยิ่งขึ้น ซึ่งตัวช่วยสำคัญก็คงหนีไม่พ้นในเรื่อง “ฉนวนกันความร้อน” ของบ้านที่จำเป็นจะต้องมีการติดตั้ง บำรุง ดูแลรักษาอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้มันเสื่อมสภาพและสามารถปกป้องบ้านของเราให้พ้นกับความร้อนจนอยู่อาศัยได้ไม่สบาย ซึ่งคุณสมบัติของฉนวนกันความร้อนแต่ละประเภทก็มีความแตกต่างกัน และใช้กับแต่ละบ้านไม่เหมือนกันด้วย อันนี้เพื่อนๆ อาจจะต้องพิจารณาเลือกใช้ให้เหมาะสม หรือปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยเลือกฉนวนกันความร้อนให้เหมาะกับบ้านของคุณก็ได้เช่นกัน


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

บ้านประหยัดพลังงานคืออะไร ? คุ้มค่าในการทำหรือไม่ ?

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

แนวคิดเรื่องบ้านประหยัดพลังงานเป็นแนวคิดที่มีค่อนข้างนานพอสมควร แต่ในอดีตนั้นด้วยเทคโนโลยีหรือวัสดุต่างๆ ยังไม่เอื้ออำนวยเท่ากับปัจจุบัน โดยในปัจจุบันนี้เราสามารถสร้างบ้านประหยัดพลังงานได้แล้วในราคาที่ไม่ต่างกับบ้านทั่วไป ด้วยในยุคนี้พวกพลังงานต่างๆ ก็เริ่มจะมีน้อยลง ทั้งยังส่งผลกระทบต่อโลกทำให้เกิดโลกร้อน รวมถึงพวกค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงานก็สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวคิดเรื่องบ้านประหยัดพลังงานได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงบ้านที่สร้างในยุคนี้เองก็เริ่มสร้างบ้านประหยัดพลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ เรามาดูกันว่าบ้านประหยัดพลังงานคุ้มมั้ยที่จะทำ

บ้านประหยัดพลังงานคืออะไร

บ้านประหยัดพลังงาน คือ บ้านที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ประหยัดพลังงานได้มากที่สุด และมีการผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้เข้ากับตัวบ้านเพื่อประหยัดพลังงานมากขึ้น เช่น ติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์ ใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฮมเพื่อควบคุมเครื่องปรับอากาศให้ทำงานได้เหมาะสม รวมถึงออกแบบบ้านให้มีความโปร่ง โล่ง และให้ลดการใช้พลังงานให้ได้มากที่สุด

สร้างบ้านประหยัดพลังงานทำอย่างไร ?

การสร้างบ้านประหยัดพลังงานนั้นเราสามารถแจ้งกับผู้เชี่ยวชาญได้ตั้งแต่เริ่มออกแบบบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจะช่วยออกแบบบ้านให้คุณตามความต้องการ และคอยแนะนำส่วนต่างๆ รวมถึงวัสดุที่ใข้ในการสร้างให้เหมาะสมมากที่สุด มีความสอดคล้องกับต้นทุน และตัวบ้านนั้นยังคงมีความสวยงาม สามารถใช้งานได้จริงในพื้นที่ต่างๆ โดยเริ่มต้นตั้งแต่

กระบวนการออกแบบบ้าน

การที่จะสร้างบ้านประหยัดพลังงานตั้งแต่ต้น ก็จำเป็นจะต้องมีการเริ่มตั้งแต่วางแผน เขียนแบบบ้าน เริ่มต้นการก่อสร้าง แน่นอนว่าในกระบวนการออกแบบบ้านก็จะต้องครอบคลุมทุกด้าน และมีการออกแบบให้เหมาะสมกับบริเวณบ้านที่คุณต้องการสร้างด้วยเช่นกัน

วัสดุในการสร้าง

ในการเลือกวัสดุที่เหมาะสมก็มีส่วนช่วยให้บ้านของคุณประหยัดพลังงานได้มากขึ้น รวมถึงทำให้บ้านของคุณเย็นสบายในหน้าร้อน และบ้านของคุณจะมีอุณหภูมิที่เหมาะสมในช่วงหน้าหนาว ทำให้คุณช่วยประหยัดค่าไฟได้มากขึ้นและยังไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากอีกด้วย ยกตัวอย่างวัสดุที่ใช้ในบ้านเพื่อสร้างบ้านประหยัดพลังงานเช่น

– การเลือกอิฐที่ใช้ในการก่อสร้าง เช่น ใช้อิฐมวลเบาหรือคอนกรีตมวลเบา ที่มันมีคุณสมบัติในการนำความร้อนต่ำ ทำให้บ้านของคุณเย็นสบายมากขึ้น

– ติดตั้งกระจกประหยัดพลังงาน สำหรับกระจกปัจจุบันก็มีให้เลือกหลากหลายแบบ ทั้งแบบกรองแสงเข้าบ้าน การสะท้อนความร้อน การลดความร้อน คุณอาจจะพิจารณาเลือกกระจกที่เหมาะสมกับบ้านของคุณ

– การติดตั้งฉนวนกันความร้อน การติดตั้งชนวนกันความร้อนสามารถช่วยให้บ้านของคุณประหยัดพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าร้อนที่มันจะช่วยสะท้อนหรือลดความร้อนเข้ามาในบ้านของคุณ ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ทำงานหนักจนเกินไป

จากที่เราได้ยกตัวอย่างไปนั้นก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของการสร้างบ้านประหยัดพลังงานเท่านั้น ซึ่งจริงๆ ยังมีอีกหลายอย่างที่ช่วยให้คุณสร้างบ้านประหยัดพลังงานได้มากขึ้น ซึ่งส่วนนึ้คุณอาจจะต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยในการออกแบบและแนะนำวัสดุที่เหมาะสมกับการสร้างบ้านของคุณด้วย

จัดทิศทางบ้านให้ถูก

การจัดทิศทางบ้านก็มีส่วนสำคัญต่อการประหยัดพลังงานของบ้านด้วยเช่นกัน เพราะหากคุณลองคิดตามว่าในช่วงกลางวันแดดบ้านเราก็แรงแล้วส่องเข้ามาในห้องที่เราอยู่ประจำเต็มๆ ความร้อนนั้นก็ทำให้คุณอยู่ในห้องแทบไม่ได้ เหมือนกับเราออกไปเดินข้างนอกในช่วงกลางวันแดดจัดๆ

อย่างในประเทศไทยพระอาทิตย์ในตอนเช้าจะขึ้นจากทิศตะวันออกแล้วโค้งไปทางทิศใต้ แล้วพระอาทิตย์จะตกในทิศตะวันตก เมื่อเป็นแบบนี้แล้วทำให้ทิศที่ร้อนที่สุดกลายเป็น “ทิศตะวันตก” ทันที แน่นอนว่าหากเราต้องการจัดห้องนั่งเล่นหรือห้องนอนของคุณหรือห้องที่เราต้องอยู่อาศัยบ่อยๆ ในทิศตะวันตกก็คงไม่เหมาะเท่าไหร่ เนื่องจากว่าห้องเหล่านั้นจะโดนแดดเต็มๆ แม้ว่าเราจะมีเครื่องปรับอากาศทำให้ห้องเย็นสบายก็ตาม แต่เครื่องปรับอากาศจะต้องทำงานหนักเป็นอย่างมาก ทางที่ดีก็อาจจะต้องจัดห้องนั่งเล่นหรือห้องนอนหรือห้องที่เราอยู่บ่อยที่สุดไปทิศอื่นแทน

ซึ่งในเรื่องทิศของบ้านว่าจะหันไปทิศไหนหรืออยากให้แต่ละห้องของเราอยู่ทิศใด เราก็สามารถแจ้งกับมัณฑนากรผู้ออกแบบบ้านหรือบอกกับผู้เชี่ยวชาญถึงความต้องการคุณได้เช่นกัน

ข้อดีของบ้านประหยัดพลังงาน

เทรนด์ของการประหยัดพลังงานรวมถึงเทรนด์การรักษ์โลกกำลังมาแรงมากพอสมควร ข้อดีของการสร้างบ้านประหยัดพลังงานก็มีทั้งช่วยให้คุณลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ซึ่งช่วยถึงขั้นที่ว่าหากบ้านไหนใช้ไฟฟ้าต่อเดือนต่ำ อาจจะเสียเงินเพียงหลักร้อยหรืออาจจะไม่เสียสักบาทเลยหากมีการใช้แผงโซล่าร์เซลล์ติดบ้านควบคู่ด้วย นอกจากนี้แนวโน้มในการหาบ้านประหยัดพลังงานของคนรุ่นใหม่หรือการเปลี่ยนแปลงบ้านให้กลายเป็นบ้านประหยัดพลังงานก็มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การขายต่อก็ยังคงได้ราคาดีพอสมควร

บ้านประหยัดพลังงานคุ้มหรือไม่ ?

บ้านประหยัดพลังงานในช่วงเริ่มต้นการก่อสร้างอาจจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงในระดับหนึ่ง เพราะเราต้องมีการเลือกวัสดุตั้งแต่เริ่มต้นการก่อสร้างตั้งแต่เลือกวัสดุประหยัดพลังงาน การเลือกวัสดุที่เหมาะสมและไม่สร้างผลกระทบ ทำให้ค่าใช้จ่ายส่วนนี้อาจจะแพงกว่าการสร้างบ้านทั่วไปสักหน่อย นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์เพิ่มเติมด้วย แต่แน่นอนว่าหากเรามีบ้านเป็นของตัวเองแล้วคงไม่ได้มองเรื่องค่าใช้จ่ายในระยะสั้น แต่ในระยะยาวค่าใช้จ่ายถือว่าคุ้มค่าและถูกพอสมควรเลยหากเราได้อยู่อาศัยจริงๆ

สรุป

บ้านประหยัดพลังงานไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นทางเลือกที่ช่วยลดค่าใช้จ่าย เพิ่มความสะดวกสบาย และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แม้อาจมีต้นทุนเริ่มต้นสูงขึ้น แต่ในระยะยาวถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า หากคุณกำลังวางแผนสร้างบ้านใหม่หรือปรับปรุงบ้านเดิม การเลือกใช้วัสดุและเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานจะเป็นประโยชน์ต่อเราพอสมควร


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

7 ต้นไม้ดักฝุ่น ช่วยกรอง PM2.5 เพิ่มอากาศบริสุทธิ์ให้บ้านคุณ

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 กลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง หลายคนเริ่มมองหาวิธีแก้ปัญหาที่เป็นธรรมชาติและยั่งยืน ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ คือ การปลูกต้นไม้ที่สามารถช่วยดักฝุ่นและฟอกอากาศ

ต้นไม้บางชนิดมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็ก และยังช่วยเพิ่มออกซิเจนในอากาศ ทำให้บรรยากาศภายในบ้านหรือที่ทำงานสดชื่นขึ้น การเลือกต้นไม้ที่เหมาะสมสามารถช่วยลดปริมาณฝุ่นและสารพิษในอากาศได้จริง วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับ “7 ต้นไม้ดักฝุ่น” ที่มีประสิทธิภาพสูงในการช่วยกรอง PM2.5 ถึงแม้ว่าจะกรองไม่ได้ 100% แต่อย่างน้อยต้นไม้เหล่านี้ก็ช่วยลดฝุ่น PM2.5 ได้ดีพอสมควรเลย

1. ลิ้นมังกร (Snake Plant)

ต้นลิ้นมังกร

ภาพจาก : ELLEDECOR

ลิ้นมังกร เป็นหนึ่งในต้นไม้ฟอกอากาศที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะดูแลง่ายและมีคุณสมบัติช่วยดูดซับสารพิษในอากาศได้ดีเยี่ยม ใบของลิ้นมังกรมีพื้นผิวเป็นคลื่นเล็กๆ ซึ่งสามารถช่วยดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็ก รวมถึง PM2.5 ได้

อีกทั้งต้นลิ้นมังกรยังเป็นพืชที่สามารถปล่อยออกซิเจนในเวลากลางคืน แตกต่างจากต้นไม้ส่วนใหญ่ที่มักจะปล่อยออกซิเจนเฉพาะตอนกลางวัน ทำให้เหมาะสำหรับการปลูกไว้ในห้องนอนเพื่อช่วยให้อากาศบริสุทธิ์และช่วยให้นอนหลับสบายขึ้น

วิธีดูแลต้นลิ้นมังกร

  • ควรรดน้ำเพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพราะเป็นพืชที่ไม่ต้องการน้ำมาก
  • สามารถปลูกในที่แสงแดดรำไรหรือในที่ร่มได้
  • ไม่ต้องใส่ปุ๋ยบ่อย เพียงใส่ปุ๋ยปีละ 1-2 ครั้งก็เพียงพอ

บทความแนะนำจากบ้านเพื่อน

8 ไม้มงคลที่นิยมปลูกไว้ในบ้าน

2. เศรษฐีเรือนใน (Spider Plant)

ต้นเศรษฐีเรือนใน

ภาพจาก : The Spruce

เศรษฐีเรือนใน เป็นไม้แขวนที่มีใบเรียวยาวลายเขียวสลับขาว มีความสามารถในการดูดซับสารพิษจากอากาศได้ดี โดยเฉพาะสารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) ซึ่งเป็นสารเคมีที่พบได้บ่อยในบ้านเรือน

ใบของเศรษฐีเรือนในสามารถดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็ก รวมถึง PM2.5 ได้เป็นอย่างดี ช่วยลดปริมาณฝุ่นในบ้านให้น้อยลง

วิธีดูแลต้นเศรษฐีเรือนใน

  • ควรรดน้ำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
  • วางในที่มีแสงแดดรำไรหรือในบ้านที่มีแสงส่องถึง
  • ใส่ปุ๋ยเดือนละครั้งเพื่อให้ต้นไม้แข็งแรง

3. เดหลี (Peace Lily)

ต้นเเดหลี

ภาพจาก : The Spruce

เดหลี หรือ เดหลีขาว เป็นไม้ดอกที่มีความสามารถในการดูดซับสารพิษในอากาศได้ดี และยังช่วยดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ต้นเดหลียังสามารถช่วยลดสารพิษอย่างแอมโมเนีย เบนซิน และฟอร์มาลดีไฮด์ได้อีกด้วย เหมาะสำหรับปลูกในบ้านและอาคารสำนักงาน

วิธีดูแลต้นเดหลี

  • ควรรดน้ำให้ดินชุ่มชื้น แต่ไม่แฉะจนเกินไป
  • ควรปลูกในที่ร่มหรือแสงแดดรำไร
  • เช็ดใบเป็นประจำเพื่อกำจัดฝุ่นที่เกาะบนใบ

4. ไทรใบสัก (Fiddle Leaf Fig)

ต้นไทรใบสัก

ภาพจาก : Woodie Garaden Goods

ไทรใบสักเป็นหนึ่งในต้นไม้ยอดนิยมที่ใช้ในการตกแต่งบ้านและสำนักงาน ด้วยใบขนาดใหญ่ สีเขียวเข้ม และรูปทรงสวยงาม ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของคนรักต้นไม้ นอกจากความสวยงามแล้ว ไทรใบสักยังมีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมในการช่วยดักจับฝุ่นละอองในอากาศ

ใบของไทรใบสักมีพื้นผิวกว้างและหนา ซึ่งช่วยให้ฝุ่นละออง รวมถึง PM2.5 สามารถตกลงมาเกาะบนใบได้ง่ายขึ้น เมื่อฝุ่นจับตัวกันบนใบ ก็สามารถใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดออกได้ ทำให้ลดปริมาณฝุ่นในบ้านได้อย่างเป็นธรรมชาติ

เนื่องจากต้นไทรใบสักเป็นไม้ที่มีขนาดใหญ่กว่าต้นไม้ดักฝุ่นอื่นๆ จึงต้องใช้พื้นที่ค่อนข้างมาก เหมาะสำหรับตั้งไว้ในห้องรับแขก มุมห้อง หรือมุมทำงานเพื่อสร้างบรรยากาศที่สดชื่นและช่วยให้อากาศภายในห้องบริสุทธิ์ขึ้น

วิธีดูแลต้นไทรใบสัก

  • ควรปลูกในที่ที่มีแสงแดดปานกลาง
  • รดน้ำเมื่อดินเริ่มแห้ง หลีกเลี่ยงการรดน้ำบ่อยเกินไป
  • เช็ดใบเป็นประจำเพื่อช่วยลดฝุ่นสะสม

5. พลูด่าง (Golden Pothos)

ต้นพลูด่าง

ภาพจาก : Plant Care For Beginner

พลูด่างเป็นต้นไม้เลื้อยที่ปลูกง่าย ดูแลง่าย และเป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการต้นไม้ช่วยฟอกอากาศโดยไม่ต้องดูแลมาก ต้นพลูด่างสามารถเจริญเติบโตได้ทั้งในดินและในน้ำ ทำให้สามารถปลูกได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นใส่กระถาง ตั้งไว้บนโต๊ะ หรือแขวนไว้เป็นไม้เลื้อย

ใบของพลูด่างมีลักษณะมันวาวและมีลายด่างสีขาวหรือเหลือง ทำให้สามารถดูดซับฝุ่นละอองในอากาศได้ดี นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยดูดซับสารพิษ เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ เบนซิน และคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่มักพบในอาคารสำนักงาน

เนื่องจากพลูด่างเป็นไม้เลื้อย จึงสามารถปลูกให้เลื้อยลงจากชั้นวางของ หรือให้ไต่ขึ้นตามโครงไม้เพื่อสร้างความสวยงามภายในบ้าน

วิธีดูแลต้นพลูด่าง

  • รดน้ำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
  • วางในที่มีแสงรำไร หรือปลูกในห้องที่มีแสงธรรมชาติส่องถึง
  • ตัดแต่งใบเพื่อให้ต้นเจริญเติบโตดี

6. ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera)

ต้นว่านหางจระเข้

ภาพจาก : Southern Living

ว่านหางจระเข้เป็นพืชที่หลายคนรู้จักดีในด้านสรรพคุณทางยาและความงาม แต่รู้หรือไม่ว่ามันยังมีความสามารถในการช่วยกรองอากาศและดักจับฝุ่นอีกด้วย? ใบของว่านหางจระเข้มีลักษณะหนาและอวบน้ำ ช่วยดูดซับฝุ่นละอองขนาดเล็ก รวมถึง PM2.5 ได้ดี

นอกจากการดักจับฝุ่นแล้ว ว่านหางจระเข้ยังมีความสามารถในการดูดซับสารพิษ เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์และเบนซิน ซึ่งพบได้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการปลูกไว้ในบ้านหรือสำนักงาน

อีกข้อดีของว่านหางจระเข้คือมันสามารถดูแลรักษาได้ง่ายมาก ไม่ต้องรดน้ำบ่อย และสามารถเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงแดดปานกลางถึงน้อย

วิธีดูแลว่านหางจระเข้

  • ปลูกในที่มีแดดรำไร
  • รดน้ำเพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
  • ใช้ดินร่วนซุยที่ระบายน้ำได้ดี

7. ปาล์มไผ่ (Areca Palm)

ต้นปาล์มไผ่

ภาพจาก : Rogue Home

ปาล์มไผ่เป็นต้นไม้ขนาดกลางที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการใช้เป็นต้นไม้ฟอกอากาศ เนื่องจากมันสามารถช่วยเพิ่มความชื้นในอากาศและดูดซับฝุ่นละอองได้ดี

ใบของปาล์มไผ่มีลักษณะเป็นเส้นเรียวยาว ทำให้สามารถดักจับฝุ่นและช่วยลดปริมาณ PM2.5 ในบ้านได้ นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการดูดซับสารพิษ เช่น แอมโมเนีย ไซลีน และฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่มักพบในบ้านและสำนักงาน

ข้อดีอีกอย่างของปาล์มไผ่คือมันสามารถช่วยเพิ่มความชื้นในอากาศ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับบ้านที่เปิดเครื่องปรับอากาศตลอดเวลา เพราะอากาศแห้งเกินไปอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองทางเดินหายใจได้ การปลูกปาล์มไผ่ในบ้านจึงช่วยสร้างสมดุลของความชื้นและช่วยให้อากาศสดชื่นขึ้น

วิธีดูแลปาล์มไผ่เบื้องต้น

  • วางในที่มีแสงแดดรำไร
  • รดน้ำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
  • ใส่ปุ๋ยเดือนละครั้ง

สรุป

การปลูกต้นไม้ที่สามารถช่วยดักฝุ่นและฟอกอากาศเป็นวิธีธรรมชาติที่ช่วยลดปริมาณ PM2.5 ในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะช่วยให้บ้านน่าอยู่ขึ้นแล้ว ยังช่วยให้คุณและคนที่คุณรักได้รับอากาศบริสุทธิ์มากขึ้น แม้ว่ามันจะไม่ได้ช่วยได้แบบ 100% ก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็ยังช่วยป้องกันฝุ่นไม่ให้เข้ามาถึงเราโดยตรง

ลองเลือกต้นไม้ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณมาปลูกดู แล้วคุณจะพบว่าอากาศดีขึ้นได้ แค่มีต้นไม้ดีๆ ในบ้าน


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

5 เทคนิคผ่อนบ้านให้หมดไว เซฟเงินได้เยอะ

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

การมีบ้านเป็นของตัวเองถือเป็นเป้าหมายสำคัญของใครหลายคน เพราะบ้านไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นหลักประกันความมั่นคงของชีวิต อย่างไรก็ตาม ภาระการผ่อนบ้านก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องแบกรับกันยาวนาน บางคนต้องจ่ายค่างวดเป็นเวลาถึง 20-30 ปี แต่หากเรามีวิธีการบริหารจัดการที่ดี ก็สามารถลดระยะเวลาผ่อนลงได้ และปลดหนี้ได้เร็วขึ้น วันนี้เรามี 5 เทคนิคสำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถผ่อนบ้านหมดไวขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

1. จ่ายมากกว่าขั้นต่ำทุกเดือน

ผ่อนบ้านให้หมดไว

ภาพจาก : Freepik

หนึ่งในวิธีที่ได้ผลที่สุดคือ การจ่ายค่างวดมากกว่าขั้นต่ำที่ธนาคารกำหนด โดยปกติแล้วการผ่อนบ้านจะมีโครงสร้างดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก ซึ่งหมายความว่ายิ่งเราลดเงินต้นเร็วเท่าไหร่ ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในระยะยาวก็จะลดลงไปด้วย การจ่ายเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในแต่ละเดือน อาจช่วยให้คุณลดระยะเวลาผ่อนไปได้หลายปี ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องผ่อนบ้านเดือนละ 10,000 บาท แต่คุณเพิ่มการจ่ายเป็น 12,000 บาท ส่วนเกิน 2,000 บาทนี้จะไปตัดเงินต้นโดยตรง ทำให้ดอกเบี้ยลดลง และหนี้หมดเร็วขึ้น ก็ต้องดูว่าคุณกู้เงินมาสร้างบ้านหรือซื้อบ้านเป็นเงินเท่าไหร่

2. โปะเงินก้อนเมื่อมีโอกาส

การโปะเงินก้อนเป็นอีกวิธีที่ช่วยลดภาระหนี้ได้อย่างดีเยี่ยม หลายคนอาจได้รับเงินโบนัสประจำปี เงินคืนภาษี หรือรายได้พิเศษจากงานเสริม เงินเหล่านี้สามารถนำมาโปะหนี้บ้านได้โดยตรง ซึ่งจะช่วยลดเงินต้นลงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเงินต้นลดลง ดอกเบี้ยก็ลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้จำนวนปีที่ต้องผ่อนบ้านลดลงเป็นเงาตามตัว การวางแผนทางการเงินให้มีเงินก้อนสำหรับโปะบ้านทุกปี จะช่วยให้คุณเป็นเจ้าของบ้านแบบปลอดหนี้ได้เร็วกว่าที่คาด

3. รีไฟแนนซ์เพื่อลดดอกเบี้ย

รีไฟแนนซ์เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยให้คุณลดภาระหนี้ได้อย่างมาก โดยทั่วไปแล้วอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านในช่วง 3 ปีแรกมักจะต่ำกว่าปีถัดไป เมื่อครบกำหนด 3 ปี หลายธนาคารจะปรับดอกเบี้ยขึ้น การรีไฟแนนซ์คือการย้ายสินเชื่อไปยังธนาคารใหม่ที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าหรือเจรจากับธนาคารเดิมให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งสามารถช่วยให้คุณประหยัดดอกเบี้ยได้หลายแสนบาทในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงถึงค่าธรรมเนียมในการรีไฟแนนซ์ เช่น ค่าประเมินหลักทรัพย์ และค่าธรรมเนียมการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าคุ้มค่ากับการทำ

4. ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น นำเงินไปโปะหนี้แทน

วิธีผ่อนบ้านให้หมดไว

ภาพจาก : Freepik

การมีวินัยทางการเงินเป็นปัจจัยสำคัญในการปลดหนี้บ้านได้เร็วขึ้น ลองสำรวจดูว่าในแต่ละเดือนคุณมีรายจ่ายอะไรที่สามารถลดลงได้ เช่น ค่าใช้จ่ายในการกินข้าวนอกบ้าน ค่าบริการสตรีมมิ่งหลายแพลตฟอร์มที่อาจไม่ได้ใช้บ่อย หรือการช็อปปิ้งสินค้าที่ไม่จำเป็น เงินส่วนที่ประหยัดได้จากการลดค่าใช้จ่ายเหล่านี้สามารถนำไปโปะหนี้บ้านแทน ซึ่งแม้จะเป็นเงินจำนวนไม่มาก แต่หากทำอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดเงินต้นได้อย่างมีนัยสำคัญ และทำให้บ้านหมดหนี้เร็วขึ้น

5. หาแหล่งรายได้เสริมเพื่อช่วยผ่อนบ้าน

โป๊ะเงินผ่อนบ้าน

ภาพจาก : Freepik

หากคุณมีเวลาว่างหรือมีทักษะพิเศษ การหารายได้เสริมเป็นอีกทางเลือกที่ดีในการช่วยให้คุณปลดหนี้บ้านเร็วขึ้น ปัจจุบันมีหลายวิธีในการเพิ่มรายได้ เช่น การขายของออนไลน์ รับจ้างฟรีแลนซ์ สอนพิเศษ หรือแม้แต่การลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดี เงินที่ได้จากรายได้เสริมสามารถนำมาโปะหนี้บ้าน หรือใช้เป็นกองทุนสำรองฉุกเฉินเพื่อให้คุณสามารถจ่ายค่างวดได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่การเงินตึงตัว

การผ่อนบ้านให้หมดไวไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพียงแค่คุณต้องมีวินัยทางการเงิน และใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตัวเอง การจ่ายมากกว่าขั้นต่ำ การโปะเงินก้อน การรีไฟแนนซ์ การลดรายจ่าย และการหารายได้เสริม อย่างน้อยก็ช่วยให้คุณปลดหนี้บ้านได้เร็วขึ้น หากนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับสภาพการเงินของคุณ คุณจะสามารถเป็นเจ้าของบ้านแบบปลอดหนี้ได้ในเวลาที่สั้นลงกว่าที่คิด

6. ปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสม

หากคุณพบว่าการผ่อนบ้านเป็นภาระที่หนักเกินไป อาจพิจารณาปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้สามารถจัดการการเงินได้ดีขึ้น การปรับโครงสร้างหนี้อาจรวมถึงการขยายระยะเวลาผ่อนเพื่อลดค่างวดต่อเดือน หรือการเจรจากับธนาคารเพื่อขอลดอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ อาจรวมถึงการรวมหนี้หลายก้อนเข้าด้วยกันเพื่อลดภาระดอกเบี้ยโดยรวม วิธีนี้ช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้น และสามารถบริหารจัดการหนี้บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การผ่อนบ้านให้หมดไวไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพียงแค่คุณต้องมีวินัยทางการเงิน และใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตัวเอง การจ่ายมากกว่าขั้นต่ำ การโปะเงินก้อน การรีไฟแนนซ์ การลดรายจ่าย การหารายได้เสริม และการปรับโครงสร้างหนี้ เป็น 6 เทคนิคที่ช่วยให้คุณปลดหนี้บ้านได้เร็วขึ้น หากนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับสภาพการเงินของคุณ คุณจะสามารถเป็นเจ้าของบ้านแบบปลอดหนี้ได้ในเวลาที่สั้นลงกว่าที่คิด

สรุป

การปลดหนี้บ้านให้เร็วขึ้นไม่ใช่เรื่องยากหากมีวินัยทางการเงินและใช้วิธีที่เหมาะสม การจ่ายมากกว่าขั้นต่ำ การโปะเงินก้อน การรีไฟแนนซ์ การลดรายจ่าย และการหารายได้เสริมเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้คุณปลดภาระหนี้ได้เร็วขึ้น ทุกเทคนิคต้องอาศัยความสม่ำเสมอและการวางแผนที่ดี หากคุณสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ คุณจะสามารถเป็นเจ้าของบ้านที่ปลอดหนี้ได้เร็วขึ้น และมีอิสรภาพทางการเงินในระยะยาว


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ผ่อนบ้านไม่ไหว ทำอย่างไรดี ?

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

การมีบ้านเป็นของตัวเองเป็นความฝันของหลาย ๆ คน แต่บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้เป็นไปตามแผนเสมอไป รายจ่ายที่เพิ่มขึ้น ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างการตกงานหรือเจ็บป่วย อาจทำให้เจ้าของบ้านหลายคนต้องเผชิญกับปัญหา “ผ่อนบ้านไม่ไหว” ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่กดดันและสร้างความเครียดอย่างมาก

แต่ก่อนที่คุณจะตัดสินใจทำอะไร อยากให้ใจเย็น ๆ แล้วลองมองหาทางออกที่เหมาะสม เพราะมีหลายวิธีที่ช่วยให้คุณสามารถแก้ปัญหานี้ได้โดยไม่ต้องเสียบ้านไปฟรี ๆ และบางวิธีอาจช่วยให้คุณกลับมาตั้งหลักใหม่ได้อีกครั้ง

1. ประเมินสถานการณ์ทางการเงินของตัวเอง

ก่อนอื่นเลย ต้องรู้ก่อนว่าปัญหาของเราร้ายแรงแค่ไหน ลองสำรวจว่าตอนนี้เรามีรายรับเท่าไร รายจ่ายอะไรที่ลดได้ และมีเงินสำรองพอสำหรับกี่เดือน ถ้ารู้ตัวว่าเริ่มหมุนเงินไม่ทัน อย่ารอจนถึงจุดที่จ่ายไม่ไหวจริง ๆ แล้วค่อยหาทางออก เพราะยิ่งปล่อยไว้นาน ดอกเบี้ยค้างชำระก็จะเพิ่มขึ้น และอาจเสียเครดิตไปด้วย

สิ่งที่ควรทำ

  • จดบันทึกรายรับรายจ่ายทั้งหมด
  • ดูว่ามีเงินออม หรือสินทรัพย์อะไรที่สามารถนำมาใช้จ่ายได้บ้าง
  • ตรวจสอบว่าหนี้บ้านของคุณมียอดค้างชำระเท่าไร และต้องผ่อนเดือนละเท่าไร

หากพบว่าปัญหายังพอจัดการได้ ก็อาจลองปรับพฤติกรรมการใช้เงินก่อน แต่ถ้าเริ่มมองเห็นสัญญาณอันตราย เช่น ต้องกู้เงินมาผ่อนบ้านเป็นประจำ หรือรายจ่ายสูงกว่ารายรับมากเกินไป ก็ควรรีบหาทางออกทันที

2. ติดต่อธนาคารก่อนที่จะเป็นหนี้เสีย

หลายคนที่ผ่อนบ้านไม่ไหวอาจหลีกเลี่ยงการติดต่อธนาคารเพราะกลัวว่าจะโดนยึดบ้านหรือกลัวถูกปฏิเสธความช่วยเหลือ แต่จริง ๆ แล้ว ธนาคารไม่ต้องการให้ลูกหนี้เป็นหนี้เสีย (NPL) เพราะมันสร้างความยุ่งยากทั้งสองฝ่าย ธนาคารต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้อง หรือขายทอดตลาด ซึ่งอาจได้เงินคืนไม่ครบ ดังนั้น หากคุณรู้ตัวว่ากำลังเผชิญกับปัญหาผ่อนบ้านไม่ไหว ให้รีบติดต่อธนาคารก่อนที่หนี้จะค้างชำระเกิน 3 เดือน

สิ่งที่ธนาคารอาจช่วยได้

การปรับโครงสร้างหนี้ (Re-structuring Loan)

เป็นการเจรจาขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสินเชื่อบ้านให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ของคุณ ซึ่งอาจรวมถึง

  • ขยายระยะเวลาผ่อน เช่น จาก 15 ปี เป็น 25-30 ปี เพื่อลดค่างวดต่อเดือน
  • ปรับลดดอกเบี้ย ชั่วคราวหรือถาวร เพื่อให้ภาระดอกเบี้ยลดลง
  • เปลี่ยนเงื่อนไขการชำระเงิน เช่น จากผ่อนเงินต้น + ดอกเบี้ย เป็นจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยชั่วคราว

การปรับโครงสร้างหนี้เป็นวิธีที่ดี เพราะช่วยให้คุณสามารถจัดการหนี้ได้โดยไม่ต้องผิดนัดชำระ

ขอพักชำระหนี้ชั่วคราว (Payment Holiday)

บางธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือพิเศษที่อนุญาตให้ลูกหนี้สามารถ พักชำระหนี้ เป็นระยะเวลาหนึ่ง (เช่น 3-6 เดือน) ในช่วงที่กำลังเผชิญกับปัญหาทางการเงิน

  • พักชำระเงินต้น จ่ายเฉพาะดอกเบี้ย – วิธีนี้ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายรายเดือนในระยะสั้น
  • พักทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย – ธนาคารบางแห่งอาจให้พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยชั่วคราว แต่ดอกเบี้ยจะถูกนำไปรวมกับเงินต้น ทำให้ภาระหนี้ในอนาคตสูงขึ้น

ก่อนตัดสินใจใช้มาตรการนี้ ควรสอบถามรายละเอียดให้ชัดเจน เพราะแม้ว่าจะช่วยลดภาระระยะสั้น แต่ระยะยาวอาจทำให้ภาระหนี้เพิ่มขึ้น

ขอสินเชื่อเพิ่มเติม (Top-up Loan)

หากคุณผ่อนบ้านมาเป็นเวลานานและบ้านมีราคาสูงขึ้น อาจขอสินเชื่อเพิ่มโดยใช้บ้านเป็นหลักประกัน ซึ่งช่วยให้คุณมีเงินก้อนมาใช้จ่ายหรือปิดหนี้บางส่วน

วิธีนี้อาจเหมาะกับคนที่ต้องการเงินหมุนเวียนชั่วคราว แต่ไม่ควรใช้เงินก้อนนี้ไปจ่ายหนี้อื่น ๆ ที่ไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้หนี้เพิ่มขึ้นกว่าเดิม

หากคุณเริ่มผ่อนบ้านไม่ไหว สิ่งที่ต้องทำทันทีคือการติดต่อธนาคารเพื่อขอความช่วยเหลือ อย่ารอจนถึงจุดที่หนี้เสียหรือถูกฟ้อง เพราะธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือหลายรูปแบบที่อาจช่วยให้คุณผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ยิ่งคุณมีประวัติการเป็นลูกหนี้ที่ดี ไม่มีการจ่ายช้ากว่ากำหนดหรือไม่เคยขาดส่งเลย ธนาคารก็จะพิจารณาการช่วยเหลือคุณง่ายขึ้นอีกด้วย

3. หารายได้เสริมเพื่อนำมาช่วยค่าผ่อนบ้าน

หากปัญหาเกิดจากรายได้ไม่พอ ทางออกที่ดีที่สุดคือการเพิ่มรายได้ ซึ่งอาจทำได้หลายวิธี เช่น

  • หางานเสริม เช่น งานฟรีแลนซ์ งานพาร์ทไทม์ หรือขายของออนไลน์
  • ปล่อยเช่าบ้านหรือห้องบางส่วน ถ้าบ้านของคุณมีห้องว่าง อาจลองปล่อยเช่าระยะสั้นเพื่อช่วยจ่ายค่าผ่อน
  • ขายของที่ไม่จำเป็น บางครั้งทรัพย์สินที่เราไม่ค่อยใช้ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า รถสำรอง หรือของสะสม อาจนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสดเพื่อช่วยลดภาระหนี้ได้

บางคนอาจมองว่าการเพิ่มรายได้เป็นเรื่องยาก แต่ถ้าหากลองปรับตัวและพยายามหาโอกาสใหม่ ๆ อาจช่วยให้คุณผ่านพ้นวิกฤตไปได้

4. ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น

การลดรายจ่ายถือเป็นวิธีที่ง่ายและเห็นผลได้เร็วที่สุดเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาผ่อนบ้านไม่ไหว เพราะบางครั้ง รายจ่ายที่เรามองว่า “จำเป็น” จริง ๆ แล้วอาจมีช่องทางลดลงได้ หากรู้จักวางแผนและจัดการให้เหมาะสม

4.1 วิเคราะห์รายจ่ายประจำเดือน

เริ่มจากการจดบันทึกรายจ่ายทั้งหมดเป็นเวลา 1-2 เดือน เพื่อดูว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่สามารถลดหรือเลิกได้ เมื่อมองเห็นตัวเลขที่ชัดเจน จะช่วยให้สามารถวางแผนลดรายจ่ายได้ง่ายขึ้น

4.2 ลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหารและของใช้ในบ้าน

หนึ่งในรายจ่ายที่กินเงินเยอะที่สุดของหลาย ๆ คนคือค่าอาหาร โดยเฉพาะอาหารนอกบ้านและเดลิเวอรี่ที่มีราคาสูงกว่าการทำอาหารกินเองหลายเท่า

4.3 ลดค่าเดินทางและค่ายานพาหนะ

ค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน และค่าจอดรถ อาจเป็นค่าใช้จ่ายที่ใหญ่กว่าที่คิด โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีรถยนต์หลายคัน

4.4 ลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับความบันเทิงและไลฟ์สไตล์

บางครั้งเราจ่ายเงินไปกับสิ่งที่ไม่ได้จำเป็นจริง ๆ เช่น ค่าสมาชิกฟิตเนสที่ไม่ค่อยได้ใช้ ค่าบริการสตรีมมิ่งหลายแพลตฟอร์ม หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการท่องเที่ยว

4.5 ลดค่าสาธารณูปโภคและค่าใช้จ่ายจิปาถะ

ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าโทรศัพท์ และค่าอินเทอร์เน็ต เป็นค่าใช้จ่ายที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ก็สามารถลดลงได้หากรู้จักวิธีใช้อย่างประหยัด

4.6 ลดหรือปรับค่าประกันและหนี้สินอื่น ๆ

หากคุณมีค่าประกันชีวิต ประกันรถยนต์ หรือค่าประกันสุขภาพ อาจลองดูว่ามีแผนประกันที่ถูกลงและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่

5. ขายบ้านเพื่อปิดหนี้ หรือเปลี่ยนไปซื้อบ้านที่ถูกลง

ถ้าหากพยายามทุกทางแล้วแต่ยังไม่สามารถรับภาระต่อไปได้ การขายบ้านอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด แม้ว่าจะเป็นการตัดใจครั้งใหญ่ แต่การยอมรับความจริงตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

วิธีการขายบ้านเพื่อปิดหนี้

  • ประเมินราคาบ้านของคุณ ว่าสามารถขายได้ในราคาที่คุ้มค่าหรือไม่
  • ตรวจสอบยอดหนี้คงเหลือกับธนาคาร
  • หากบ้านมีราคาสูงกว่าหนี้ สามารถขายและนำเงินมาปิดหนี้ได้
  • ถ้าขายบ้านแล้วเหลือเงิน อาจนำไปซื้อบ้านที่ราคาถูกลง หรือเช่าบ้านแทน

บางครั้ง การเลือกบ้านที่เหมาะสมกับกำลังทรัพย์ของเราจะช่วยให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นกว่าการต้องเครียดกับภาระหนี้ที่หนักเกินไป

สรุป

การผ่อนบ้านไม่ไหวเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่หากสถานการณ์บีบบังคับจริง ๆ สิ่งสำคัญคือการยอมรับความจริง และหาทางออกให้เร็วที่สุด

  • หากปัญหาเกิดขึ้นชั่วคราว ให้ลองปรับโครงสร้างหนี้หรือหารายได้เสริม
  • หากปัญหาร้ายแรงจนไม่สามารถแบกรับไหว การขายบ้านหรือหาบ้านที่เหมาะสมกว่าก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อย่าปล่อยให้ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตของคุณมากเกินไป การมีบ้านเป็นเรื่องดี แต่ถ้าการมีบ้านทำให้คุณต้องทุกข์ทรมานเกินไป บางครั้งการเริ่มต้นใหม่อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย