8 ชนิดของไม้ยอดนิยมที่มักจะเอามาทำเฟอร์นิเจอร์

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

เฟอร์นิเจอร์ไม้มีเสน่ห์ที่ยากจะหาใครเทียบได้ ทั้งความสวยงามตามธรรมชาติ ความคงทน และเอกลักษณ์ของลายไม้ที่ทำให้เฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นดูมีชีวิตชีวา แต่ละชนิดของไม้ก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป เช่น ความแข็งแรง ความยืดหยุ่น ความทนทานต่อความชื้นและแมลง ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ส่งผลต่อการใช้งานและดูแลรักษาเฟอร์นิเจอร์ไม้ บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับไม้ 8 ชนิดยอดนิยมที่นิยมนำมาใช้ในการทำเฟอร์นิเจอร์ พร้อมทั้งข้อดี ข้อเสีย และชนิดเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะสมกับไม้แต่ละชนิด

ก่อนจ้างผู้รับเหมาก่อสร้าง ต้องรู้อะไรบ้าง
  • สัญญาการรับเหมาก่อสร้าง

1. ไม้สัก (Teak)

ไม้สักเป็นไม้เนื้อแข็งที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรงทนทานและทนต่อความชื้นสูง มีน้ำมันธรรมชาติในตัวที่ช่วยป้องกันการผุกร่อนและการซึมของน้ำ ซึ่งทำให้ไม้สักเป็นที่นิยมในการทำเฟอร์นิเจอร์กลางแจ้งหรือในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง เนื้อไม้สักยังให้ลวดลายและสีสันที่สวยงาม ตั้งแต่สีน้ำตาลทองไปจนถึงน้ำตาลเข้ม

ข้อดีของไม้สัก

  • แข็งแรงและทนทานมาก ไม่บิดเบี้ยวง่าย
  • มีน้ำมันธรรมชาติช่วยป้องกันความชื้น แมลง และเชื้อรา
  • สีสันสวยงามคลาสสิกและดูมีราคา

ข้อเสียของไม้สัก

  • ราคาสูงเนื่องจากคุณภาพดีและหาได้ยาก
  • น้ำหนักค่อนข้างมาก อาจไม่สะดวกต่อการเคลื่อนย้ายบ่อย ๆ

เฟอร์นิเจอร์ที่นิยมใช้

เหมาะสำหรับเฟอร์นิเจอร์กลางแจ้ง เช่น โต๊ะสนาม เก้าอี้นั่งเล่นกลางแจ้ง หรือแม้กระทั่งพื้นไม้และประตู อีกทั้งยังนิยมใช้กับเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านอย่างเช่น ตู้เสื้อผ้า เตียง โต๊ะอาหาร และเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ ๆ ที่ต้องการความแข็งแรงทนทาน

หรือให้เห็นภาพง่ายๆ ลองนึกถึงพวกที่นั่งหรือเตียงไม้สักก็ได้ เพราะคุณพ่อคุณแม่ของหลายๆ คนชอบเป็นอย่างมาก และไม้สักก็นิยมเอามาทำเฟอร์นิเจอร์ชนิดนี้ด้วยเหมือนกัน

2. ไม้โอ๊ค (Oak)

ไม้โอ๊คเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีชื่อเสียงเรื่องความทนทานและสีสันที่อบอุ่นคลาสสิก มีสีตั้งแต่สีเหลืองอ่อนไปจนถึงน้ำตาลเข้ม ลายไม้โอ๊คมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเป็นที่นิยมในเฟอร์นิเจอร์สไตล์ยุโรปและเฟอร์นิเจอร์แนววินเทจ

ข้อดีของไม้โอ๊ค

  • แข็งแรงทนทาน ทนต่อการขีดข่วนและแรงกระแทก

  • มีสีและลวดลายที่ดูเป็นธรรมชาติและหรูหรา

  • สามารถปรับเข้ากับสไตล์เฟอร์นิเจอร์ได้หลากหลาย

ข้อเสียของไม้โอ๊ค

  • ราคาค่อนข้างสูง และมีน้ำหนักมาก

  • หากมีความชื้นสูง อาจทำให้ไม้โอ๊คขยายตัว

เฟอร์นิเจอร์ที่นิยมใช้

นิยมใช้ทำโต๊ะทานข้าว ตู้วางของ พื้นไม้เนื้อแข็ง หรือเฟอร์นิเจอร์ในห้องรับแขก ไม้โอ๊คเหมาะกับการทำเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความทนทานและการใช้งานในระยะยาว เช่น ตู้เสื้อผ้าและชั้นวางหนังสือ

3. ไม้เมเปิ้ล (Maple)

ไม้เมเปิ้ลเป็นไม้ที่มีเนื้อแน่น สีขาวอมเหลืองอ่อน ให้ความรู้สึกสว่างและสดใส เนื้อไม้เมเปิ้ลเรียบเนียน จึงเหมาะสำหรับการเคลือบเงาและการพ่นสี ซึ่งช่วยให้เฟอร์นิเจอร์ดูสวยงามทันสมัย

ข้อดีของไม้เมเปิ้ล

  • เนื้อไม้แน่นและเรียบเนียน เหมาะกับการทำพื้นผิวที่มันเงา

  • ทนทานต่อการเสียดสีและการใช้งานหนัก

  • สีสว่าง ให้บรรยากาศอบอุ่นแก่ห้อง

ข้อเสียของไม้เมเปิ้ล

  • หากโดนแสงแดดเป็นเวลานาน อาจทำให้สีของไม้เมเปิ้ลเปลี่ยนไป

  • ต้องการการจัดเก็บในที่ที่อากาศถ่ายเทดีเพื่อป้องกันเชื้อรา

เฟอร์นิเจอร์ที่นิยมใช้

ไม้เมเปิ้ลมักใช้ทำโต๊ะทานข้าว เคาน์เตอร์ครัว หรือเฟอร์นิเจอร์ในห้องครัวและห้องทานอาหาร นอกจากนี้ยังเหมาะกับการทำตู้และชั้นวางของที่ต้องการพื้นผิวเรียบเงาและทนทาน

4. ไม้วอลนัท (Walnut)

ไม้วอลนัทเป็นไม้ที่มีสีเข้มและลวดลายที่สวยงามเด่นชัด สีของไม้วอลนัทมีตั้งแต่สีน้ำตาลเข้มจนถึงสีเกือบดำ ทำให้เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้วอลนัทดูหรูหราและมีเสน่ห์ มีความแข็งแรง ทนทาน และทนต่อแรงกระแทกได้ดี

ข้อดีของไม้วอลนัท

  • ลวดลายสวยงามและหรูหรา มีสีที่เข้มโดดเด่น
  • ทนต่อแรงกระแทกและใช้งานหนักได้ดี
  • เพิ่มความหรูหราให้กับพื้นที่ตกแต่งภายใน

ข้อเสียของไม้วอลนัท

  • ราคาแพงและหาได้ยากในบางพื้นที่

  • สีอาจจางเมื่อสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานาน

เฟอร์นิเจอร์ที่นิยมใช้

นิยมนำไปทำโต๊ะทำงาน ตู้หนังสือ เตียง ตู้ทีวี หรือเฟอร์นิเจอร์ห้องนั่งเล่นที่ต้องการความหรูหราและแข็งแรง อีกทั้งยังใช้กับเครื่องประดับภายใน เช่น กล่องเครื่องประดับ และถาดไม้

5. ไม้มะฮอกกานี (Mahogany)

ไม้มะฮอกกานีมีสีแดงน้ำตาลเข้มที่ดูสง่างาม เนื้อไม้มีความละเอียด มีความแข็งแรงทนทานและมีความทนทานต่อเชื้อราและแมลง จึงเป็นที่นิยมในการทำเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความหรูหราและคงทน

ข้อดีของไม้มะฮอกกานี

  • สีแดงน้ำตาลเข้มให้ความหรูหราและมีระดับ

  • ทนทานต่อเชื้อราและแมลง

  • ลวดลายละเอียดและสวยงาม ดูมีค่า

ข้อเสียของไม้มะฮอกกานี

  • ราคาค่อนข้างสูงเนื่องจากความหายาก

  • ต้องการการดูแลรักษาเพื่อคงความสวยงามของสีและความเงางาม

เฟอร์นิเจอร์ที่นิยมใช้

ไม้มะฮอกกานีนิยมใช้กับเฟอร์นิเจอร์หรู เช่น โต๊ะทานข้าว ตู้เสื้อผ้า ตู้โชว์ และเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องรับแขก นอกจากนี้ยังเหมาะกับการทำประตูไม้ขนาดใหญ่ที่ต้องการความแข็งแรง

6. ไม้สน (Pine)

ไม้สนเป็นไม้เนื้ออ่อนที่มีลวดลายธรรมชาติสวยงาม สีเหลืองอ่อนสดใส น้ำหนักเบา และราคาไม่แพง จึงเป็นที่นิยมสำหรับการทำเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งภายใน ไม้สนเป็นวัสดุที่ดีสำหรับเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการเคลื่อนย้ายบ่อย ๆ

ข้อดีของไม้สน

  • ราคาไม่แพง น้ำหนักเบา
  • หาได้ง่ายและลวดลายสวยงามตามธรรมชาติ
  • เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความเบาและตกแต่งง่าย

ข้อเสียของไม้สน

  • เนื้อไม้อ่อน ทำให้เกิดรอยขีดข่วนง่าย
  • ไม่ทนต่อความชื้นและอาจเกิดการบวมในที่ชื้น

เฟอร์นิเจอร์ที่นิยมใช้

เหมาะกับการทำตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน ชั้นวางของ เตียงนอน และเฟอร์นิเจอร์ในห้องนอนหรือห้องเด็ก นอกจากนี้ยังใช้เป็นวัสดุในการทำประตูและโครงสร้างห้องได้เช่นกัน

7. ไม้แอช (Ash)

ไม้แอชเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความแข็งแรงและยืดหยุ่น น้ำหนักเบากว่าไม้เนื้อแข็งชนิดอื่น ๆ และมีลวดลายสวยงาม โทนสีอ่อนของไม้แอชช่วยเพิ่มความสดใสให้กับห้อง นิยมใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ที่มีการออกแบบสมัยใหม่และร่วมสมัย

ข้อดีของไม้แอช

  • แข็งแรง ยืดหยุ่น และมีน้ำหนักเบา
  • ลวดลายไม้สวยงาม เพิ่มความสดใสให้กับพื้นที่
  • ทนต่อแรงกระแทกได้ดี

ข้อเสียของไม้แอช

  • ไม่ทนต่อความชื้นมากนัก อาจเกิดการบวมในที่มีความชื้นสูง

เฟอร์นิเจอร์ที่นิยมใช้

ไม้แอชมักใช้ทำเก้าอี้ โต๊ะทำงาน ชั้นวางของ และเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งภายในที่เน้นการออกแบบที่ดูทันสมัยและอ่อนโยน

8. ไม้เชอร์รี่ (Cherry)

ไม้เชอร์รี่เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีสีแดงเข้มและความเงางามเป็นเอกลักษณ์ มีลวดลายไม้ละเอียดสวยงาม ทำให้เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้เชอร์รี่ดูหรูหราและมีความเป็นธรรมชาติ

ข้อดีของไม้เชอร์รี่

  • สีสันและลวดลายสวยงาม เหมาะกับการตกแต่งที่ดูหรูหรา
  • เนื้อไม้แข็งแรงและทนทาน
  • เพิ่มมูลค่าให้เฟอร์นิเจอร์อย่างมีระดับ

ข้อเสียของไม้เชอร์รี่

  • มีราคาแพง
  • ต้องการการดูแลรักษาเพื่อรักษาสีและความเงางาม และอาจเปลี่ยนสีเมื่อโดนแสงแดด

เฟอร์นิเจอร์ที่นิยมใช้

ไม้เชอร์รี่นิยมใช้ทำโต๊ะทำงาน ตู้หนังสือ โต๊ะทานข้าว และเฟอร์นิเจอร์ห้องนอนที่ต้องการความหรูหราและดูสวยงาม รวมถึงใช้เป็นวัสดุตกแต่งที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น

สรุป

การเลือกใช้ไม้ในการทำเฟอร์นิเจอร์เป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับการได้เฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ หากต้องการเฟอร์นิเจอร์ที่ทนทานและสวยงามตลอดการใช้งาน ไม้เนื้อแข็งอย่างไม้สัก ไม้โอ๊ค และไม้วอลนัทเป็นตัวเลือกที่ดี ในขณะที่ไม้สนและไม้แอชเหมาะสำหรับเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการน้ำหนักเบาและราคาไม่สูงนัก การดูแลรักษาไม้ที่ถูกต้องยังช่วยยืดอายุการใช้งานและเพิ่มความสวยงามให้กับเฟอร์นิเจอร์ได้อีกยาวนาน


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

บ้านเดี่ยวกับทาวน์เฮ้าส์ต่างกันอย่างไร? อ่านก่อนเลือกบ้านให้ตอบโจทย์ชีวิต

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

การสร้างบ้านสักหลังเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ ซึ่งขึ้นอยู่กับทั้งงบประมาณ ความต้องการด้านการใช้งานพื้นที่ และสไตล์การอยู่อาศัยของแต่ละคน การเลือกบ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮ้าส์นั้นถือว่ามีความแตกต่างชัดเจน หากเข้าใจถึงจุดเด่นและข้อจำกัดของทั้งสองประเภทนี้ก็จะช่วยให้เลือกบ้านที่เหมาะสมได้มากขึ้น ลองมาดูกันว่าบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์มีจุดเด่นอะไรบ้าง และแบบไหนที่จะเข้ากับชีวิตของคุณได้ดีที่สุด

ทาวน์เฮ้าส์ คืออะไร?

ทาวน์เฮ้าส์ (Townhouse) คือบ้านที่มีลักษณะเป็นบ้านแถวที่ใช้ผนังร่วมกันกับบ้านหลังข้างเคียงอย่างน้อยหนึ่งด้าน จึงมีรูปแบบบ้านที่เรียงต่อกันไปตามแนวเดียวกัน มักมีขนาดกะทัดรัดแต่ใช้พื้นที่ได้คุ้มค่า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบ้านที่ไม่ต้องดูแลพื้นที่เยอะและราคาย่อมเยากว่าบ้านเดี่ยว ซึ่งทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยมในเมืองที่มีที่ดินจำกัด การออกแบบของทาวน์เฮ้าส์มักคำนึงถึงการใช้สอยอย่างครบครัน เช่น มีห้องนอน 2-3 ห้อง ห้องน้ำ 1-2 ห้อง และพื้นที่จอดรถหน้าบ้าน ถึงแม้จะมีพื้นที่รอบบ้านน้อยกว่า แต่สามารถจัดสวนขนาดเล็กหรือวางโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งพักผ่อนหน้าบ้านได้ ทำให้ทาวน์เฮ้าส์เหมาะกับครอบครัวขนาดเล็กหรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นสร้างครอบครัว

บ้านเดี่ยว คืออะไร?

บ้านเดี่ยว (Single-family House) คือบ้านที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ของตนเอง โดยมีบริเวณรอบบ้านที่เป็นของเจ้าของบ้านทั้งหมด ทำให้บ้านเดี่ยวมีความเป็นอิสระสูงกว่าทาวน์เฮ้าส์ เพราะไม่มีการใช้ผนังร่วมกับบ้านหลังอื่น บ้านเดี่ยวจึงมีพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการจัดสวน ปลูกต้นไม้ หรือตกแต่งภูมิทัศน์ได้ตามใจต้องการ อีกทั้งยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสงบและเป็นส่วนตัว เพราะมีระยะห่างจากบ้านข้างเคียงมากกว่า และมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านที่หลากหลาย บ้านเดี่ยวมักมีขนาดใหญ่กว่า รองรับห้องนอนและห้องเอนกประสงค์หลายห้อง ทำให้เหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่หรือผู้ที่ต้องการพื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ในอนาค

บ้านเดี่ยว ความเป็นส่วนตัวที่สูงและพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า

บ้านเดี่ยวเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสงบและเป็นอิสระเต็มที่ บ้านประเภทนี้มักตั้งอยู่บนที่ดินกว้าง มีอาณาเขตชัดเจน และไม่ต้องใช้ผนังร่วมกับบ้านหลังอื่น ทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความเป็นส่วนตัวสูง สามารถจัดพื้นที่รอบบ้านเป็นสวน หรือใช้เป็นพื้นที่พักผ่อนกลางแจ้งได้ นอกจากนี้ บ้านเดี่ยวยังมักมีพื้นที่กว้างขวางภายในบ้านและรองรับห้องนอนหลายห้อง ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น

พื้นที่ใช้สอยและความเป็นส่วนตัว : บ้านเดี่ยวมักมีบริเวณที่ดินรอบบ้าน จึงให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว เหมาะกับผู้ที่ต้องการอยู่แบบสงบและมีความเป็นอิสระ

เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ : พื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง สามารถจัดห้องนอนหรือห้องเอนกประสงค์ได้ตามความต้องการของสมาชิกในครอบครัว

ความสงบและอิสระ : การไม่มีผนังร่วมกับบ้านข้างเคียงช่วยให้บ้านเดี่ยวเงียบสงบ ผู้อยู่อาศัยสามารถจัดกิจกรรมกลางแจ้งหรือเลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้สะดวก

ราคาและการบำรุงรักษา : บ้านเดี่ยวมักมีราคาสูงกว่าทาวน์เฮ้าส์ตามขนาดของพื้นที่ที่ดิน อีกทั้งต้องมีค่าใช้จ่ายสำหรับการดูแลสวนหรือพื้นที่รอบบ้านมากกว่าด้วย

ทาวน์เฮ้าส์ บ้านราคาคุ้มค่าและดูแลรักษาง่าย

ทาวน์เฮ้าส์เป็นบ้านที่ออกแบบมาให้ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า และเข้าถึงได้ง่ายกว่าในด้านราคา โดยมักมีลักษณะเป็นบ้านแถวที่ใช้ผนังร่วมกับบ้านหลังข้างเคียง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบ้านขนาดพอดี ราคาไม่สูงมาก และไม่ต้องการดูแลสวนหรือพื้นที่ภายนอกมากนัก ทาวน์เฮ้าส์ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในทำเลใกล้เมือง ซึ่งเป็นข้อดีสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกในการเดินทางและเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก

ความคุ้มค่าทางการเงิน : ราคาย่อมเยา ทำให้ทาวน์เฮ้าส์เหมาะกับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด หรือคนที่เพิ่งเริ่มสร้างครอบครัว และต้องการบ้านที่มีความคุ้มค่า

พื้นที่ใช้สอยที่เหมาะสม : ทาวน์เฮ้าส์มักมีพื้นที่ขนาดกะทัดรัด โดยออกแบบให้ใช้สอยทุกตารางเมตรได้เต็มที่ แม้ว่าจะมีพื้นที่รอบบ้านน้อยกว่า แต่ก็สามารถเพิ่มห้องนอน ห้องน้ำ และพื้นที่ครัวได้เพียงพอ

ตั้งอยู่ในทำเลใกล้เมือง : ทาวน์เฮ้าส์ส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ในเขตที่เข้าถึงตัวเมืองได้ง่าย ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการลดระยะเวลาในการเดินทาง

ความเป็นส่วนตัวน้อยกว่า : เนื่องจากเป็นบ้านที่ใช้ผนังร่วมกับบ้านข้างเคียง อาจมีเสียงรบกวน แต่สามารถเพิ่มฉนวนกันเสียงเพื่อช่วยลดเสียงได้บ้าง

การดูแลรักษาและค่าใช้จ่ายที่ควรคำนึงถึง

บ้านทั้งสองแบบมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาแตกต่างกันออกไป เนื่องจากบ้านเดี่ยวมีพื้นที่ใหญ่กว่า จึงต้องเผื่อเวลาและค่าใช้จ่ายสำหรับการดูแลสวนและพื้นที่รอบบ้านมากกว่า ส่วนทาวน์เฮ้าส์มีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาที่น้อยลง แต่สำหรับบางคนที่ซื้อตรงกับโครงการ บางโครงการอาจมีค่าส่วนกลางเพิ่มเติมเพื่อดูแลพื้นที่ส่วนรวม ผู้อยู่อาศัยจึงควรคำนึงถึงค่าใช้จ่ายเหล่านี้เพื่อให้สามารถวางแผนการเงินได้อย่างเหมาะสม

ค่าใช้จ่ายในการดูแล : บ้านเดี่ยวมักต้องดูแลสวนและพื้นที่รอบบ้านมากขึ้น ในขณะที่ทาวน์เฮ้าส์มีพื้นที่ขนาดเล็ก ดูแลง่ายและประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า

ค่าส่วนกลาง : ทาวน์เฮ้าส์บางโครงการอาจมีค่าส่วนกลางสำหรับการดูแลสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น สวนสาธารณะ สนามเด็กเล่น หรือที่จอดรถรวม ส่วนบ้านเดี่ยวจะไม่มีค่าส่วนกลาง แต่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดูแลเอง

ค่าประกันภัยและการซ่อมแซม : บ้านทั้งสองประเภทมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการบำรุงรักษาที่ต่างกันไป บ้านเดี่ยวอาจมีค่าใช้จ่ายด้านประกันที่สูงขึ้น ส่วนทาวน์เฮ้าส์มักมีค่าใช้จ่ายหลักเกี่ยวกับการบำรุงภายในบ้าน

ปัจจัยในการตัดสินใจประเภทบ้าน

หากคุณกำลังตัดสินใจซื้อบ้าน ควรเริ่มจากการประเมินปัจจัยต่าง ๆ เช่น งบประมาณ ไลฟ์สไตล์ การเดินทาง และแผนชีวิตในอนาคต บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ต่างก็ตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกบ้านที่ใช่จะต้องเริ่มจากความต้องการและความสะดวกของคุณเป็นหลัก

งบประมาณและเป้าหมายในอนาคต : หากมีงบจำกัด ทาวน์เฮ้าส์จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า แต่หากต้องการขยายครอบครัว บ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่มากกว่าย่อมตอบโจทย์ในระยะยาวได้ดี

ไลฟ์สไตล์และความชอบส่วนตัว : บ้านเดี่ยวเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง ส่วนทาวน์เฮ้าส์เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความสะดวกในการเดินทางและอยู่ในทำเลที่เข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกง่าย

การเดินทางและความสะดวก : ทาวน์เฮ้าส์มักตั้งอยู่ใกล้ตัวเมืองมากกว่า ช่วยลดระยะเวลาการเดินทาง ในขณะที่บ้านเดี่ยวมักอยู่ชานเมือง เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบบรรยากาศเงียบสงบมากกว่า

สรุป

การเลือกบ้านนั้นเป็นการตัดสินใจระยะยาวที่ขึ้นอยู่กับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน บ้านเดี่ยวเหมาะกับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและพื้นที่ที่กว้างขวาง ส่วนทาวน์เฮ้าส์เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในการดูแลรักษาง่าย เหมาะกับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการเข้าถึงทำเลกลางเมือง หวังว่าคุณจะได้ข้อมูลครบถ้วนเพื่อการตัดสินใจที่ตอบโจทย์นะคะ


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

เปลี่ยนบ้านเก่าให้กลายเป็นบ้านใหม่ด้วยการทำสิ่งนี้

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

การปรับปรุงบ้านเก่าให้ทันสมัยไม่เพียงแค่ทำให้บ้านมีรูปลักษณ์ที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ประหยัดพลังงาน และเพิ่มมูลค่าของบ้านได้อีกด้วย การรีโนเวทบ้านเก่าจำเป็นต้องมีการวางแผนที่ดีและคำนึงถึงการใช้งานในปัจจุบัน เรามาอธิบายขั้นตอนและแนวทางการปรับปรุงบ้านเก่าให้ดูทันสมัยในรายละเอียดกันดังนี้

1.การวางแผนรีโนเวทบ้าน

ขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดในการรีโนเวทบ้านคือการวางแผน คุณควรเริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายว่าคุณต้องการปรับปรุงบ้านอย่างไร เช่น คุณต้องการทำให้บ้านดูกว้างขึ้น ทันสมัยขึ้น หรืออยากเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ จากนั้นคำนวณงบประมาณและเวลาในการทำงานให้เหมาะสมกับเป้าหมาย

ประเมินโครงสร้างบ้าน ตรวจสอบโครงสร้างบ้านว่ายังแข็งแรงพอหรือไม่ หากบ้านมีอายุเก่ามาก การปรับปรุงโครงสร้างอาจจำเป็น รวมถึงการตรวจสอบระบบไฟฟ้าและประปา

จัดสรรงบประมาณ กำหนดงบประมาณที่ชัดเจนเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย ระบุว่าส่วนไหนที่ต้องการปรับปรุงมากที่สุด เช่น การเปลี่ยนหลังคา ทาสีผนัง หรือการปรับปรุงห้องน้ำ

เลือกวัสดุที่เหมาะสม เลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพและเข้ากับสไตล์ที่คุณต้องการ เช่น วัสดุที่ทันสมัย ทนทาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

2. ปรับปรุงภายนอกบ้าน

การปรับปรุงภายนอกบ้านสามารถเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของบ้านได้อย่างชัดเจน ทำให้บ้านเก่าดูใหม่และทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยสามารถปรับปรุงได้หลายวิธี เช่น

ทาสีใหม่ การทาสีบ้านเป็นวิธีที่ง่ายและประหยัดในการเปลี่ยนลุคของบ้าน เลือกสีที่เป็นกลางหรือสีโทนธรรมชาติ เช่น สีขาว สีเทาอ่อน หรือสีเบจ ที่ช่วยให้บ้านดูสะอาดและทันสมัย

เปลี่ยนหลังคา หลังคาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บ้านดูเก่า หากหลังคาเริ่มเสื่อมสภาพ การเปลี่ยนหลังคาหรือซ่อมแซมหลังคาจะช่วยเพิ่มความทันสมัยและความแข็งแรงให้กับบ้าน

ปรับปรุงหน้าต่างและประตู การเปลี่ยนหน้าต่างและประตูใหม่โดยเลือกใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติประหยัดพลังงาน เช่น หน้าต่างกระจกสองชั้น (Double-glazed windows) จะช่วยให้บ้านดูทันสมัยขึ้นและลดการใช้พลังงานภายในบ้าน

การจัดสวนและพื้นที่กลางแจ้ง ปรับปรุงสวนหรือทางเดินหน้าบ้านด้วยการใช้วัสดุทันสมัย เช่น หินทราย แผ่นคอนกรีต หรือปลูกพืชที่ดูแลง่ายและสวยงาม นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มพื้นที่กลางแจ้งสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ลานนั่งเล่นหรือระเบียง

3. การปรับปรุงภายในบ้าน

การรีโนเวทภายในบ้านเป็นส่วนที่สร้างความเปลี่ยนแปลงใหญ่ให้กับบ้านเก่า การปรับแต่งพื้นที่ใช้งานภายในบ้านให้มีความทันสมัยและเพิ่มความสะดวกสบายจะช่วยให้บ้านของคุณดูใหม่และน่าอยู่มากขึ้น

3.1 การจัดวางพื้นที่ใหม่ (Open Space)

บ้านเก่ามักมีการแบ่งพื้นที่ห้องต่างๆ อย่างชัดเจน หากคุณต้องการปรับปรุงให้บ้านดูทันสมัยมากขึ้น การจัดการพื้นที่แบบเปิดโล่ง (Open Space) เป็นวิธีที่ได้รับความนิยม การทุบผนังบางส่วนออกเพื่อให้พื้นที่ภายในบ้านดูโล่งและกว้างขึ้น ทำให้แสงธรรมชาติเข้าสู่บ้านได้มากขึ้น ช่วยให้บ้านดูโปร่งและทันสมัยมากยิ่งขึ้น

3.2 การปรับปรุงห้องครัว

ห้องครัวเป็นหัวใจของบ้าน การปรับปรุงห้องครัวให้มีสไตล์โมเดิร์นจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับบ้าน เช่น

เปลี่ยนตู้ครัว เลือกใช้ตู้ครัวที่มีดีไซน์เรียบง่าย สีขาวหรือสีเทาอ่อน พร้อมทั้งมีฟังก์ชันการจัดเก็บที่ดี

เพิ่มพื้นที่เก็บของ ใช้พื้นที่ผนังในการติดตั้งชั้นวางเพื่อเก็บของให้มากขึ้น ทำให้พื้นที่ดูเรียบร้อยและทันสมัย

อัปเกรดเครื่องใช้ไฟฟ้า เปลี่ยนมาใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น เตาอบแบบไฟฟ้า ตู้เย็นประหยัดพลังงาน หรือเครื่องล้างจาน ที่ช่วยประหยัดพลังงานและเวลาในการทำงาน

3.3 การปรับปรุงห้องน้ำ

ห้องน้ำเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่สามารถปรับปรุงให้ดูทันสมัยและสะดวกสบายมากขึ้นโดย

เลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง การเปลี่ยนพื้นห้องน้ำหรือผนังด้วยวัสดุอย่างกระเบื้องโมเสคหรือหินธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกหรูหราและทันสมัย

อัปเกรดสุขภัณฑ์ ติดตั้งสุขภัณฑ์ใหม่ที่มีดีไซน์โมเดิร์น เช่น อ่างล้างหน้าแบบฝังหรือสุขภัณฑ์ที่ประหยัดน้ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

เพิ่มแสงธรรมชาติ หากมีพื้นที่สามารถเพิ่มหน้าต่างในห้องน้ำได้ จะช่วยให้แสงธรรมชาติเข้าถึงและทำให้ห้องน้ำดูโปร่งและน่าใช้งานมากขึ้น

3.4 การจัดการแสงภายในบ้าน

การปรับปรุงระบบไฟในบ้านเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้บ้านดูทันสมัยและสวยงามมากยิ่งขึ้น

การใช้ไฟ LED เปลี่ยนมาใช้ไฟ LED ที่ประหยัดพลังงานและมีอายุการใช้งานยาวนาน รวมถึงสามารถเลือกไฟที่มีโทนแสงที่เหมาะสมกับแต่ละห้องได้

การติดตั้งไฟซ่อน (Recessed Lighting) เป็นเทคนิคที่ช่วยให้บ้านดูมีมิติและทันสมัย โดยใช้ไฟซ่อนในฝ้าเพดานหรือขอบผนังเพื่อเพิ่มความสว่างอย่างนุ่มนวล

การใช้แสงธรรมชาติ การปรับปรุงหน้าต่างหรือประตูที่สามารถเปิดรับแสงธรรมชาติให้เข้าสู่บ้านได้มากที่สุด จะช่วยให้บ้านดูโปร่งโล่งและมีชีวิตชีวามากขึ้น

3.5 ปรับปรุงพื้นบ้าน

การเปลี่ยนพื้นเป็นอีกหนึ่งการปรับปรุงที่สามารถทำให้บ้านดูทันสมัยและน่าอยู่มากขึ้น

พื้นไม้ลามิเนต เป็นวัสดุที่นิยมใช้ในบ้านสไตล์โมเดิร์น เพราะมีลักษณะคล้ายไม้จริง แต่ราคาไม่สูง และติดตั้งได้ง่าย

พื้นกระเบื้องใหญ่ หากคุณต้องการให้บ้านดูหรูหราและโมเดิร์น การใช้กระเบื้องแผ่นใหญ่ในห้องน้ำหรือห้องนั่งเล่นจะช่วยเพิ่มความสวยงาม

พรมสมัยใหม่ ใช้พรมขนสั้นที่มีลวดลายและสีสันทันสมัยเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับบ้าน

4. การปรับปรุงระบบภายใน

เมื่อบ้านเก่า ระบบภายในเช่นระบบไฟฟ้า ประปา และระบบการจัดการอากาศมักจะมีปัญหา การปรับปรุงระบบเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งานภายในบ้าน

ระบบไฟฟ้า หากระบบไฟฟ้าในบ้านเก่าและล้าสมัย ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่ออัปเกรดระบบให้ทันสมัย เช่น เปลี่ยนสายไฟ ปลั๊กไฟ หรือการติดตั้งระบบไฟฟ้าที่มีความปลอดภัยมากขึ้น

ระบบประปา ตรวจสอบและแก้ไขระบบท่อน้ำในบ้านเพื่อป้องกันปัญหาน้ำรั่วหรือระบบน้ำที่ทำงานผิดปกติ

การตรวจสอบท่อน้ำและสุขภัณฑ์ ตรวจสอบท่อน้ำและสุขภัณฑ์ในบ้าน เช่น อ่างล้างหน้า ห้องน้ำ หรือท่อน้ำใช้สำหรับเครื่องซักผ้า หากมีรอยรั่วหรือการเสื่อมสภาพ ควรเปลี่ยนใหม่ เพื่อป้องกันปัญหาน้ำรั่วซึมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ระบบจัดการอากาศ หากบ้านของคุณมีระบบปรับอากาศ ควรทำการตรวจสอบระบบให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ทำความสะอาดหรือเปลี่ยนแผ่นกรอง เพื่อให้ได้รับอากาศที่สะอาดและเย็นสบาย

5. สร้างฟังก์ชันการใช้งานใหม่

การปรับปรุงบ้านเก่ายังสามารถเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานใหม่ๆ ที่ช่วยให้บ้านสะดวกสบายและทันสมัยมากขึ้น เช่น

การเพิ่มห้องทำงานที่บ้าน ในยุคที่การทำงานจากบ้านได้รับความนิยม การมีห้องทำงานที่เงียบสงบและเป็นระเบียบจะช่วยให้คุณมีสมาธิในการทำงานมากขึ้น

ห้องออกกำลังกาย สร้างพื้นที่สำหรับออกกำลังกายที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นห้องเล็กๆ ที่มีอุปกรณ์ออกกำลังกายเบื้องต้น หรือการเปลี่ยนพื้นที่ภายในบ้านให้เหมาะสำหรับการออกกำลังกาย

ห้องสำหรับเด็ก หากมีเด็กในบ้าน การสร้างพื้นที่เล่นที่ปลอดภัยและน่าสนใจจะช่วยให้เด็กสามารถเล่นได้อย่างเพลิดเพลิน

เพิ่มเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Home)

การนำเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Home) เข้ามาใช้ในบ้านจะช่วยให้บ้านของคุณสะดวกสบายมากขึ้น และช่วยประหยัดพลังงาน เช่น

ระบบไฟอัจฉริยะ ใช้หลอดไฟที่สามารถควบคุมได้ผ่านแอปพลิเคชันหรือเสียง เช่น ตั้งเวลาเปิดปิดไฟหรือเปลี่ยนสีไฟได้ตามความต้องการ

กล้องวงจรปิดและระบบรักษาความปลอดภัย การติดตั้งกล้องวงจรปิดหรือระบบรักษาความปลอดภัยที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านสมาร์ทโฟนจะช่วยให้คุณมีความอุ่นใจมากขึ้นในเรื่องความปลอดภัย

อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน เช่น เครื่องปรับอากาศที่สามารถควบคุมจากระยะไกล การใช้ระบบปิดไฟอัตโนมัติเมื่อไม่มีผู้ใช้งาน

7. การเลือกเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่ง

การเลือกเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งภายในบ้านก็มีส่วนสำคัญในการปรับปรุงบ้านเก่าให้ดูทันสมัย 

เฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์เรียบง่าย เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีรูปแบบเรียบง่ายและทันสมัย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและดูสวยงาม

การใช้วัสดุธรรมชาติ เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้จริงหรือวัสดุธรรมชาติอื่นๆ จะช่วยเพิ่มความอบอุ่นและความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติในบ้าน

การจัดการพื้นที่ การจัดเฟอร์นิเจอร์ในบ้านให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยและความสะดวกสบาย เช่น การใช้โต๊ะที่มีความสามารถในการเก็บของ หรือการเลือกเก้าอี้ที่สามารถพับได้

8. การดูแลรักษาและบำรุงรักษาบ้าน

หลังจากปรับปรุงบ้านให้ทันสมัยแล้ว สิ่งสำคัญคือการดูแลรักษาและบำรุงรักษาเพื่อให้บ้านยังคงสภาพดีอยู่เสมอ เช่น

การทำความสะอาดเป็นประจำ ทำความสะอาดบ้านอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะบริเวณที่มีการใช้งานบ่อย เช่น ห้องครัวและห้องน้ำ เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคและคราบสกปรก

การตรวจสอบสภาพบ้าน ตรวจสอบสภาพบ้านเป็นระยะ เช่น เช็คหลังคา ระบบไฟฟ้า และท่อน้ำ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

การทาสีและซ่อมแซม การทาสีใหม่หรือซ่อมแซมส่วนที่เสื่อมสภาพ จะช่วยทำให้บ้านดูใหม่อยู่เสมอ

สรุป

การปรับปรุงบ้านเก่าให้ทันสมัยเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่เมื่อทำสำเร็จแล้วจะทำให้บ้านของคุณดูใหม่ สวยงาม และสะดวกสบายมากขึ้น การวางแผนที่ดี การเลือกวัสดุที่เหมาะสม รวมถึงการเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานและเทคโนโลยีอัจฉริยะ จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับบ้านและทำให้การใช้ชีวิตในบ้านเป็นไปอย่างมีคุณภาพ

ดังนั้น หากคุณมีบ้านเก่าที่ต้องการปรับปรุง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงภายนอกหรือภายในบ้าน ลองใช้แนวทางที่ได้กล่าวมาข้างต้น เพื่อสร้างบ้านที่ทันสมัยและน่าอยู่มากยิ่งขึ้น รับรองว่าคุณจะได้สัมผัสกับการใช้ชีวิตที่ดีกว่าเดิมในบ้านที่คุณรัก


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

วิธีแก้ปัญหาคราบน้ำมัน แก้ได้ทั้งคราบเก่าและใหม่

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

การทำความสะอาดคราบน้ำมันในครัวเป็นงานที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องยากและใช้เวลานาน แต่ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง การจัดการกับคราบน้ำมันจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องหนักใจอีกต่อไป คราบน้ำมันเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในห้องครัว เนื่องจากการทำอาหารมักมีการใช้น้ำมันหรือไขมันในการประกอบอาหาร ซึ่งน้ำมันเหล่านี้จะกระเด็นหรือสะสมอยู่ตามผิวต่างๆ ของครัว เช่น ผนัง พื้นโต๊ะทำอาหาร เตา หรือแม้แต่บนอุปกรณ์ทำอาหาร ด้วยความที่คราบน้ำมันมีคุณสมบัติเหนียวและยึดติดกับพื้นผิวได้ง่าย จึงจำเป็นต้องใช้เทคนิคและเครื่องมือที่เหมาะสมในการทำความสะอาดให้หมดจด

1. เลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดที่เหมาะสม

การเลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ น้ำยาทำความสะอาดคราบน้ำมันมีหลายประเภทที่เหมาะสำหรับการใช้งานในครัว ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีและวิธีการใช้งานที่ต่างกันไป

น้ำยาล้างจาน

น้ำยาล้างจาน

น้ำยาล้างจานเป็นผลิตภัณฑ์ที่หาได้ง่ายและมีประสิทธิภาพในการล้างคราบน้ำมันเบื้องต้น เนื่องจากน้ำยาล้างจานมีคุณสมบัติในการละลายน้ำมัน จึงสามารถใช้เช็ดทำความสะอาดพื้นผิวที่มีคราบน้ำมัน เช่น เตา อ่างล้างจาน หรือพื้นผิวบนโต๊ะอาหาร

เบกกิ้งโซดา

เบคกิ้งโซดา

ภาพจาก : ฺBob Villa

เบกกิ้งโซดาเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่สามารถขจัดคราบน้ำมันได้ดี โดยเฉพาะคราบที่สะสมมานานและติดแน่น เบกกิ้งโซดามีคุณสมบัติเป็นด่าง ซึ่งจะทำให้สามารถทำลายโครงสร้างของน้ำมันและทำให้คราบหลุดออกได้ง่าย

น้ำส้มสายชู

น้ำส้มสายชู

ภาพจาก : Real Simple

น้ำส้มสายชูมีกรดอะซิติกที่ช่วยในการขจัดคราบน้ำมันได้ดี โดยเฉพาะคราบน้ำมันที่อยู่ตามผิวที่เป็นกระจกหรือเหล็กกล้าไร้สนิม นอกจากนี้ยังช่วยขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่มาจากการทำอาหารได้อีกด้วย

น้ำมันมะกอกหรือไขมันชนิดอื่น

การใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันชนิดอื่นๆ ในการล้างคราบน้ำมันอาจฟังดูขัดแย้ง แต่ในบางกรณีการใช้น้ำมันชนิดที่ดีในการละลายน้ำมันเก่าที่สะสมอยู่สามารถช่วยให้คราบหลุดออกได้ง่าย

2. เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการทำความสะอาด

นอกจากการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่เหมาะสมแล้ว การเตรียมเครื่องมือที่จำเป็นจะช่วยให้การทำความสะอาดเป็นเรื่องง่ายขึ้น เครื่องมือที่สามารถใช้ได้มีดังนี้:

ฟองน้ำหรือผ้าไมโครไฟเบอร์

ฟองน้ำที่มีความอ่อนนุ่มเหมาะสำหรับการเช็ดทำความสะอาดพื้นผิวที่เป็นกระจกหรือพื้นผิวมัน ส่วนผ้าไมโครไฟเบอร์มีคุณสมบัติในการดูดซับน้ำมันได้ดี ช่วยให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพ

แปรงขัด

แปรงขัดเหมาะสำหรับการทำความสะอาดคราบน้ำมันที่ฝังลึกหรือติดอยู่ตามซอกที่เข้าถึงยาก เช่น ในมุมของเตาอบหรือกระทะ

กระดาษทิชชู่สำหรับครัวโดยเฉพาะ

กระดาษทิชชู่สามารถช่วยดูดซับน้ำมันได้อย่างรวดเร็ว และเป็นทางเลือกที่สะดวกเมื่อคุณต้องการทำความสะอาดคราบน้ำมันอย่างรวดเร็ว

มะนาวกับเกลือ

ภาพจาก : Yummy.ph

สำหรับคราบน้ำมันที่สะสมอยู่บนพื้นผิวที่เป็นไม้หรือหินธรรมชาติ การใช้มะนาวและเกลือเป็นทางเลือกที่ดี มะนาวมีกรดซิตริกที่ช่วยในการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค ส่วนเกลือมีคุณสมบัติในการขัดคราบฝังแน่น

วิธีการใช้มะนาวและเกลือ

บีบน้ำมะนาวลงบนคราบน้ำมันแล้วโรยเกลือตามไป จากนั้นใช้ผ้าหรือแปรงขัดเบาๆ คราบน้ำมันจะหลุดออกมาอย่างง่ายดาย นอกจากนี้ กลิ่นหอมจากมะนาวยังช่วยให้ครัวมีกลิ่นสะอาดสดชื่นด้วย

3. วิธีการทำความสะอาดคราบน้ำมันที่สะสมอยู่บนพื้นผิวต่างๆ

คราบน้ำมันบนเตาและผนังครัว

คราบน้ำมันบนผนัง

ภาพจาก : Soji Cleaners

เตาและผนังครัวเป็นจุดที่ได้รับผลกระทบจากการสะสมของคราบน้ำมันมากที่สุด เนื่องจากเป็นบริเวณที่มักมีการประกอบอาหารและมีการใช้น้ำมันโดยตรง วิธีการทำความสะอาดมีดังนี้

– ใช้น้ำยาล้างจาน ผสมน้ำยาล้างจานกับน้ำอุ่น จากนั้นใช้ฟองน้ำหรือผ้าไมโครไฟเบอร์ชุบน้ำยาที่ผสมแล้วเช็ดคราบน้ำมันออก สำหรับคราบน้ำมันที่ติดแน่น ให้ทิ้งน้ำยาล้างจานไว้บนคราบสักครู่ก่อนที่จะเช็ดออก

– ใช้เบกกิ้งโซดา โรยเบกกิ้งโซดาลงบนฟองน้ำหรือผ้าที่เปียกน้ำ แล้วเช็ดไปบนคราบน้ำมัน หากคราบยังไม่ออก ให้นำฟองน้ำหรือผ้าชุบน้ำส้มสายชูแล้วเช็ดทับอีกครั้ง

คราบน้ำมันบนโต๊ะทำอาหารและพื้นผิวที่เป็นสแตนเลส

พื้นผิวที่เป็นสแตนเลสมีความทนทานต่อการขัดและการทำความสะอาด จึงสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดได้หลากหลายวิธี

– ใช้น้ำส้มสายชู ผสมน้ำส้มสายชูกับน้ำในสัดส่วนที่เท่ากัน จากนั้นใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ชุบส่วนผสมนี้แล้วเช็ดคราบน้ำมันออก จะช่วยให้คราบน้ำมันหลุดออกได้ง่ายและทำให้พื้นผิวสแตนเลสดูเงางาม

– ใช้เบกกิ้งโซดา หากคราบน้ำมันฝังแน่น โรยเบกกิ้งโซดาลงบนคราบแล้วใช้แปรงขัดเบาๆ จะช่วยทำให้คราบหลุดออกมา

คราบน้ำมันบนพื้นครัว

พื้นครัวที่เป็นกระเบื้องหรือหินมักมีการสะสมของคราบน้ำมัน โดยเฉพาะในบริเวณที่อยู่ใกล้เตาทำอาหารหรือซิงค์ล้างจาน

– ใช้น้ำยาทำความสะอาดสำหรับพื้น เลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดพื้นครัวที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการขจัดคราบน้ำมัน ผสมน้ำยาเข้ากับน้ำแล้วใช้ไม้ถูพื้นที่มีผ้าไมโครไฟเบอร์ถูคราบออก

– ใช้เบกกิ้งโซดาผสมน้ำ หากเป็นคราบที่ติดแน่นหรือสะสมมานาน ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำเพื่อให้เป็นเนื้อครีม จากนั้นใช้แปรงขัดพื้นขัดคราบน้ำมันออก

4. การป้องกันการเกิดคราบน้ำมันในครัว

นอกจากการทำความสะอาดแล้ว การป้องกันไม่ให้คราบน้ำมันสะสมในครัวก็เป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อความสะอาดของบ้านและลดภาระการทำความสะอาดหนักในอนาคต

– เช็ดคราบน้ำมันทันที เมื่อทำอาหารเสร็จแล้วควรเช็ดคราบน้ำมันที่กระเด็นหรือหกเลอะพื้นผิวทันที อย่าปล่อยให้คราบสะสมจนกลายเป็นคราบที่ติดแน่น

– ใช้ที่ครอบกระทะหรือหม้อ ขณะที่กำลังทำอาหารที่มีน้ำมันกระเด็น ควรใช้ที่ครอบกระทะหรือหม้อเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมันกระเด็นไปติดตามพื้นผิวต่างๆ

– ทำความสะอาดพื้นผิวครัวทุกสัปดาห์ การทำความสะอาดเป็นประจำจะช่วยลดปัญหาการสะสมของคราบน้ำมันได้ดี

ติดตั้งตัวดูดควันในครัว ภาพจาก : Angi.com

– ใช้พัดลมดูดควันหรือเครื่องดูดควัน การใช้พัดลมดูดควันหรือเครื่องดูดควันในขณะประกอบอาหารเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดการกระจายของคราบน้ำมันในครัว เครื่องดูดควันจะดูดเอาน้ำมันและควันออกจากครัว ทำให้คราบน้ำมันไม่กระเด็นไปติดตามผนังหรือพื้นผิวอื่นๆ การทำความสะอาดเครื่องดูดควันเองก็สำคัญ ควรถอดไส้กรองมาทำความสะอาดเป็นระยะเพื่อให้เครื่องดูดควันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป

การทำความสะอาดคราบน้ำมันในครัวอาจดูเป็นงานที่หนักและใช้เวลานาน แต่ด้วยการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่ถูกต้องและเทคนิคที่เหมาะสม จะทำให้การทำความสะอาดกลายเป็นงานที่ง่ายขึ้น แน่นอนว่าในบทความนี้อุปกรณ์ที่ช่วยในการทำความสะอาดส่วนมากมักจะมีติดบ้านอยู่แล้ว สามารถนำมาใช้ทำความสะอาดได้เลย แนะนำว่าหลังทำอาหารเสร็จทุกครั้งควรทำความสะอาดทันที เพื่อไม่ให้เกิดคราบฝังลึกจนยากแก่การทำความสะอาด รวมถึงป้องกันพวกแมลงต่างๆ ที่จะเข้ามาสร้างความรำคาญให้กับบ้านของคุณได้ด้วย


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

10 วิธีแก้ท่อตันในบ้าน แก้ไขได้ไม่ง้อช่าง

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ท่อตันเป็นปัญหาที่หลาย ๆ บ้านต้องพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นท่อระบายน้ำในห้องน้ำ อ่างล้างจาน หรือท่อน้ำเสีย การที่ท่อตันไม่เพียงทำให้ไม่สะดวกในการใช้สอย แต่ยังสามารถก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการสะสมของเชื้อโรคได้อีกด้วย แต่อย่ากังวลไป เพราะคุณสามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยวิธีง่าย ๆ โดยไม่ต้องเรียกช่างมาช่วย ลองทำตามวิธีการเหล่านี้ดู

1. ใช้ที่ดูดส้วม (Plunger)

ที่ดูดส้วมเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่สามารถใช้แก้ท่อตันได้ดีสำหรับการอุดตันเล็ก ๆ เช่น คราบเศษอาหารหรือเศษผม วิธีใช้คือ เติมน้ำให้สูงพอที่จะปกคลุมปากท่อ จากนั้นใช้ที่ดูดส้วมกดและดึงขึ้นลงเพื่อสร้างแรงดันภายในท่อ จนกระทั่งสิ่งอุดตันถูกดันออกไปและน้ำไหลคล่อง

2. เบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชู

หากคุณต้องการวิธีแก้ท่อตันที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลองใช้เบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชู ซึ่งเป็นสารที่หาได้ในครัวเรือน วิธีนี้สามารถช่วยสลายคราบไขมันหรือคราบสกปรกที่อุดตันท่อได้

  • เทเบกกิ้งโซดาประมาณ 1 ถ้วยลงในท่อ
  • ตามด้วยน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย
  • รอประมาณ 15-30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำร้อน

3. ใช้น้ำร้อน

การใช้น้ำร้อนในการแก้ปัญหาท่อตันมีประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ท่ออุดตันด้วยไขมันหรือคราบสกปรกที่สามารถละลายได้ง่ายเมื่อโดนความร้อน ยิ่งหากท่อตันสาเหตุเกิดจากไขมันที่มาจากการทำอาหารมักจะเกาะติดภายในท่อ เมื่อไขมันเย็นลง จะกลายเป็นคราบเหนียวและสะสมเรื่อย ๆ จนท่ออุดตัน น้ำร้อนจะช่วยละลายไขมันเหล่านี้ ทำให้มันไหลผ่านท่อออกไปได้ง่ายขึ้น รวมถึงในห้องน้ำเองพวกสบู่ก็จะมีคราบไขมันเกิดขึ้นได้ น้ำร้อนก็จะช่วยละลายไขมันพวกนั้น

4. ใช้สารเคมีล้างท่อ

สำหรับการอุดตันที่หนักขึ้น เช่น คราบไขมันที่แข็ง หรือเศษอาหารที่สะสมมานาน อาจต้องพึ่งสารเคมีล้างท่อที่มีขายตามท้องตลาด วิธีนี้ช่วยสลายคราบไขมันและสิ่งอุดตันอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามควรปฏิบัติตามคำแนะนำที่ติดอยู่บนบรรจุภัณฑ์อย่างเคร่งครัด และสวมถุงมือเพื่อป้องกันการสัมผัสกับสารเคมีโดยตรง

5. สปริงงู (Drain Snake)

หากปัญหาท่อตันเกิดจากเศษผมหรือเศษอาหารที่ติดอยู่ลึกในท่อ การใช้สปริงงู (หรือสายลวดทำความสะอาดท่อ) จะเป็นตัวเลือกที่ดี สปริงงูเป็นเครื่องมือที่สามารถสอดเข้าไปในท่อเพื่อเกี่ยวเอาเศษสิ่งสกปรกออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6. ถอดท่อระบายน้ำออกเพื่อล้าง (สำหรับอ่างล้างหน้า)

ในบางกรณี การอุดตันอาจเกิดขึ้นที่บริเวณท่อระบายน้ำใต้ซิงก์หรืออ่างล้างหน้า ซึ่งคุณสามารถถอดท่อออกเพื่อล้างสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ภายในได้ โดยเฉพาะในส่วนที่เรียกว่า P-Trap เป็นท่อรูปตัว P ที่มักเก็บสิ่งสกปรกไว้ การถอดออกมาล้างแล้วประกอบกลับจะช่วยให้ท่อกลับมาใช้งานได้ดีขึ้น

7. น้ำยาล้างจานและน้ำร้อน

น้ำยาล้างจานและน้ำร้อนเป็นวิธีแก้ท่อตันที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่ท่อตันเกิดจากไขมันหรือคราบน้ำมันที่สะสม น้ำยาล้างจานมีคุณสมบัติช่วยขจัดคราบไขมัน เมื่อใช้ร่วมกับน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิสูง จะช่วยละลายไขมันเหล่านี้ ทำให้ไหลผ่านท่อได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ น้ำยาล้างจานยังช่วยสลายคราบสกปรกและสิ่งอุดตันที่ติดอยู่ตามผนังท่อ ทำให้ท่อกลับมาใช้งานได้ตามปกติ

8. โซดาไฟ (Caustic Soda)

โซดาไฟเป็นสารเคมีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการแก้ปัญหาท่อตัน แต่ควรใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากมีความกัดกร่อนสูง

วิธีทำ : สวมถุงมือและแว่นตา เทโซดาไฟลงในถังน้ำประมาณ 3-4 ช้อนโต๊ะ จากนั้นค่อย ๆ เติมน้ำเย็นลงไปแล้วคนให้เข้ากัน แล้วเทลงในท่อที่อุดตัน ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำร้อน

ข้อควรระวัง: ห้ามใช้กับท่อที่เป็นโลหะหรือท่อที่เก่า เพราะอาจกัดกร่อนท่อได้

9. แยงท่อด้วยลวดแข็ง

การแยงท่อด้วยลวดแข็งเป็นวิธีแก้ท่อตันที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่ท่อตันเกิดจากเศษผม เศษอาหาร หรือสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ใกล้กับปากท่อ วิธีนี้ช่วยเกี่ยวและดึงสิ่งอุดตันออกมาได้โดยตรง ลวดแข็งหรือไม้แขวนเสื้อที่ดัดให้เป็นตะขอสามารถแยงเข้าไปลึกในท่อเพื่อดึงเศษสิ่งสกปรกเหล่านั้นออก เมื่อดึงออกมาแล้ว จะทำให้น้ำสามารถไหลผ่านท่อได้อย่างคล่องตัว เป็นวิธีที่ง่ายและไม่ต้องใช้สารเคมี

นอกจากนี้ใจปัจจุบันก็มีลวดที่สามารถใช้เป็นที่คีบสำหรับแหย่ท่อได้เหมือนกัน หาซื้อในออนไลน์ได้เลยหากใครต้องการตัวช่วยในการคีบสิ่งสกปรกออกมาจากท่อ

10. ใช้เครื่องมือถอดท่อ

สำหรับท่อที่อุดตันหนักและอยู่ในบริเวณที่ไม่สามารถแก้ได้ด้วยวิธีอื่น อาจต้องใช้วิธีการถอดท่อเพื่อทำความสะอาดภายใน การใช้เครื่องมือถอดท่อไม่จำเป็นต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเสมอไป หากคุณมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับท่อและเครื่องมือ เช่น ประแจหรือเครื่องมือถอดท่อ (Pipe Wrench) ก็สามารถทำเองได้ อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังในการถอดและประกอบท่อกลับเข้าที่อย่างถูกต้อง หากทำผิดอาจทำให้เกิดการรั่วซึมหรือปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้ ในกรณีที่ท่อมีอายุการใช้งานนาน หรือมีการเชื่อมต่อที่ซับซ้อน เช่น ท่อระบายน้ำภายในระบบท่อใหญ่ หรือท่อที่ฝังในผนัง ควรเรียกผู้เชี่ยวชาญหรือช่างประปาเพื่อหลีกเลี่ยงการทำความเสียหายเพิ่มเติม

เพิ่มเติมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาท่อตัน ห้ามทำสิ่งเหล่านี้เด็ดขาด

– หลีกเลี่ยงการทิ้งสิ่งที่ย่อยสลายยาก เช่น เศษอาหาร ผม หรือไขมัน ลงในท่อระบายน้ำ

– ทำความสะอาดท่อบ่อย ๆ ใช้น้ำร้อนหรือเบกกิ้งโซดาล้างท่อเป็นประจำเพื่อป้องกันการสะสมของคราบสิ่งสกปรก

สรุป

เรื่องปัญหาท่อตันหากไม่ได้มีความรุนแรงมากนักเราก็สามารถแก้ไขเองได้ง่ายๆ แต่ถ้าหากว่ามันเกิดจากสาเหตุอื่นหรือเกิดการสะสมของสิ่งสกปรกนานๆ จนวิธีพื้นฐานไม่สามารถใช้ได้ผล อันนี้เราอาจจะต้องเรียกช่างผู้เชี่ยวชาญให้ช่วยมาทำความสะอาดท่อให้ ซึ่งการที่เราปล่อยให้ท่อตันนานๆ นอกจากจะส่งกลิ่นเหม็นแล้ว ยังรบกวนต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเราอีกด้วย


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ต่อเติมบ้านแบบไหนที่ไม่ต้องขออนุญาต ทำได้ทันที

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

การต่อเติมบ้านหรือปรับปรุงบ้านให้ใหม่สวยงามกว่าเดิมก็เป็นเรื่องปกติของทุกบ้านอยู่แล้วที่มักจะมีการทำอย่างน้อยสัก 1 ครั้งในตลอดระยะเวลาในอยู่ในบ้าน บางคนอาจจะต้องการปรับปรุงเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศใหม่ๆ ให้กับบ้านมีความน่าอยู่มากขึ้น หรือบางคนอาจจะต้องการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของผู้อยู่อาศัย สำหรับการต่อเติมนั้นก็จะต้องมีการขออนุญาตและไม่จำเป็นต้องขออนุญาต แล้วแบบไหนที่เราต่อเติมได้ทันทีกันแน่โดยที่ไม่ต้องขออนุญาต

ตามกฎหมายเรื่องการต่อเติมบ้านแล้วก็มีพระราชบัญญัติควบคุมอาคารของปี พ.ศ. 2522 อยู่ เพื่อให้การต่อเติมหรือการก่อสร้าง ปรับปรุงเป็นไปตามมาตรฐาน มีความแข็งแรง และไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น ซึ่งตัวพระราชบัญญัติดังกล่าวก็จะมีการอธิบายในแง่ของการขออนุญาตการต่อเติมด้วย ทั้งนี้ก็มีการยกเว้นการต่อเติมที่ไม่ต้องขออนุญาตอยู่ด้วยกัน 5 อย่างหลักๆ คือ

ก่อนจ้างผู้รับเหมาก่อสร้าง ต้องรู้อะไรบ้าง
  • สัญญาการรับเหมาก่อสร้าง

1. ต่อเติมบ้านเพิ่มหรือลดขนาดไม่เกิน 5 ตารางเมตร

ในการต่อเติมบ้านเพียงเล็กน้อยหรือมีการลดขนาดพื้นที่ไม่เกิน 5 ตารางเมตรไม่จำเป็นจะต้องขออนุญาตจากทางเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งนี้การต่อเติมที่ไม่ต้องขออนุญาตก็จะต้องไม่ยุ่งกับเสา คาน โดยเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตามในด้านการต่อเติมส่วนมากมักจะเกิน 5 ตารางเมตรอยู่แล้วหากเป็นเช่นนี้ก็ควรไปขออนุญาตให้ถูกต้องจะดีกว่า

2. การเปลี่ยนแปลงส่วนที่ไม่เป็นโครงสร้างของอาคาร

การเปลี่ยนแปลงส่วนที่ไม่เป็นโครงสร้างก็ได้แก่ ประตู หน้าต่าง ผนัง โดยใช้เป็นวัสดุเดิมอันนี้สามารถทำได้เลย แต่ถ้าหากว่ามีการเปลี่ยนแปลงในส่วนดังกล่าวแล้วตัววัสดุใหม่มีน้ำหนักมากกว่าวัสดุตัวเก่าที่เปลี่ยนทดแทนเกิน 10% อันนี้จะต้องมีการขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะน้ำหนักที่มากเกินไปอาจจะทำให้โครงสร้างของบ้านรับไม่ไหวและเกิดอันตรายได้

3. การเปลี่ยน เพิ่ม ลด ต่อเติม ส่วนที่ไม่เป็นโครงสร้างของอาคาร

หากเรามีการเปลี่ยนแปลงบ้านของเราในส่วนที่ไม่เป็นโครงสร้างของอาคาร โดยที่ใช้วัสดุเดิมหรือวัสดุใหม่ แต่ไม่ได้เพิ่มน้ำหนักให้กับอาคารเกิน 10% ไม่ต้องขออนุญาต แต่ถ้าหากว่าวัสดุเดิมหรือใช้วัสดุใหม่ แต่น้ำหนักรวมเกิน 10% ขึ้นไปอันนี้ต้องขออนุญาต

4. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอาคาร

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอาคารด้วยการใช้วัสดุ ขนาด จำนวน และชนิดเดียวกับของเดิม ในด้านกฎหมายก็คือ การซ่อมแซมหรือเปลี่ยนแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของโครงสร้างอาคารที่มีอยู่ โดยใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติและลักษณะเหมือนกับของเดิมที่ถูกใช้สร้างโครงสร้างนั้นๆ เช่น ใช้เหล็กที่มีขนาดและความแข็งแรงเหมือนเดิมในการเปลี่ยนเสาค้ำ การใช้กระเบื้องหรือไม้ที่มีขนาดและคุณสมบัติเหมือนเดิมในการซ่อมแซมพื้น

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ สำหรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอาคารโดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐ

การเปลี่ยนเสา คาน หรือโครงสร้างหลัก หากมีการใช้วัสดุ ขนาด และชนิดเดียวกับของเดิม โดยไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบหรือการออกแบบของโครงสร้าง

การซ่อมแซมหลังคาหรือพื้น หากใช้วัสดุและเทคนิคเดิมที่เคยใช้ในการก่อสร้าง เพื่อทำให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม

 

การเปลี่ยนส่วนประกอบของอาคาร เช่น การเปลี่ยนกระเบื้องหรือวัสดุมุงหลังคา โดยใช้วัสดุที่เหมือนกับของเดิม และไม่ทำให้รูปทรงหรือขนาดของหลังคาเปลี่ยนแปลงหรือมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น

อธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ เลยก็คือหากเรามีการซ่อมแซมส่วนที่เป็นโครงสร้าง มีการใช้วัสดุเดิม วิธีการก่อสร้างเดิมทุกอย่าง อันนี้ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต แต่ถ้ามีการเปลี่ยนวัสดุใหม่และมันน่าจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอันนี้จะต้องขออนุญาต

5. การลดหรือขยายพื้นที่หลังคา

การลดหรือขยายพื้นที่หลังคาจะต้องไม่เกิน 5 ตารางเมตร ถ้าหากมีการเพิ่มหรือลดมากกว่า 5 ตารางเมตรจะต้องขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐ

อ่านกฎหมายการต่อเติมได้ที่นี่เลย : กฎกระทรวงฉบับที่ 11

สรุป

ในการต่อเติมบ้านหรืออาคารไม่ใช่ว่าเราอยากต่อเติมเราก็สามารถทำได้ทันที ซึ่งจริงๆ มันก็ทำได้เพียงบางอย่างเท่านั้น แต่ส่วนมากแล้วเราจำเป็นจะต้องมีการไปขอใบอนุญาตการต่อเติมจากเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายการควบคุมการก่อสร้างอาคาร และหากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเจอภายหลังว่าเราไม่ได้มีการขออนุญาตก็อาจจะถูกสั่งปรับหรือถูกสั่งให้รื้อถอนได้ นอกจากนี้หากคุณต้องการต่อเติมบ้านแล้วและไม่แน่ใจว่าเราต้องขออนุญาตหรือไม่ สามารถปรึกษากับผู้รับเหมาได้เช่นกัน อย่างของบ้านเพื่อนเองหากมีลูกค้าให้ช่วยออกแบบเรื่องการปรับปรุง ต่อเติมภายในบ้านแล้ว เราก็จะมีการแจ้งกับลูกค้าด้วยเช่นกันว่าต้องขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่หรือไม่ เพราะเมื่อถึงเวลาจัดการหน้างานแล้วจะได้ไม่เกิดปัญหาภายหลังขึ้น


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย