พื้นกระเบื้องระเบิด กระเบื้องโก่ง แก้ไขได้ยังไง ?

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ปัญหาเรื่องพื้นบ้านแม้ว่าจะเป็นปัญหาที่ดูเล็กน้อย แต่ความจริงสำหรับคนที่อยู่อาศัยและใช้ชีวิตประจำวันนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย เพราะเมื่อกระเบื้องพื้นบ้านของเราโก่งตัวหรือระเบิดขึ้นมา มันอาจจะทำให้เกิดอันตรายกับบุคคลภายในบ้านได้หากเดินไม่ระมัดระวัง ซึ่งปัญหาเรื่องนี้มันก็เกิดขึ้นกับหลายๆ บ้าน และอาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้ตัว แล้วสาเหตุมันเกิดจากอะไร แก้ไขได้หรือไม่ ?

พื้นกระเบื้องระเบิด กระเบื้องโก่ง แก้ไขได้ยังไง ?
  • สัญญาการรับเหมาก่อสร้าง

กระเบื้องระเบิดคืออะไร ?

กระเบื้องระเบิดคือ กระเบื้องที่โก่ง ดันขึ้น หรือเปิดขึ้นมาผิดปกติ ไม่ประกอบกันเป็นแผ่นเดียวเรียบสนิท ซึ่งส่วนมากแล้วปัญหามักจะเกิดกับบ้านที่ปูพื้นกระเบื้องมากกว่า สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ในบ้านที่ปูพื้นกระเบื้อง หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจำเป็นจะต้องรีบแก้ไขโดยด่วน ซึ่งมันไม่ได้มีความอันตรายต่อพื้นบ้านอย่างใด แต่ว่าอันตรายต่อบุคคลที่อาศัยในบ้านมากกว่า

กระเบื้องระเบิดมีสาเหตุจากอะไร ?

กระเบื้องระเบิดเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งบางครั้งก็เป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้น แต่สาเหตุหลักๆ ก็จะมาจาก

– อุณหภูมิ โดยไม่ว่าความร้อนหรือเย็นก็ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์กระเบื้องระเบิดได้ เช่น อากาศร้อนก็จะทำให้เนื้อกระเบื้องขยายตัวจนเบียดกัน เมื่อไม่มีช่องว่างให้มันขยายตัวแล้วมันก็จะโก่งขึ้นมา หรือถ้าอากาศเย็นอาจจะทำให้เนื้อกระเบื้องหดตัวลงได้เช่นกัน

– ระยะของกระเบื้องติดกันเกินไป ซึ่งปกติแล้วเมื่อเราปูกระเบื้องให้กับบ้านเราก็จะต้องมีการใส่ยาแนวเอาไว้ด้วยเพื่อไม่ให้เกิดร่องห่างของกระเบื้องและมันอาจจะบาดตามร่างกายของเราได้ รวมถึงเพื่อเพิ่มความสวยงามให้กับบ้าน แต่เมื่อเราใส่ยาแนวมากเกินไปมันทำให้ไปเบียดกับกระเบื้องจนทำให้พื้นกระเบื้องระเบิดได้เหมือนกันเมื่อใช้เป็นระยะเวลานาน

– การปูกระเบื้องไม่ดี บางครั้งอาจจะเกิดมาจากการที่ทาปูนไม่เต็มแผ่นหรือใช้ปูนไม่เหมาะสมก็จะทำให้กระเบื้องเกิดความชื้นจนบวมและเกิดการโก่งตัวได้

– กระเบื้องมีการแตกร้าว หากกระเบื้องแตกร้าวแล้วมีน้ำซึมเข้าไปใต้กระเบื้องจนเกิดความชื้นสะสมเป็นปริมาณมาก ก็จะทำให้เกิดการโก่งตัวของกระเบื้องได้

– กระเบื้องไม่ได้มาตรฐาน กระเบื้องก็มีให้เลือกหลายเกรด บางครั้งกระเบื้องราคาถูกมากก็อาจจะใช้วัสดุที่ไม่ดี ทำให้ตัวกระเบื้องมีความเปราะบางได้

– มีปัญหาใต้พื้นดิน การที่เกิดการโก่งของกระเบื้องหรือกระเบื้องระเบิดนั้นอาจจะมาจากปัญหาทางด้านโครงสร้างบ้าน ที่ใต้ดินอาจจะเกิดน้ำซึมขึ้นมา หรือดินโป่งขึ้นทำให้จุดๆ นั้นที่ปูกระเบื้องอยู่เกิดการโก่งตัว

วิธีแก้ไขเมื่อเราเจอปัญหากระเบื้องโก่งตัวหรือกระเบื้องระเบิด

1. รื้อบริเวณที่เกิดการโก่งตัวของกระเบื้อง

หลายคนอาจจะคิดว่าเมื่อเวลาเกิดการระเบิดของกระเบื้องหรือกระเบื้องโก่งตัวจะต้องทำการรื้อและปูกระเบื้องใหม่ทั้งบ้าน แต่ความจริงเราเพียงแค่รื้อจุดที่กระเบื้องเกิดการโก่งตัวก็พอแล้ว จากนั้นก็ทำการปูกระเบื้องใหม่ให้เรียบร้อย และห้ามลืมหากเรารื้อออกแล้วยังมีพวกปูนติดอยู่กับพื้นบ้านก็ควรเอาออกด้วยเช่นกัน เพื่อไม่ให้เกิดร่องรอยทำให้กระเบื้องไม่สม่ำเสมอและทำให้กระเบื้องเกิดความชื้นได้ ขั้นตอนนี้หากเพื่อนๆ ทำเองไม่ได้แนะนำว่าให้จ้างช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยคุณดูแลจะดีกว่า

2. อย่าลืมตรวจสอบโครงสร้างก่อน

ไหนๆ เราก็จะได้รื้อกระเบื้องที่มันโก่งขึ้นมาอยู่แล้วก็อย่าลืมตรวจสอบสภาพของพื้นบ้านด้วยว่าตรงนั้นมีรอยร้าวเกิดขึ้นหรือไม่ เพื่อที่เราจะได้แก้ไขเลยทีเดียว เพราะถ้าหากว่าใต้พื้นบ้านของเรามีรอยร้าวแล้วไม่ได้ทำการแก้ไขใดๆ ปูกระเบื้องทับไปเลย เดียวเหตุการณ์กระเบื้องโก่งหรือกระเบื้องระเบิดก็ได้กลับมาหาเราอีกแน่นอน เปลืองเงินเปลืองเวลาของเราอีก

3. ปูกระเบื้องให้ถูกต้อง

ขั้นตอนนี้มีความสำคัญอย่างมาก เราจะต้องปูกระเบื้องให้ถูกต้อง เว้นระยะห่างระหว่างกระเบื้องกันอย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้เวลาอุณหภูมิเปลี่ยนแล้วกระเบื้องขยายตัวชนกันจนทำให้กระเบื้องโก่งขึ้นมาอีก นอกจากนี้จะต้องเลือกใช้ปูนหรือกาวติดกระเบื้องที่เหมาะสม ทำให้ปูนหรือกาวนั้นๆ ยึดเกาะกับพื้นและตัวกระเบื้องได้ดี ทำให้ไม่เกิดปัญหากระเบื้องโก่งขึ้นอีก

สรุป

ปัญหาเรื่องพื้นกระเบื้องระเบิดหรือกระเบื้องโก่งตัวนั้นแทบจะพบได้กับทุกบ้านที่ปูกระเบื้องแล้วไม่ได้มาตรฐานหรือหากใช้พื้นกระเบื้องไปนานๆ วันก็อาจจะเกิดเหตุการณ์นี้ได้เช่นกัน ดังนั้นแล้วหากพบเจอปัญหาดังกล่าวก็ไม่ต้องตกใจว่าเราจะต้องรื้อกระเบื้องใหม่ทั้งบ้าน สามารถรื้อเฉพาะจุดที่เกิดปัญหาได้เลยและทำการแก้ไข


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

การต่อเติมบ้านต้องขออนุญาตไหม ? แบบไหนที่ต้องขออนุญาต

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

การสร้าง ต่อเติม หรือรีโนเวทบ้านใหม่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของการก่อสร้าง แต่หลายคนอาจจะไม่ได้คิดว่าการทำสิ่งเหล่านี้จะต้องมีการขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐในการก่อสร้าง ปรับปรุง หรือรีโนเวทด้วย เพราะถ้าหากว่าเรามีการทำสิ่งเหล่านี้แล้วไม่ได้มีการขออนุญาตก็อาจจะต้องถูกสั่งให้รื้อถอนหรือถูกดำเนินคดีตามกฎหมายได้ แล้วแบบไหนที่เราต้องขออนุญาตกันแน่ ?

ต่อเติมบ้าน หมายถึง การดัดแปลงโครงสร้าง เพิ่มเติม ขยาย หรือแม้กระทั่งมีการปรับปรุงภายในบ้านก็ถูกจัดให้เป็นการต่อเติมบ้านทั้งนั้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้จะต้องมีการคำนึงถึงหลักการก่อสร้างที่ถูกต้องและเป็นไปตามพระราชบัญญัติการก่อสร้างปี พ.ศ. 2522 ฉะนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าแบบไหนต้องขออนุญาตกันบ้าง

1. การต่อเติมบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยเกิน 5 ตารางเมตร

สำหรับการต่อเติมบ้านที่ต้องมีพื้นที่ใช้สอยเกิน 5 ตารางเมตรจำเป็นจะต้องมีการขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐ สาเหตุที่เราต้องขออนุญาตก็เพราะว่าการต่อเติมอาจจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของตัวบ้าน รวมถึงยังส่งผลกระทบกับแผนผังเมือง และสิทธิของเพื่อนบ้านได้ด้วยเหมือนกัน แต่หลักๆ ก็มาจากเรื่องของความปลอดภัยเพราะถ้าหากต่อเติมแล้วตัวบ้านหรือเสาเข็มอาจจะรับโครงสร้างที่เราต่อเติมเข้าไปใหม่ไม่ไหวและอาจจะเกิดอันตรายภายหลังทำให้มีการเสียชีวิตหรือทรัพย์สิน แม้กระทั่งส่งผลกระทบต่อเพื่อนบ้านได้ ดังนั้นการต่อเติมบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยเกิน 5 ตารางเมตรนั้นเราจำเป็นจะต้องมีการขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐก่อน

สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  : พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522

2. การเปลี่ยนวัสดุในบ้านที่แตกต่างไปจากเดิมเกิน 10%

หากเรามีการต่อเติมหรือเปลี่ยนแปลงวัสดุในส่วนต่างๆ ของบ้านไม่ว่าจะเป็นหลังคา กำแพง พื้น ผนัง คาน หรือส่วนต่างๆ ของบ้าน โดยมีการใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากเดิม ยิ่งเป็นวัสดุใหม่ที่มีน้ำหนักเกินกว่า 10% ของวัสดุเดิม

ส่วนนี้ก็จำเป็นจะต้องมีการขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะมันจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อโครงสร้างของอาคาร เนื่องจากว่าตอนก่อสร้างทางวิศวกรจะมีการออกแบบและมีการคำนวณเรื่องโครงสร้างไว้อยู่แล้ว และโครงสร้างเดิมอาจจะเพียงพอสำหรับการรับน้ำหนักจากวัสดุเดิมเท่านั้น แต่ถ้าหากเราเปลี่ยนเป็นวัสดุใหม่ตัวโครงสร้างอาจจะรับไม่ไหวทำให้บ้านเกิดรอยร้าว เกิดผลกระทบต่อความแข็งแรงของตัวอาคารแบบภาพรวมได้

ดังนั้นที่เราแจ้งก็เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยตรวจสอบและประเมินว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ รวมถึงเจ้าหน้าที่ก็จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการปรับเปลี่ยนได้อีกด้วย

3. บ้านจะต้องเหลือที่ดินรอบบ้านขั้นต่ำ 30%

เรื่องนี้กฎหมายเกี่ยวกับด้านการก่อสร้างก็มีระบุไว้ว่าหากเรามีการต่อเติม ขยายพื้นที่ตัวบ้านแล้วจะต้องมีพื้นที่คงเหลือรอบบ้านไม่น้อยกว่า 30% เนื่องจากว่าที่กำหนดเช่นนี้ก็เพื่อเวลาเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินเช่น ไฟไหม้ จะทำให้ไฟลามไปยังเพื่อนบ้านข้างๆ ได้ยากขึ้นและลดความเสียหายจากอุบัติเหตุเช่นนี้ได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการระบายอากาศ ความปลอดโปร่งของผู้อยู่อาศัยและการรบกวนเพื่อนบ้านอีกด้วย และอีกสิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญต่อภาพรวมเลยก็คือเรื่องของผังเมือง เพราะหากพื้นที่รอบบ้านน้อยเกินไปอาจจะเป็นการส่งผลกระทบต่อผังเมืองได้

แล้วถ้าเราอยากต่อเติมตามความต้องการของเรา แต่กลายเป็นว่าพื้นที่โดยรอบเหลือน้อยกว่า 30% จะทำได้มั้ย ? คำตอบคือทำได้ แต่ว่าจะต้องมีการขออนุญาตเป็นพิเศษจากหน่วยงานของรัฐเพื่อให้พิจารณาความเหมาะสมและความจำเป็นของการต่อเติมนั้นๆ

4. ต้องมีการเว้นระยะถอยร่นที่เหมาะสม

ระยะถอยร่นคือ ข้อกำหนดทางด้านกฎหมายที่กำหนดระยะขอบเขตของที่ดินกับอาคารหรือบ้านหรือโครงสร้างที่สร้างขึ้นบริเวณนั้นๆ โดยต้องมีระยห่างที่เหมาะสมหากสิ่งปลูกสร้างของคุณตั้งอยู่บริเวณใกล้กับถนน คลอง หรือที่ดินติดกับพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งส่วนนี้หากเรามีการต่อเติมจนเกินระยะถอยร่นที่กำหนด อาจจะถูกสั่งรื้อถอนและถูกปรับได้ ซึ่งสิ่งปลูกสร้างแต่ละแบบก็จะมีระยะถอยร่นที่ไม่เท่ากัน

ส่วนเพื่อนๆ ที่ทราบประเภทสิ่งก่อสร้างของตัวเองแล้วต้องการต่อเติมเพิ่มเติมแต่กลัวว่าจะไปผิดในเรื่องของระยะ สามารถตรวจสอบจาก “กรมโยธาธิการและผังเมือง” ได้เลย มีบอกละเอียดครบ

สรุป

สำหรับการต่อเติมบ้านหรือรีโนเวทบ้านใหม่นั้นแน่นอนว่าเราคงไม่ได้ทำแค่เพียงเล็กๆ มีขนาดน้อยกว่า 5 ตารางเมตรอย่างแน่นอน เพราะการปรับปรุงทีนึงส่วนมากก็จะเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่เพื่อไม่ให้เสียเวลาและเป็นการประหยัดต้นทุนมากกว่าการทำทีละอย่างสองอย่างอีกด้วย ดังนั้นเราควรตรวจสอบและขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่รัฐเสมอ

หากไม่ชัวร์ว่าเราจะต้องมีการขออนุญาตหรือไม่ เบื้องต้นหลังจากที่เราออกแบบการปรับปรุงหรือต่อเติมบ้านกับนักออกแบบแล้วเราก็สามารถสอบถามรายละเอียดได้ว่าเราจะต้องขออนุญาตหรือไม่ อย่างบ้านเพื่อนเองเมื่อคุยเบื้องต้นในการปรับปรุงเสร็จก็จะช่วยประเมินและแจ้งว่าต้องขออนุญาตกับหน่วยงานรัฐด้วยหรือไม่ให้กับคุณก่อนที่จะเริ่มการปรับปรุงด้วยเช่นกัน


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

การขออนุญาตต่อเติมบ้าน ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง ?

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ในการต่อเติมบ้านหากเรามีการต่อเติมที่น้อยกว่า 5 ตารางเมตรอันนี้ก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต แต่ถ้าหากว่าเรามีการต่อเติมและขนาดเกิน 5 ตารางเมตรอันนี้เราจะต้องมีการขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่รัฐก่อนการต่อเติมทุกครั้ง เพราะถ้าหากว่าเราไม่ได้ขออนุญาตและตรวจสอบเจอภายหลัง เราอาจจะถูกสั่งให้รื้อถอนอาคารหรือโครงสร้างนั้นๆ ออก รวมถึงจะต้องถูกปรับเงินและอาจจะถูกดำเนินคดีได้ ถ้าเราจะขออนุญาตเราจะต้องไปที่ไหนและเตรียมอะไรบ้าง ?

1. ขออนุญาตหน่วยงานรัฐที่ไหน

ในการไปขออนุญาตนั้นเราสามารถเดินทางไปที่สำนักงานท้องถิ่นของพื้นที่ที่เราอยู่ หากเราอยู่กรุงเทพฯ ก็สามารถเดินทางไปที่สำนักงานเขตของบ้านที่เราต้องการปรับปรุงได้เลย เช่น บ้านของคุณอยู่บางนาก็ไปติดต่อสำนักงานเขตบางนา แต่ถ้าหากอยู่ในต่างจังหวัดก็ต้องไปแจ้งกับองค์การบริหารจัดการส่วนท้องถิ่นของจัดหวัดนั้นๆ ได้เลย

2. การเตรียมเอกสารยื่นขออนุญาต

ในการไปขออนุญาตนั้นเราสามารถเดินทางไปที่สำนักงานท้องถิ่นของพื้นที่ที่เราอยู่ หากเราอยู่กรุงเทพฯ ก็สามารถเดินทางไปที่สำนักงานเขตของบ้านที่เราต้องการปรับปรุงได้เลย เช่น บ้านของคุณอยู่บางนาก็ไปติดต่อสำนักงานเขตบางนา แต่ถ้าหากอยู่ในต่างจังหวัดก็ต้องไปแจ้งกับองค์การบริหารจัดการส่วนท้องถิ่นของจัดหวัดนั้นๆ ได้เลย

การเตรียมเอกสารที่จะใช้ยื่นขออนุญาตในการต่อเติมบ้านมีดังนี้ (ทุกชุดจะต้องมีการเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง)

  • สำเนาบัตรประชาชนของผู้ที่ต้องการต่อเติมบ้าน 1 ชุด
  • สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ที่ต้องการต่อเติมบ้าน 1 ชุด
  • แปลนบ้านที่แสดงถึงลักษณะของการดัดแปลง 5 ชุด
  • โฉนดที่ดินที่มีขนาดเท่ากับตัวจริงทุกหน้า 1 ชุด
  • คำขออนุญาตปลูกสร้างอาคาร ดัดแปลงหรือรื้อถอนอาคาร 1 ชุด

ในกรณีที่คุณต้องการต่อเติมบ้าน และส่วนนั้นๆ มีพื้นที่ติดกันกับเพื่อนบ้านหรือผู้อยู่อาศัยท่านอื่นๆ และหากมีการต่อเติมทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง และบริเวณนั้นๆ มีพื้นที่ติดกับเพื่อนบ้านก็จำเป็นจะต้องขอเอกสารจากเพื่อนบ้านให้ครบด้วย โดยเอกสารที่ต้องการจะมีดังนี้

  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของที่ดินข้างเคียง 1 ชุด
  • สำเนาทะเบียนบ้านของเจ้าของข้างเคียง 1 ชุด
  • สำเนาโฉนดที่ดินขนาดเท่าฉบับจริงทุกหน้า 1 ชุด
  • หนังสือยินยอมให้ปลูกสร้างอาคารชิดเขตที่ดิน 1 ชุด

3. รอการตอบรับและฟังผล

หลังจากที่เราส่งเอกสารทุกอย่างตามที่เจ้าหน้าที่ต้องการเรียบร้อยแล้วเราก็จะต้องรอผลอีกภายใน 45 วันถึงทางหน่วยงานจะแจ้งให้เราทราบกลับว่าผ่านหรือไม่ผ่าน หากไม่ผ่านเราก็จะต้องเอาคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ไปปรับปรุงหรือหาเอกสารเพิ่มเติม แต่ถ้าหากผ่านแล้วเราก็จะสามารถต่อเติมบ้านได้ทันทีตามที่เจ้าหน้าที่ระบุไว้

กฎหมายในการขออนุญาตต่อเติมบ้าน

สำหรับการต่อเติมบ้านไม่ใช่ว่าเราจะทำได้เอง แต่มันก็ต้องเป็นไปตามข้อกฎหมายและข้อบังคับตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร ปี 2522 อย่างเคร่งครัด รวมถึงต้องเป็นไปตามข้อกำหนดและกฎหมายของพื้นที่นั้นๆ อีกด้วย หากคุณไม่ได้ปฏิบัติตามและถูกตรวจสอบภายหลังจะมีรายละเอียดดังนี้

– หากมีการต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือก่อสร้างผิดไปจากแบบจะมีโทษจำคุก 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ยังมีค่าปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท จนกว่าจะมีการแก้ไขหรืออนุญาตอย่างถูกต้อง

– ในกรณีที่มีการสั่งให้รื้อถอนแล้วแต่ไม่ได้ปฏิบัติตามจะมีโทษจำคุก 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีค่าปรับรายวันอีกวันละไม่เกิน 30,000 บาทจนกว่าจะรื้อถอนเสร็จ

สรุป

ไม่ว่าคุณจะต้องการต่อเติมบ้านเดี่ยว คอนโด อาคารพาณิชย์ หรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ก็แล้วแต่ เราจำเป็นจะต้องมีการขออนุญาตด้วยทุกครั้งก็เพื่อความสบายใจ เพราะถ้าหากมีหน่วยงานรัฐลงมาตรวจสอบแล้วพบว่าคุณไม่ได้มีการขออนุญาตอย่างถูกต้องคุณอาจจะต้องถูกดำเนินคดีทางกฎหมายและถูกสั่งให้รื้อถอนได้ ดังนั้นแล้วควรจะขออนุญาตอย่างถูกต้องเพื่อให้เราสบายใจและไม่เกิดปัญหาในภายหลังจะดีที่สุด


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

10 วิธีทำให้บ้านเย็นสบายสู้กับอากาศร้อน

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

อากาศร้อนเป็นสิ่งที่พบเจอได้ในทุกๆ วันของเมืองไทย ยิ่งบ้านไหนที่ไม่ได้มีเครื่องปรับอากาศด้วยแล้วก็ยิ่งจะเป็นปัญหาอย่างมากโดยเฉพาะช่วงกลางคืนที่จะมีความร้อนอบอ้าวถึงขั้นบางคนนอนไม่ได้กันเลย ในบทความนี้ทางบ้านเพื่อนจะมาแนะนำวิธีทำให้ห้องเย็นขึ้น ทั้งสำหรับคนที่อยู่หอและไม่สามารถติดตั้งเครื่องปรับอากาศได้ หรือคนที่มีบ้านอาศัยในบ้านของตนเอง วิธีเหล่านี้เราจะพยายามแนะนำให้ประหยัดงบให้ได้มากที่สุดกัน

1. ใช้ม่านกันความร้อน

ม่านกันแดด

ติดตั้งผ้าม่านในห้องเพื่อป้องกันแดด และแสง UV จากแดด

ปัจจุบันเทคโนโลยีก็มีความก้าวหน้าขึ้นมาก ทำให้ผ้าม่านปกติที่เอาไว้พรางสายตาจากคนข้างนอกเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว ปัจจุบันก็มีแบบที่ป้องกันแสงแดดและป้องกันแสง UV ได้แล้วด้วย ดังนั้นหากใครอยู่หอหรือห้องเช่าที่ไม่สามารถเจาะ ต่อเติมเล็กๆ น้อยๆ ได้ ก็สามารถเอาผ้าม่านมาติดไว้ได้เช่นกัน และผ้าม่านเหล่านี้จะทำให้แสงแดดเข้าถึงห้องได้น้อยลง รวมถึงมีการลดความร้อนที่จะผ่านเข้าไปหลังผ้าม่านได้อีกด้วย ทำให้ห้องของเราไม่ร้อนจนเกินไป

2. เปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าเท่าที่จำเป็น

ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้า

อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ถ้าไม่ใช้ก็ปิดไว้

พวกอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ หากเรามีการเสียบปลั๊กและใช้งานมันอยู่แน่นอนว่ามันก็จะต้องมีการแผ่ความร้อนออกมาจากตัวอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ ยิ่งเราเปิดเยอะเท่าไหร่ความร้อนที่ออกมาก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ลองคิดภาพว่าเราเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายตัวพร้อมกันความร้อนที่ออกมามันก็พอจะส่งผลให้ห้องเราเกิดอบอ้าวขึ้นมาได้ ดังนั้นหากอุปกรณ์ตัวไหนเราไม่ได้ใช้แนะนำว่าให้ปิดไว้จะดีที่สุดห้องเราจะได้ไม่ร้อนจนเกินไป

3. เปิดหน้าต่างระบายอากาศบ้าง

ระบายความร้อนออกจากห้อง

เปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเท แต่ไม่ควรเปิดช่วงแดดแรงจัด

สำหรับบ้านหรือห้องที่มีหน้าต่างก็ไม่ควรที่จะปิดห้องทึบตลอดทั้งวัน ดังนั้นแล้วเราควรจะเปิดประตูหรือหน้าต่างเพื่อระบายอากาศในห้องให้ความร้อนมันออกไปบ้าง แต่ถ้าหากห้องไหนหรือบ้านไหนที่โดนแดดเต็มๆ เราอาจจะรอให้แดดร่มลงสักนิดจนกระทั่งไม่ส่งผลต่อห้องของเราแล้วค่อยเปิดก็ได้ แต่ถ้าบ้านไหนหน้าต่างมีมุ้งลวดเพื่อกันพวกยุงหรือแมลงก็สามารถเปิดในช่วงกลางคืนก่อนนอนก็ได้เหมือนกัน เพราะกลางคืนอากาศเย็นจะช่วยระบายความร้อนออกจากบ้านปูนได้เป็นอย่างดี

ข้อแนะนำเพิ่มเติม หากใครอยู่อาศัยในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นสูงก็อาจจะเปิดเพียงแค่ชั่วครู่ให้ห้องเย็นก็พอ หรือถ้าเป็นไปได้ก็อาจจะต้องใช้เครื่องฟอกอากาศควบคู่ไปกับการเปิดหน้าต่างด้วยจะดีมาก

4. ปลูกต้นไม้เพิ่มความสดชื่น

ต้นไม้ในบ้าน

ปลูกต้นไม้เพิ่มความสดชื่น แนะนำพวกต้นไม้ฟอกอากาศ

รู้หรือไม่ว่าเรื่องของสีนั้นส่งผลต่ออารมณ์ของมนุษย์ซึ่งก็มีงานวิจัยรองรับแล้วด้วยเช่นกัน และสีเขียวจากต้นไม้มันก็จะให้ความรู้สึกสดชื่น ร่มเย็น มีชีวิตชีวา นี่ก็ไม่ได้เป็นประโยชน์เพียงอย่างเดียวของต้นไม้เท่านั้น หากคุณอยู่ในห้องเช่าที่มีพื้นที่จำกัดก็อาจจะเลือกปลูกต้นไม้ในกลุ่มของ “ต้นไม้ฟอกอากาศ” ที่มันจะช่วยดูดซับความร้อน ทำให้ห้องของเรามีอากาศที่สะอาดขึ้น แม้กระทั่งต้นไม้บางชนิดก็มีส่วนช่วยขจัดสารพิษได้อีกด้วย

5. เปิดพัดลมเพื่อระบายอากาศในห้อง

เพื่อนๆ หลายคนน่าจะเคยกันเมื่อเวลาร้อนเราก็จะต้องเปิดพัดลมกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ทำไมรู้สึกว่าพัดลมของเรามีแต่ไอร้อนออกมาก็ไม่รู้ ต้องบอกหลักการทำงานของพัดลมก่อนว่าปกติแล้วพัดลมมันจะดูดอากาศรอบๆ เข้าจากด้านหลังพัดลมและเป่าออกมาด้านหน้า ดังนั้นควรที่จะหันพัดลมออกไปข้างนอกเพื่อให้มันระบายอากาศร้อนในห้องของเราออกไป เท่านี้ก็จะช่วยให้เย็นขึ้นแล้ว แต่สำหรับบางคนก็จะเปิดพร้อมกัน 2 ตัว โดยตัวแรกทำการเป่าความร้อนที่สะสมอยู่ในห้องออกไปข้างนอก ส่วนอีกตัวก็เป่ามาที่คนวิธีนี้ก็ช่วยได้เหมือนกัน แต่ถ้าเพื่อนๆ สู้ค่าไฟไหวก็ลุยได้เลย

เพิ่มเติม หากใครรู้สึกว่าพัดลมมันหมุนเบาลงเรื่อยๆ ลองทำความสะอาดพัดลมดูบ้าง เพราะหากพัดลมของเรามีฝุ่นเกาะมากจนเกินไปก็จะทำให้พัดลมของเราไม่เย็น และมันจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจได้ด้วย

6. เปลี่ยนหลอดไฟสักหน่อย

หลอดไฟ LED

หลอดไฟ LED ประหยัดพลังงาน ลดความร้อน

สำหรับบ้านไหนที่ยังคงใช้หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ที่เป็นหลอดไฟแบบเก่าอยู่ แนะนำว่าถ้าเปลี่ยนได้ก็เปลี่ยนมาใช้เป็นหลอด LED จะดีกว่า เนื่องจากว่าหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์จะมีความร้อนสูงมาก แถมยังกินไฟแบบสุดๆ ทำให้ห้องของเราร้อนขึ้นด้วยแถมยังเปลืองพลังงานด้วย นอกจากนี้ตัวหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ยังมีสารปรอทเป็นส่วนประกอบอีกซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์มากๆ หากหลอดไฟแตก ดังนั้นแนะนำว่าเปลี่ยนเป็นหลอดไฟ LED จะดีกว่า

7. เลือกผ้าปูที่นอนและผ้าห่มให้เหมาะกับแต่ละฤดู

ผ้าห่มและที่นอน

ผ้าห่มและผ้าปูที่นอนเหมาะกับหน้าร้อนคือผ้าฝ้ายและผ้าคอตตอน

สำหรับฤดูร้อนแล้วช่วงกลางคืนของใครหลายๆ คนเป็นเหมือนฝันร้ายกันเลย เพราะครั้นจะนอนก็นอนไม่หลับเพราะมันร้อนเกินไป หากคุณอยากให้การนอนหลับของคุณดีมากยิ่งขึ้นและเจอความร้อนน้อยลง แนะนำว่าให้ลองเปลี่ยนผ้าปูที่นอนหรือผ้าห่มเป็นกลุ่มผ้าคอตตอนหรือผ้าฝ้ายจะดีกว่า เพราะมันสามารถถ่ายเทและระบายความร้อนได้เป็นอย่างดี จึงเหมาะอย่างมากกับการใช้งานในช่วงหน้าร้อน และมันจะช่วยให้คุณหลับสบายมากขึ้นในช่วงกลางคืนของหน้าร้อน

8. เลี่ยงการอยู่อาศัยในห้องทิศตะวันตกและใต้

ห้องทิศตะวันตก

ทิศใต้และทิศตะวันตกจะโดนแดดตอนกลางวันเต็มๆ

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาห้องเช่า หอพัก หรือกำลังสร้างบ้านเป็นของตัวเอง แนะนำว่าให้เลี่ยงการอยู่อาศัยในห้องที่ตั้งอยู่ในทิศตะวันตกและทิศใต้จะดีที่สุด เนื่องจากว่าทั้งสองทิศนี้เป็นทิศที่จะต้องเจอแดดในตอนกลางวัน ยิ่งแดดประเทศไทยใครๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าแรงแค่ไหน การที่แดดส่องเต็มๆ ห้องและเป็นแดดในช่วงกลางวันแล้วด้วยคงไม่มีใครอยากจะอยู่แน่ๆ ดังนั้นเลี่ยงได้จะดีที่สุด

สำหรับคนมีบ้านลองอ่านบทความนี้ดูได้เลย : 5 วิธีสร้างบ้านประหยัดพลังงาน

9. ใช้โทนสีอ่อนๆ ในการตกแต่งห้อง

โทนสีของห้อง

โทนสีห้องมีผลต่ออุณหภูมิของห้อง

สำหรับโทนสีก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญต่อผู้อยู่อาศัย แนะนำว่าให้เลือกโทนของห้องที่มีโทนสว่างๆ เข้าไว้เช่น สีขาว เพราะโทนสีนี้จะไม่ดูดความร้อนมากเท่ากับห้องที่มีสีทึบ และยังช่วยให้ห้องไม่รู้สึกว่าดูอึดอัดจนเกินไปอีกด้วย

10. อย่าปล่อยให้ห้องรกจนเกินไป

จัดระเบียบบ้าน

หากบ้านรกจะทำให้อากาศไหลเวียนไม่สะดวก

สำหรับบ้านไหนที่รู้สึกว่าร้อนเกินไปและเริ่มรู้สึกว่าบ้านของเรานั้นรกแล้วก็แนะนำว่าต้องมีการจัดระเบียบบ้านสักหน่อย รู้หรือไม่ว่าห้องของเรายิ่งรกมากเท่าไหร่ อากาศมันก็จะยิ่งร้อนมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากว่าพอห้องรกแล้วเนี่ยอากาศก็ไม่สามารถถ่ายเทได้อย่างสะดวกเพราะมีสิ่งของมาบังหรือปิดกั้นการไหลเวียนอากาศภายในห้อง ดังนั้นใครที่รู้สึกว่าห้องร้อนและเริ่มรกแล้วลองจัดระเบียบดูสักนิด มันช่วยได้ไม่น้อยเลย

เพิ่มเติม ไม่ควรเอาอะไรมาวางกีดขวางบริเวณหน้าต่าง เพราะมันจะเป็นการขัดขวางการไหลเวียนของอากาศภายในห้องเราได้

สรุป

แต่ละวิธีที่เราได้ยกมาให้ไม่ว่าคุณจะมีบ้านเป็นของตัวเองหรืออาศัยอยู่ในหอพักที่ไม่สามารถเจาะ ต่อเติมอะไรได้ก็สามารถทำได้ง่ายๆ อย่างน้อยมันก็ช่วยให้ห้องของเราเย็นขึ้น แต่ไม่ถึงขั้นแบบเย็นมากเหมือนเปิดเครื่องปรับอากาศแต่ก็ทำให้เรารู้สึกว่าสบายกว่าการที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย หากใครมีวิธีอื่นๆ เพิ่มเติมสามารถบอกกับเราผ่านเพจ “Facebook : บ้านเพื่อนการช่าง” ได้เลย


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

3 ชนิดกระจกที่ช่วยลดความร้อนของบ้าน เพิ่มความสวยงาม

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ประเทศไทยเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความร้อนอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าร้อนที่บางบ้านอาจจะร้อนจนแทบจะอยู่ไม่ได้เลยหากไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ แน่นอนว่าหลายคนที่มีบ้านเป็นของตัวเองนั้นก็อยากให้บ้านของตัวเองมีความสวยงามและสามารถป้องกันความร้อนได้ แต่หลายคนอาจจะกังวลว่าถ้าหากเราติดกระจกให้กับบ้านนอกจากจะช่วยเรื่องความสวยงามแล้วมันจะกันแดดได้รึเปล่า ในบทความนี้เราจะพาคุณไปเลือกดูกระจกกัน

3 ชนิดกระจกที่ช่วยลดความร้อนของบ้าน เพิ่มความสวยงาม

1. กระจกสีเขียวตัดแสง (Heat-Absorbing Glass)

กระจกตัดแสง

บ้าน ตึกคอนโด แม้กระทั่งอาคารสำนักงานก็นิยมใช้

ปัจจุบันกระจกชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับบ้านหลายหลัง รวมถึงตึกสูงอย่างคอนโดและตึกสำนักงานด้วย เนื่องจากดูเป็นโทนที่สบายตาพร้อมทั้งกับโครงการบ้านส่วนมากมักจะใช้กระจกสีนี้กันจึงทำให้ได้รับความนิยมไม่น้อยในบ้านของเรา สำหรับตัวคุณภาพของกระจกสีเขียวตัดแสงนั้นสามารถกรองได้ทั้งรังสี UV ที่เป็นอันตรายจากแสงแดดทำให้เกิดโรคผิวหนังได้หากได้รับแสง UV เป็นเวลานาน

กระจกสีเขียว

รวมถึงยังช่วยลดความร้อนได้เกือบ 50% ทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้นหากเรามีการเปิดเครื่องปรับอากาศอยู่ภายในบ้าน ทำให้เครื่องปรับอากาศไม่ทำงานหนักเพื่อให้ห้องเย็น สิ่งที่ทำให้มันช่วยป้องกันเรื่องความร้อนและรังสียูวีได้ก็มาจากกระบวนการผลิตกระจกที่จะทำการเพิ่มออกไซต์เข้าไปในขั้นตอนการหลอมกระจก พร้อมทั้งเติมโลหะชนิดต่างๆ เข้าไป และพวกโลหะนี้เองทำให้ส่งผลต่อสีของกระจก รวมถึงยิ่งมีสีเข้มเท่าไหร่ก็หมายความว่าโลหะเหล่านี้อยู่ในกระจกเป็นปริมาณมาก รวมถึงยังทำให้แดดสอดส่องเข้ามาในบ้านของเราได้น้อยลงอีกด้วย

กระจกตัดแสงบ้าน

อีกจุดที่ควรทราบเลยคือกระจกสีเขียวตัดแสง ด้วยกระบวนการสร้างที่จะมีการใส่โลหะเข้าไปในเนื้อกระจก เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการป้องกันแสงแดดและรังสี UV ทำให้พระเอกตัวจริงของกระจกนี้ก็คือโลหะที่อยู่ในกระจก เมื่อความร้อนส่องเข้ามาที่กระจก ตัวโลหะจะทำการดูดซับเอาไว้ ถ้าหากว่ากระจกทั้งบานตากแดดทั่วทั้งแผ่นก็จะทำให้ความร้อนภายในกระจกมีความสม่ำเสมอ กระจายตัวอย่างทั่วถึงทั้งแผ่น แต่ถ้าหากความร้อนอยู่เพียงแค่จุดๆ เดียว จุดอื่นๆ โดนบังไม่โดนแดดก็อาจจะทำให้กระจกแตกได้หากให้เป็นระยะเวลานาน

2. กระจกสะท้อนแสง (Reflected Glass)

กระจกสะท้อนแสง

ตึกคอนโดและอาคารสำนักงานนิยมใช้กระจกนี้

กระจกสะท้อนแสงเป็นกระจกอีกชนิดที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกโครงการคอนโดหรือตึกอาคาร สำนักงานสูงๆ มักจะใช้กระจกชนิดนี้กัน ตัวกระจกจะมีการเคลือบออกไซต์ทำให้มีค่าความโปร่งแสงต่ำ คนภายนอกมองเห็นข้างในได้ยาก แต่คนที่อยู่ในภายจะมองออกมาข้างนอกได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ตัวกระจกยังมีการเคลือบสารสะท้อนแสงไว้ที่กระจกด้วยเช่นกัน สามารถลดความร้อนจากแดดที่จะส่องเข้ามาได้มากถึง 50% ทำให้ช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงานให้กับบ้าน อาคาร หรือตึกสำนักงานไม่น้อย แต่ราคากระจกชนิดนี้ก็สูงกว่ากระจกทั่วไปถึง 1.5 เท่า ด้วยความที่แดดส่องเข้ามาได้น้อยทำให้บ้าน อาคาร หรือตึกสำนักงานที่ใช้กระจกชนิดนี้จะต้องเพิ่มแสงสว่างให้มากขึ้นกว่าเดิม

กระจกสะท้อนแสงแดด

ภาพจาก : Guardian Glass

ข้อเสียของกระจกประเภทนี้เลยคือการสะท้อนแสงที่อาจจะทำให้เกิดอันตรายแก่บริเวณที่แสงไปตกกระทบได้ ยิ่งหากคุณติดในบ้านของคุณ เมื่อแสงแดดสะท้อนเข้ามาผ่านกระจก ตัวกระจกจะทำหน้าที่ในการสะท้อนแสงนั้นออกไปตกกระทบที่อื่น ถ้าหากแสงสะท้อนไปโดนบ้านเพื่อนบ้านก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาได้ นอกจากนี้ยังต้องมีการดูแลเป็นพิเศษเนื่องจากว่าหากเราดูแลไม่ถูกวิธีแล้วก็จะทำให้สารเคลือบกระจกและสารที่ป้องกันพวกแดด รังสี UV ถูกทำลายหรือเสื่อมสภาพไวกว่าที่ควรเป็น

3. กระจก Low Emissivity

กระจก Low E

ภาพจาก : VSOM Glass

กระจกโลว์อีหลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อกันสักนิด จริงๆ กระจกชนิดนี้มีมานานมากแล้วในเมืองนอก แต่ในเมืองไทยพึ่งจะเริ่มได้รับความนิยมและใช้กันอย่างแพร่หลายเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น สำหรับกระจก Low E ตัวกระจกจะมีการเคลือบสารฉนวนกันความร้อนและการป้องกันรังสีเอาไว้ที่ตัวกระจก นอกจากนี้มีการสะท้อนแสงที่ต่ำทำให้แสงสามารถลอดเข้ามาในตัวอาคาร ตึกสำนักงานหรือบ้านได้ แต่แสงนั้นก็จะถูกลดความร้อนออกไป ทำให้การจัดการความร้อนของกระจกแบบโลว์อีทำได้ดีมาก ควบคุมอุณหภูมิของบ้านไม่ให้ร้อนเกินไป ทำให้บ้านประหยัดพลังงานมากขึ้นอีกด้วย หากเทียบกับกระจกสะท้อนแสงแล้วตัวกระจกโลว์อีจะให้แสงสว่างได้ดีกว่าพอสมควร

การทำงานกระจก Low E

ภาพจาก : Stanek Windows

สำหรับโลหะที่นำมาเคลือบกระจกโลว์อีจะนิยมใช้ 2 ตัวหลักๆ คือ อลูมิเนียมหรือเงิน เนื่องจากโลหะทั้งสองตัวนี้มีคุณสมบัติในการแผ่ความร้อนที่น้อยทำให้ได้รับความนิยมในการนำมาเคลือบกระจกโลว์อี สำหรับราคาก็มีราคาที่แพงพอสมควรยิ่งใช้ชนิดที่ต้องการประหยัดพลังงานมากเท่าไหร่ก็จะมีการผลิตที่แตกต่างและมีราคาที่สูงขึ้นด้วย

สรุป

สำหรับกระจกทั้ง 3 แบบก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป มีราคา คุณสมบัติที่แตกต่างกันพอสมควร แต่จุดประสงค์หลักๆ ของทั้ง 3 แบบที่ทางบ้านเพื่อนได้ยกมานั้นก็สามารถช่วยลดความร้อนของบ้านได้เป็นอย่างดี ทำให้บ้านของเราเย็นมากขึ้น มีความสวยงาม และประหยัดพลังงานได้ดีอีกด้วย


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

3 กระจกนิรภัยที่ปลอดภัย กระจกแตกก็ไม่อันตราย

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

กระจกก็เป็นอีกส่วนประกอบหนึ่งของบ้านหรือคอนโดที่จะช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับตัวบ้าน ทำให้บ้านของเราดูโปร่งโล่งสบาย มีแสงลอดเข้าผ่านตัวบ้านได้ ทำให้บ้านดูน่าอยู่อาศัยมากขึ้น แต่หลายคนก็กังวลว่าเวลาเกิดอุบัติเหตุกับกระจกอาจจะทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็กอยู่หากมีเหตุการณ์กระจกแตกก็จะทำให้ได้รับบาดเจ็บ เรามาดูกระจกนิรภัยกันดีกว่าว่ามีแบบไหนบ้าง รับรองว่าทุกแบบมีความปลอดภัยถึงจะแตกก็ไม่เกิดอันตรายอีกด้วย

3 กระจกนิรภัยที่ปลอดภัย กระจกแตกก็ไม่อันตราย

1. กระจกเทมเปอร์ (Tempered Glass)

กระจกเทมเปอร์

ภาพจาก : Window Flim Depot

กระจกเทมเปอร์เป็นกระจกที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการอสังหาริมทรัพย์ มีความแข็งแรง ทนทาน และเมื่อกระจกแตกจะมีลักษณะคล้ายกับเมล็ดข้าวโพด พวกเหลี่ยมคมๆ ของตัวกระจกก็จะน้อยกว่าปกติมากทำให้ไม่เกิดอันตราย ในด้านการทำนั้นก็คือนำกระจกธรรมดาไปอบด้วยความร้อนสูงประมาณ 650 – 750 องศาเซลเซียส จากนั้นก็ใช้ที่เป่าลมแรงดันสูงเป่าเพื่อให้กระจกเย็นตัวทำให้ตัวกระจกมีความแข็งแรงมากขึ้น ทนกว่ากระจกธรรมดาทั่วไป 3 – 5 เท่า นอกจากนี้ยังมีความทนต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิแบบเฉียบพลันอีกด้วย

กระจกเทมเปอร์แตก

ลักษณะเมื่อกระจกเทมเปอร์แตก ภาพจาก : Brennan Enterprise

สำหรับตัวกระจกเทมเปอร์ตามท้องตลาดที่ขายกันทั่วไปและหาได้ง่ายจะมีขนาดความหนาตั้งแต่ 4 – 19 มิลิเมตร ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งกระจกเทมเปอร์ให้กับบ้านเลยก็คือมันไม่สามารถตัดหรือเจาะเพิ่มเติมหลังจากที่ผลิตออกมาแล้วได้ เพราะหากมีการเจาะหรือตัดตัวกระจกเทมเปอร์จะทำให้แตกทันที เราอาจจะต้องมีการวัดหรือให้ทีมที่เราสั่งผลิตกระจกเข้ามาตรวจสอบหรืออธิบายความต้องการของเราให้กับผู้ผลิตให้เข้าใจ จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง นอกจากนี้สิ่งที่ต้องระวังสำหรับกระจกเทมเปอร์เลยคือ “มุมกระจก” ส่วนนี้จะมีความบอบบางเป็นพิเศษ บางครั้งโดนนิดหน่อยก็ทำให้แตกได้ทั้งบาน ฉะนั้นไม่จำเป็นอย่าไปยุ่งกับมุมโดยเด็ดขาด

2. กระจกลามิเนต (Laminated Glass)

กระจกลามิเนต

ภาพจาก : AIS Glass

กระจกลามิเนตนับว่าเป็นกระจกที่มีความปลอดภัยมากที่สุดในบรรดากระจกนิรภัยทั้ง 3 ตัวแล้ว ตัวกระจกจะมีการผลิตโดยนำกระจก 2 บานเข้ามาประกบหากัน เชื่อมด้วยฟิล์มสำหรับเคลือบกระจกและใช้ความร้อนในการเชื่อม ทำให้กระจกทั้งสองแผ่นกลายเป็นแผ่นเดียวกัน เมื่อผลิตออกมาแล้วจะทำให้ดูเหมือนเป็นกระจกแผ่นเดียวเท่านั้น

นอกจากนี้สีรวมถึงคุณสมบัติของกระจกลามิเนตก็จะขึ้นอยู่กับว่าขั้นตอนการผลิตนั้นใช้ฟิล์มชนิดใด เช่น ฟิล์มขุ่น ฟิล์มใส ฟิล์มป้องกันความร้อน ฟิล์มป้องกันแสง UV และฟิล์มชนิดอื่นๆ ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต และหากเกิดอุบัติเหตุจนทำให้กระจกลามิเนตแตกได้มันก็จะไม่ร่วงออกมาเหมือนกระจกทั่วไป แต่เวลามันแตกจะทำให้พวกเศษกระจกติดอยู่กับฟิล์มไม่ร่วงลงมา จึงทำให้ไม่เกิดอันตราย ลักษณะของร่องรอยการแตกก็จะไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับว่าใช้กระจกชนิดไหนมาประกบให้เป็นแผ่นเดียวกัน

กระจกลามิเนตแตก

กระจกลามิเนตถ้าแตกจะไม่กระจายออก ภาพจาก : Magic Glass

และด้วยความแข็งแรงของกระจกลามิเนตนี้เองทำให้สามารถใช้งานได้หลากหลายมากๆ ทั้งการนำไปเป็นหลังคา ทำเป็นตัวกั้นระเบียงได้ รวมถึงพวกอาคารสำนักงานก็นิยมใช้กระจกชนิดนี้ในการติดตั้งที่ตึกด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าความปลอดภัยและความแข็งแรงของมันก็ต้องแลกมากับราคาที่สูงพอสมควร แต่ก็คุ้มค่ากับราคาไม่น้อยหากเอามาเทียบกับเรื่องความปลอดภัยที่จะได้รับ

3. กระจกเสริมลวด (Wire-Reinforced Glass)

กระจกเสริมลวด

ภาพจาก : The DG Group

กระจกเสริมลวดเป็นกระจกที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยจะนำลวดใส่เอาไว้ในกระจกทำให้กระจกมีความแข็งแรงมากขึ้น หากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้กระจกเสริมลวดแตก ตัวกระจกจะไม่แตกกระจายออกมาเนื่องจากว่ามีลวดภายในกระจกยึดเอาไว้ แต่มันก็ยังมีความแหลมคมของกระจกอยู่ นอกจากนี้คุณสมบัติของกระจกเสริมลวดยังมีความทนทานควาวมร้อนที่สูงพอสมควร สามารถสกัดกั้นไฟและควันไฟไม่ให้ลุกลามไปที่อื่นได้ นอกจากนี้ด้วยตัวกระจกที่เสริมลวดทำให้กระจกมีความแข็งแรง ยากแก่การเข้ามาโจรกรรมของขโมยอีกด้วย

กระจกเสริมลวดมักจะนิยมติดตั้งในอาคารสำนักงานในจุดที่ต้องการสกัดกั้นควันไฟและป้องกันไฟลาม เช่น พื้นที่หนีไฟหรือบริเวณที่กำหนดให้เป็นพื้นที่ป้องกันไฟ นอกจากนี้ร้านค้าที่มีสินค้ามูลค่าสูงที่ต้องการทั้งความสวยงามและป้องกันการโจรกรรมไปพร้อมๆ กันก็นิยมใช้กระจกเสริมลวดด้วยเช่นกัน แต่สำหรับบ้านทั่วไปก็สามารถใช้ได้เพราะดีไซน์ของมันและความแข็งแรงก็ถูกใจหลายคนเช่นกัน

สรุป

กระจกนิรภัยหลักๆ ในบ้านเราก็จะได้รับความนิยมทั้งหมด 3 แบบ ตามที่เราได้อธิบายไปข้างต้น แต่สำหรับบ้านทั่วไปมักจะนิยมกระจกเทมเปอร์กับกระจกลามิเนตมากกว่า เพราะบ้านส่วนมากอาจจะไม่ได้ต้องการกระจกที่มีความแข็งแรงมากขนาดเท่ากับกระจกเสริมลวด ทำให้ 2 ตัวแรกจะนิยมใช้ในบ้านทั่วไปมากกว่า


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย