5 สิ่งที่ต้องระวังเมื่อคุณจะปรับปรุงบ้าน

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

การปรับปรุงบ้านหรือการรีโนเวทบ้านเป็นสิ่งที่หลายบ้านที่มีอายุนานหรือบางคนอาจจะต้องการปรับปรุงบ้านเพราะมีบางส่วนของบ้านเกิดความเสียหายหรือบางคนอาจจะต้องการปรับปรุงเพื่อขายบ้านต่อ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามหากเราต้องการปรับปรุงบ้านอยู่แล้วเราก็จะต้องระวังสิ่งเหล่านี้

1. วางแผนการปรับปรุงบ้านไม่ชัดเจน

วางแผนปรับปรุงบ้าน

ควรวางแผนให้เสร็จสิ้นทีเดียว หากเปลี่ยนไปมาอาจจะเปลืองงบประมาณได้

การวางแผนก่อนการเริ่มรีโนเวทหรือการปรับปรุงบ้านก็เป็นเรื่องพื้นฐานอย่างมากเพื่อให้การปรับปรุงบ้านเป็นไปตามความต้องการของเรา แน่นอนว่าเมื่อเราได้ปรึกษากับมัณฑนากรหรือสถาปนิกและได้แบบตามที่เราต้องการแนะนำว่าหากคุณต้องการเพิ่มเติมส่วนใดควรจะแจ้งตรงนั้นเลย เพื่อที่เวลาการก่อสร้างหรือปรับปรุงบ้านแล้วจะได้ไม่ต้องมาเปลี่ยนแปลงภายหลัง และคิดให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจจ้างผู้รับเหมาทุกครั้งว่าแบบที่เราต้องการปรับปรุงนั้นมันเพียงพอต่อความต้องการของเราจริงๆ

โดยหากคุณไม่ได้วางแผนอย่างชัดเจนแล้วมีการต่อเติมภายหลังอาจจะทำให้คุณไม่สามารถควบคุมงบประมาณ เวลา ความแข็งแรงของบ้านในการปรับปรุงบ้านได้ รวมถึงหากเพิ่มการปรับปรุงเป็นจุดที่ใหญ่มากก็จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของบ้านได้เช่นกัน ดังนั้นควรวางแผนการปรับปรุงให้รอบคอบที่สุด

2. การต่อเติมบ้านโดยไม่ขออนุญาต

ขออนุญาตต่อเติมบ้าน

หากมีการต่อเติมบ้าน ควรจะต้องขออนุญาตทุกครั้ง

การปรับปรุงบ้านถือเป็นเรื่องใหญ่อย่างมากและจำเป็นจะต้องมีการแจ้งเพื่อขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่ว่าเราอยากจะปรับปรุงบ้านเพื่อขยายพื้นที่การใช้สอยหรือสร้างห้องเพิ่มจะทำได้ทันที เราต้องมีการขออนุญาตตาม พรบ. การก่อสร้างอาคารเสียก่อน ยกตัวอย่างที่ต้องขออนุญาตเช่น มีการปรับปรุงบ้านโดยเพิ่มพื้นที่การใช้สอยเกิน 5 ตารางเมตร การเพิ่มหรือลดเสา คาน โครงสร้างหลังคา การเปลี่ยนวัสดุใช้รับน้ำหนักบ้าน ฯลฯ พวกนี้เราต้องขออนุญาตก่อนทั้งนั้น หากคุณไม่ทราบว่าการปรับปรุงบ้านของคุณจำเป็นจะต้องขออนุญาตหรือไม่ สามารถสอบถามกับผู้รับเหมาได้เลยก่อนเริ่มการก่อสร้าง เพราะถ้าหากคุณก่อสร้างปรับปรุงไปแล้วโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตก็อาจจะต้องมีการรื้อถอนภายหลังหรือถูกดำเนินคดีตามกฎหมายได้

3. อย่าเน้นไปที่ความสวยงาม ห้ามลืมการใช้งานด้วย

ปรับปรุงบ้าน

ความสวยงามต้องมาพร้อมกับความสะดวกในการใช้งานด้วย

บางครั้งการที่เราปรับปรุงบ้านอาจจะต้องการทั้งความสวยงามและฟังก์ชันการใช้งานที่มีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่หลายคนอาจจะลืมคิดในส่วนของการใช้งานและไปเน้นที่ด้านความสวยงามเพียงอย่างเดียว บางครั้งการออกแบบเพื่อความสวยงามมันก็เป็นเรื่องดีเพราะจะทำให้บ้านของเรามีความน่าอยู่น่าอาศัยมากขึ้น แต่บางครั้งอาจจะมาพร้อมกับความไม่สะดวกในการใช้งาน ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำเลยคือเน้นควบคู่กันไปเลยทั้งความสวยงามและความสะดวกสบาย เพราะถ้าหากเราเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ไม่นานเราอาจจะต้องแก้ไขมันจนทำให้เสียเงินเสียทองเพิ่มอีกได้

4. คำนึงถึงวัสดุให้ดี

วัสดุก่อสร้าง

ควรจะคำนวณเรื่องวัสดุที่ใช้ปรับปรุงบ้านให้ดี จะได้ประหยัดเงินในกระเป๋าของเรา

วัสดุก็เป็นหัวใจสำคัญของการปรับปรุงบ้าน เพราะมันส่งผลทั้งด้านความแข็งแรง ความสวยงาม และงบประมาณในกระเป๋าของเราไม่น้อย เรื่องวัสดุเราก็จำเป็นจะต้องมีความใส่ใจและละเอียดรอบคอบ ทั้งการเลือกวัสดุที่มีความทนทานสำหรับจุดสำคัญเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเร็วเกินไป ซื้อวัสดุให้เพียงพอต่อการปรับปรุงบ้านเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ เพราะส่วนมากแล้วยิ่งเราซื้อเยอะก็ยิ่งถูก แต่ไม่ควรซื้อเยอะเกินความจำเป็น

5. อย่าลืมแจ้งเพื่อนบ้าน

บอกเพื่อนบ้านเมื่อปรับปรุงบ้าน

ควรบอกเพื่อนบ้านเมื่อต้องปรับปรุงบ้าน จะได้ไม่เกิดปัญหาภายหลัง

ข้อนี้สำคัญสุดๆ เพราะการปรับปรุงบ้านแต่ละครั้งก็ต้องหนีไม่พ้นเรื่องของมลพิษทางเสียงและฝุ่นที่เกิดจากการปรับปรุงบ้าน ดังนั้นแล้วเราควรจะมีการแจ้งกล่าวกับเพื่อนบ้านสักนิด และหาวิธีการป้องกันเบื้องต้นเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเพื่อนบ้านจนเกินไปเช่น หาผ้าใบมาคลุมระหว่างการก่อสร้างเพื่อเป็นการป้องกันพวกเศษหินหรือฝุ่นกระเด็นไปโดนเพื่อนบ้าน หรือเน้นการก่อสร้างในช่วงตอนกลางวันเพื่อหลีกเลี่ยงมลพิษทางเสียง เพราะตอนกลางวันส่วนมากแล้วคนมักจะไม่ค่อยอยู่บ้านกัน ทั้งนี้การแจ้งเพื่อนบ้านก็เพื่อเป็นการไม่ให้เกิดผลกระทบระหว่างกัน และช่วยลดการขัดแย้งได้ด้วย

สรุป

การปรับปรุงบ้านก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องมีการทำอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการบำรุงรักษาและสร้างความสวยงามให้กับผู้อยู่อาศัย และนอกจากนี้การปรับปรุงบ้านจำเป็นจะต้องมีการวางแผนให้ดีเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อตัวบ้านในระยะยาว รวมถึงจะได้ประหยัดงบประมาณในการปรับปรุงบ้านได้อีกด้วย


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

เปลี่ยนบ้านธรรมดาให้กลายเป็นบ้านอัจฉริยะด้วย Smart Home

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

บ้านคือทุกอย่างของเรา เป็นได้ทั้งที่อยู่อาศัย ที่แห่งความสุข และที่แห่งความบันเทิงได้ด้วยเช่นกัน สำหรับบางคนอาจจะเบื่อบ้านบรรยากาศเดิมๆ ธรรมดาๆ ให้กลายเป็นบ้านสุดไฮเทคได้ด้วยโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวก็ได้ด้วยเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นหากคุณไปออฟฟิศแล้วกลับถึงบ้านก็อยากให้บ้านเย็นชื่นใจ หากเราเปลี่ยนอุปกรณ์ให้บ้านเราเป็นบ้านอัจฉริยะก็สามารถทำเช่นนั้นได้ เรามาดูกันดีกว่าว่าเราจะเปลี่ยนหรือเพิ่มอะไรในบ้านให้กลายเป็นบ้านอัจฉริยะได้

บ้านอัจฉริยะ (Smart Home) คืออะไร

บ้านอัจฉริยะหรือบางคนอาจจะเรียกทับไปเลยว่า “สมาร์ทโฮม” ก็หมายถึงนวัตกรรมตัวหนึ่งที่จะทำให้บ้านของคุณกลายเป็นบ้านอัจฉริยะได้ โดยการควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ของบ้านไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟ แอร์ ทีวี ปลั้กไฟ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยที่อุปกรณ์ไฟฟ้าเหล่านี้จะมีการเชื่อมต่อผ่าน “อินเทอร์เน็ต” เพื่อให้เราสั่งการให้มันเปิด – ปิด ได้โดยที่สั่งผ่านโทรศัพท์มือถือได้เลย ทำให้เรามีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และอุปกรณ์สมาร์ทโฮมบางชนิดยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับบ้านของเราได้เช่นกัน

เรามาดูกันดีกว่าว่าอุปกรณ์ Smart Home มีตัวไหนบ้างที่คนนิยมใช้ และช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?

1. กล้องวงจรปิด

กล้องวงจรปิดก็นับได้ว่าเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะชนิดหนึ่ง โดยสมัยก่อนเราอาจจะต้องมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดแล้วเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์จึงจะใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีทำให้เราสามารถติดตั้งกล้องวงจรปิดแล้วดูผ่านโทรศัพท์มือถือได้เลย แถมในปัจจุบันราคาก็ถูกแสนถูก เริ่มต้นไม่ถึงหลัก 1,000 บาทก็มี แถมพูดคุยโต้ตอบกับผู้สนทนาได้อีกด้วย และยังช่วยรักษาความปลอดภัยในบ้านของเราได้อีก

2. Digital Door Lock

บ้านที่สร้างสมัยใหม่ตามโครงการต่างๆ ปัจจุบันก็มักจะเป็นตัวล็อกแบบดิจิตอลกันหมดแล้ว ซึ่งตัว Digital Door Lock ก็มีทั้งระบบรหัสผ่าน การสแกนนิ้วมือ หรือแม้กระทั่งสามารถไขแบบกุญแจธรรมดาก็ได้ หรือยิ่งไปกว่านั้นหากคุณลืมทุกอย่างเอาไว้ Digital Door Lock บางรุ่นก็สามารถสั่งเปิด – ปิด ประตูผ่านมือถือได้ด้วยเช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่า Digital Door Lock ตัวนั้นมีฟังก์ชันอะไรบ้าง

3. หลอดไฟอัจฉริยะ

หลอดไฟสมัยก่อนเราจำเป็นจะต้องมีการเดินไปเปิดสวิตช์ตามจุดต่างๆ เพื่อให้หลอดไฟทำงาน แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวหน้าจนกระทั่งเราสามารถซื้อหลอดไฟอัจฉริยะมาเปลี่ยนแล้วสามารถสั่งงานเปิด – ปิด ผ่านมือถือได้เลยโดยที่คุณไม่ต้องเดินไปที่สวิตช์ไฟอีกต่อไป และปัจจุบันก็ได้รับความนิยมอย่างมากในหลายๆ บ้าน

4. Smart Controller

เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่เหมือนเป็น Main หลักที่เชื่อมต่ออุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน สามารถควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ของบ้านได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น บางรุ่นอาจจะมีการสั่งงานด้วยเสียงได้ หรือจะตั้งค่าคำสั่งต่างๆ ที่เราใช้เป็นประจำให้กับอุปกรณ์นี้ก็สามารถทำได้เช่นกัน ทั้งนี้ฟีเจอร์และฟังก์ชันต่างๆ ของยี่ห้อและรุ่นก็จะมีความแตกต่างกันไปด้วย

5. ปลั๊กอัจฉริยะ (Smart Plug)

หากคุณจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าตัวใดตัวหนึ่งบ่อยๆ และบางครั้งอยากให้อุปกรณ์ตัวนั้นเปิดการทำงานรอระหว่างที่เรากำลังกลับบ้าน ไม่ว่าอุปกรณ์ตัวนั้นจะเก่าแค่ไหนเพียงแค่เราเอา Smart Plug เสียบไว้เราก็สามารถสั่งงานผ่านโทรศัพท์มือถือให้อุปกรณ์ตัวนั้นทำงานได้ทันที

6. IR Remote Controller

เป็นอุปกรณ์ตัวหนึ่ง่ที่เหมือนเป็นรีโมทที่จะใช้สัญญาณอินฟราเรดในการควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้าน ยกตัวอย่างเช่น ทีวี แอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอกนิกส์อื่นๆ ที่ใช้สัญญาณอินฟราเรดเหมือนกัน ฯลฯ ซึ่งเมื่อเราเอาอุปกรณ์ต่างๆ เชื่อมต่อเข้ากับ IR Remote Controller แล้วเราก็สามารถสั่งงานให้เปิด – ปิดผ่านโทรศัพท์มือถือได้ทันที แม้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้นๆ จะเก่าดูเหมือนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นสมาร์ทโฮมได้ก็ตาม ขอเพียงแค่ใช้สัญญาณอินฟราเรดเราก็สามารถเชื่อมต่อกับ IR แล้วเปลี่ยนให้เป็นอุปกรณ์อัจฉริยะได้เหมือนกัน

7. ม่านอัจฉริยะ (Smart Curtain)

สำหรับบางคนที่อยากให้ห้องบางห้องโดนแดดตอนเช้าแต่ยังไม่ใช่เวลาตื่นหรือเราขี้เกียจเดินไปเปิดม่านในห้องนั้นๆ เราก็สามารถใช้อุปกรณ์อย่าง “ม่านอัจฉริยะ” เข้ามาติดตั้งกับผ้าม่านของเราได้ด้วยเช่นกัน เมื่อเราติดตั้งเจ้าอุปกรณ์ชนิดนี้แล้วจะทำให้เราสามารถสั่งการเปิด – ปิด ม่านผ่านโทรศัพท์ตอนไหนก็ได้ หรือจะตั้งเวลาตายตัวกำหนดเปิด – ปิดไว้ก็ได้เช่นกัน ถือว่าสะดวกอย่างมาก ยิ่งคนที่อยู่เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น การจะเดินไปเปิดผ้าม่านบนชั้น 3 ทุกวันก็คงจะไม่ไหว หลายบบ้านจึงเลือกติดม่านอัจฉริยะแล้วสั่งการผ่านโทรศัพท์เอาเพื่อความสะดวก

8. ระบบสั่งการด้วยเสียง

ระบบสั่งการด้วยเสียงจะเป็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์อัจฉริยะในบ้านของเราเข้าไว้กับอุปกรณ์เพียงตัวเดียว ทำให้เราอยู่ที่ไหนก็สามารถสั่งการด้วยเสียงได้แม้มือจะไม่ว่าง ขอแค่เพียงเสียงส่งถึงอุปกรณ์ตัวนั้นและชัดเจนมากพอมันก็สามารถเปิด – ปิด อุปกรณ์อัจฉริยะในบ้านของเราแทนเราได้ สำหรับอุปกรณ์สั่งการด้วยเสียงยอดนิยมในคนไทยจะมีด้วยกันหลักๆ 2 เจ้าคือ Amazon Echo กับ Google Nest แถม 2 เจ้านี้ยังรองรับการสั่งการด้วยภาษาไทยด้วย แต่ขออย่างเดียวออกเสียงช้าๆ ชัดๆ มันก็ทำงานได้ดีเลย หรือจะเชื่อมต่อเข้ากับทีวีแล้วเปิด YouTube เปิดเพลง เปิดหนัง หรือเปิดอะไรก็แล้วแต่มันก็ทำได้ด้วยนะ

สรุป

อุปกรณ์สมาร์ทโฮมก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน มันช่วยอำนวยความสะดวกให้กับหลายๆ คนได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งยังช่วยเรื่องความปลอดภัยได้อีกด้วยสำหรับบางอุปกรณ์ ยิ่งบ้านสมัยใหม่ที่กำลังก่อสร้างอยู่ก็เริ่มที่จะเอาพวกอุปกรณ์ Smart Home มาใช้กับตัวบ้านเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกถึงความสะดวกสบาย และการใช้ชีวิตอย่างมีสีสันอีกด้วย


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

7 วิธีกำจัดมดภายในบ้านแบบได้ผล 100%

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

“มด” นับได้ว่าเป็นสิ่งรบกวนของใครหลายคนเพราะเวลาเราเจอมันทีมักจะไม่ได้อยู่เพียงแค่ตัวเดียว แต่อยู่รวมกันเป็นปริมาณมากๆ หลายสิบถึงหลายร้อยตัวจากที่เราเห็นภายนอก และมันมักจะสร้างความรำคาญให้กับเราได้เสมอพร้อมทั้งทำให้บ้านของเราสกปรกได้อีกด้วย นอกจากนี้มันยังสามารถไต่มาตามตัวของเราได้อีกด้วยหากไม่ได้กำจัดออกไป ยิ่งมดบางประเภทอาจจะสร้างความเสียหายหลายๆ อย่างให้กับตัวบ้านได้ด้วยเหมือนกัน เรามาดูวิธีไล่มดกันดีกว่าว่าสามารถใช้วิธีไหนได้บ้าง

1. ทำความสะอาดพื้นที่บริเวณบ้าน

ทำความสะอาดบ้านบ่อยๆ ช่วยกำจัดมดได้

ทำความสะอาดบริเวณที่มักจะเศษอาหารเช่น ครัว โต๊ะอาหาร เป็นต้น

แน่นอนว่าทุกบ้านจะต้องมีการรับประทานอาหารหรือมีของกินอะไรสักอย่างติดอยู่ในบ้านไว้อยู่แล้ว และมดพวกนี้เองก็จะมีการหาอาหารอยู่เรื่อยๆ ยิ่งบ้านของเราไม่ได้มีการเก็บกวาดเศษอาหารโดยเฉพาะบริเวณห้องครัว โต๊ะกินข้าว ที่อาจจะมีเศษอาหารตกหล่นอยู่ที่พื้น เมื่อมดได้กลิ่นมันก็จะพากันมาขนเศษอาหารเหล่านี้ไป ฉะนั้นหลังทานอาหารเสร็จไม่ว่าที่ไหนๆ ของบ้านก็ตาม เราจำเป็นจะต้องทำความสะอาดทุกครั้งหลังกินเสร็จ เก็บกวาด เช็ด ถู ให้เรียบร้อยและไม่ควรจะหลงเหลือคราบหรือเศษอาหารเอาไว้แม้แต่เพียงนิดเดียว เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มดขึ้นบ้านของเรา

ข้อแนะนำเบื้องต้น ลองหาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องครัวหรือโต๊ะกินข้าวหลังรับประทานเสร็จดู เพราะผลิตภัณฑ์พวกนี้จะมีกลิ่นหอมสำหรับมนุษย์แต่เป็นกลิ่นที่มดไม่ชอบอย่างมาก หากเราเช็ดถูทำความสะอาดบ่อยๆ มดเหล่านี้ก็ไม่อยากจะมาเยือนบ้านของเราเท่าไหร่นัก

2. แป้งเด็กป้องกันมด

แป้งเด็กไล่มดได้

รูปจาก MedicalNewsToday

แป้งเด็กเป็นไอเทมที่เกือบทุกบ้านมักจะมีติดไว้อยู่เสมอหรือถ้าหากว่าไม่มีก็สามารถหาซื้อได้ง่ายมาก เพราะตามร้านสะดวกซื้อก็มีขาย สาเหตุที่แป้งเด็กสามารถไล่มดได้นั้นก็มาจากตัวของผงแป้งเองที่จะมีเนื้อละเอียดสามารถติดผิวได้ง่าย ทำให้มันไปอุดตันการหายใจของมดและมันก็จะหายใจไม่ออก นอกจากนี้กลิ่นของแป้งยังสามารถกลบฟีโรโมนของมดทำให้มดไม่สามารถสื่อสารหรือหาทางกลับรังของมันได้ถูก เมื่อถูกรบกวนด้วยกลิ่นของแป้งเด็กบ่อยๆ เข้ามดก็จะไม่มาบ้านคุณอีกเลย ในการใช้แป้งเพื่อกำจัดมดนั้นให้เราโรยในบริเวณที่เราพบเจอมดหรือบริเวณที่มดเดินผ่านบ่อยๆ ทำอย่างต่อเนื่องสัก 1 – 2 สัปดาห์แล้วมดจะหายไปเอง

3. กำจัดต้นตอด้วยการอุดรูรั่ว

ยาแนวอุดรังมดและรอยแตก

รูปจาก The Spruce

มดมักจะชอบสถานที่ชื้นๆ มืดๆ หรือเป็นที่เล็กๆ โดยเฉพาะตามรูหรือโพรงต่างๆ ของบ้านเราจะสามารถพบมดทำรังอยู่บริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก วิธีแก้ไขเลยก็คือหาวัสดุพวกซิลิโคน ปูนสำหรับซ่อมกำแพง เทปกาว หรืออะไรก็ได้ที่สามารถปิดรูดังกล่าวได้ เพื่อไม่ให้มดเข้าไปทำรังในรูรั่วนั้นได้ หากคุณใช้พวกเทปใสหรือสติ๊กเกอร์ต่างๆ สำหรับปิดรอยรั่วนั้นคุณอาจจะต้องมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอสักนิด เนื่องจากว่ามดพวกนี้สามารถเจาะผ่านเทปได้นั่นเอง

4. ใช้สเปรย์เปลือกส้ม

เปลือกส้มกำจัดมด

มดไม่ชอบกลิ่นของส้มหรือกลิ่นเปรี้ยวๆ

หากคุณได้รับประทานส้มก็อย่าพึ่งทิ้งเปลือกของมันไปไหน ให้เอามาเปลือกส้มมาตากให้แห้ง จากนั้นนำไปวางในที่ต่างๆ ที่มดเดินผ่านก็จะทำให้มดไม่อยากเข้าบ้านคุณอีก หรือการนำผลส้มเล็กๆ สัก 2 ผล นำมาบดหรือผสมกับน้ำอัตราส่วนถ้าผลใหญ่หน่อยก็ใช้ 2 ผลต่อน้ำ 250 มิลิลิตร จากนั้นนำมากรอกใส่ขวดสเปรย์และนำไปพ่นบริเวณที่มดเดินหรือมดอาศัยอยู่ กลิ่นของส้มจะทำให้มดไม่อยากเข้าใกล้ นอกจากนี้ยังทำลายกลิ่นฟีโรโมนที่มันทิ้งไว้ตามทางเดินได้ด้วย อีกอย่างที่เป็นประโยชน์ของส้มเลยคือนอกจากการไล่มดแล้วยังช่วยไล่แมลงสาบได้อีก เพราะสัตว์ทั้ง 2 ประเภทนั้นเกลียดกลิ่นที่มีความเปรี้ยวมาก

5. ใช้น้ำมันหอมระเหย

น้ำมันหอมระเหย

น้ำมันหอมระเหยที่มีส่วนผสมเปบเปอร์มิ้นต์หรืออบเชยไล่มดได้

น้ำมันหอมระเหยที่มีกลิ่นสมุนไพรอย่างพวกเปบเปอร์มิ้นต์หรือพวกอบเชย จะสามารถไล่มดได้เป็นอย่างดี โดยการใช้งานก็เพียงแค่ฉีดสเปรย์ในบริเวณที่มดเดินผ่านหรือบริเวณที่คาดว่ามดน่าจะทำรัง ก็ทำให้มดเหล่านั้นเริ่มจะหายออกไปจากบ้านของเราได้เช่นกัน ดังนั้นแล้วเนี่ยหากใครชื่นชอบวิธีการที่ปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายการใช้พวกน้ำมันหอมระเหยก็ดีเช่นกัน

6. ใช้ผงชอล์กกำจัดมด

ชอล์กกำจัดมด

ชอล์กไล่มดมีขายตามช่องทางออนไลน์ทั่วไป ชอล์กเขียนกระดานใช้ไม่ได้นะ

ในผงชอล์กนั้นมีส่วนประกอบของแคลเซียมคาร์บอนเน็ตอยู่ และเป็นสิ่งที่มดไม่ชอบอย่างมาก ในการใช้งานผงชอล์กให้เราเอาผงไปโรยบริเวณใกล้กับรังมดหรือโรยบริเวณตรงที่มดเดินเท่านี้มดก็จะไม่เข้าบ้านเราอีก อย่างไรก็ตามวิธีนี้จะเหมาะกับบ้านที่ไม่มีเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยง เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายพวกเค้าได้

7. ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรค

ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรค

รูปจาก Freepik   

สำหรับผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคก็มีวางขายในตลาดอย่างมากมาย ซึ่งสามารถใช้ไล่มดได้เหมือน วิธีการคือผสมน้ำ 1 ต่อ 3 ส่วนแล้วนำมากรอกใส่ขวดสเปรย์ จากนั้นนำไปพ่นที่บริเวณรังมดหรือตามทางที่มดเดิน มันจะช่วยลบกลิ่นฟีโรโมนที่ปล่อยออกมาจากมด และกลิ่นหอมๆ ของพวกผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคก็ยังไปรบกวนระบบทางเดินหายใจของมดด้วยเช่นกัน ทำให้มดไม่อยากเข้าใกล้เท่าไหร่นัก สังเกตได้เลยว่าพอคุณฉีดไปแล้วมดจะไม่เดินในบริเวณนั้นอีก

สรุป

มดเป็นปัญหาใหญ่สำหรับคนที่อยู่อาศัยในบ้านทุกแบบ เพราะมันสร้างความรำคาญใจและยังขึ้นอาหารของเราได้อีกด้วย นอกจากนี้ยิ่งเห็นมันเดินตามพื้นและอาจจะมาไต่ตัวเราก็ยิ่งทำให้อยากจะกำจัดมันออกไปให้ไวที่สุด ดังนั้นแล้ววิธีที่เราได้แนะนำมาสำหรับการไล่มด สามารถใช้ได้ผล 100% และเราก็ได้ทดลองเรียบร้อยแล้ว หากเพื่อนๆ มีวิธีอื่นๆ เพิ่มเติมสามารถบอกกับเราได้ในเพจ Facebook ของบ้านเพื่อนการช่างได้เลย


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

5 วิธีสร้างบ้านแบบประหยัดพลังงาน

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

การประหยัดพลังงานให้กับบ้านเป็นสิ่งที่หลายคนอยากจะทำเป็นอย่างมาก เพราะมันช่วยทั้งเรื่องการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของบ้านเรา นอกจากนี้ยังทำให้บ้านของเรามีอากาศที่เย็นสบายและสดชื่นมากๆ อีกด้วย และหากเราเริ่มทำตั้งแต่ตอนสร้างบ้านเลยมันก็จะทำให้ส่งผลต่อเราในระยะยาว แต่ใช่ว่าคนที่สร้างบ้านแล้วอยากจะทำบ้านประหยัดพลังงานทีหลังจะทำไม่ได้ เรามาดูกันดีกว่าว่ามันมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้บ้านของเราประหยัดพลังงานได้บ้าง

1. เลือกใช้วัสดุที่สะท้อนหรือป้องกันความร้อน

ฉนวนกันความร้อน

ภาพจาก : The Spruce

สำหรับคนที่กำลังสร้างบ้านก็สามารถเริ่มต้นสร้างบ้านแบบประหยัดพลังงานได้เลย ในการใช้วัสดุสร้างบ้านเราอาจจะต้องเลือกวัสดุที่มีคุณภาพ มีมาตรฐาน และช่วยป้องกัน สะท้อนหรือลดความร้อนภายในบ้านได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ใช้ชนวนกันความร้อนบริเวณใต้หลังคาบ้าน หรือเลือกกระเบื้องหลังคาบ้านที่สามารถสะท้อนความร้อนหรือป้องกันความร้อนได้ เป็นต้น ซึ่งการทำเช่นนี้ก็จะทำให้บ้านของเราเย็นมากขึ้น เมื่อบ้านเราเย็นการใช้พลังงานในบ้านก็น้อยลง รวมถึงพวกเครื่องปรับอากาศที่เราเปิดเป็นประจำในบ้านก็จะได้ไม่ทำงานหนักด้วย

2. จัดบ้านให้ถูกทิศถูกทาง

บ้านหันไปทิศไหนดี

สำหรับบ้านที่กำลังมีแผนว่าจะสร้างหรือบ้านที่ต้องการรีโนเวทบ้าน การเลือกทิศทางของห้องก็มีความสำคัญอย่างมาก เพราะมันจะส่งผลต่อการอยู่อาศัยของเรามากๆ ถ้าหากว่าเราหันทิศผิดเมื่อไหร่ก็จะกลายเป็นว่าเราต้องเผชิญกับแสงแดดแบบเต็มๆ ซึ่งคุณเองก็คงไม่อยากอยู่ในห้องที่อบไปด้วยแดดของประเทศไทยอย่างแน่นอน มาดูรายละเอียดกันดีกว่าว่าทิศไหนจะเป็นอย่างไรบ้าง

  • ทิศเหนือ เป็นทิศที่จะได้รับแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้าและเป็นทิศที่โดนแดดน้อยมากทำให้ตัวห้องไม่ได้มีความร้อนสะสมมากนัก เหมาะกับห้องที่ต้องใช้เป็นประจำเช่น ห้องนอน ห้องทำงาน หรือห้องที่ไม่ต้องการแสงแดด
  • ทิศใต้ เป็นทิศที่มีลมพัดผ่านตลอดทั้งปี และเป็นทิศที่ช่วยทำให้อากาศในบ้านถ่ายเทได้ดีอีกด้วย นอกจากนี้ทิศใต้ก็ยังเป็นทิศที่มีแสงแดดส่องถึงและอาจจะสร้างความร้อนได้ ในช่วงที่ร้อนที่สุดเราอาจจะจำเป็นต้องติดพวกฟิล์มกรองแสงผ้าม่านกันความร้อนสักหน่อย แต่ถ้าหากใครต้องการห้องที่มีแสงสว่างเพียงพอกับการใช้งาน ทิศใต้ก็เป็นอีกหนึ่งทิศที่มีความน่าสนใจไม่น้อย
  • ทิศตะวันออก ทิศนี้เป็นทิศที่ร้อนเพราะเป็นทิศที่พระอาทิตย์ขึ้น สำหรับทิศนี้ห้องที่ใช้งานเป็นประจำต่อเนื่องเป็นเวลานานควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าต้องการแสงสว่างก็อาจจะตั้งอยู่ในโซนนี้ได้เช่นกัน แต่ว่าต้องติดพวกฟิล์มกรองแสงเพิ่มเติม
  • ทิศตะวันตก ทิศนี้จะร้อนมากในช่วงบ่ายเพราะปกติพระอาทิตย์จะขึ้นในตอนเช้าทิศตะวันออก แล้วพระอาทิตย์ตกในทิศตะวันตก ทำให้ตอนกลางวันจะโดนแดดเต็มๆ และทำให้ห้องร้อนมาก สำหรับโซนที่ควรอยู่ในทิศนี้เช่น โซนซักผ้า โซนครัว ห้องน้ำ เป็นต้น เพราะแสงแดดจะช่วยกำจัดเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี โซนไหนที่มีความชื้นก็เหมาะเลย

3. ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์

ติดตั้งโซลาร์เซลล์

ปัจจุบันแผงโซลาร์เซลล์ก็ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับคนที่มีบ้านเป็นของตัวเอง เพราะแผงโซลาร์เซลล์จะทำหน้าที่ในการกักเก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์และสามารถนำมาใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านได้ ทำให้เราไม่จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าแบบเต็มจำนวนและช่วยให้เราประหยัดไฟในบ้านได้เป็นอย่างดี

4. ปรับเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้า

เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน

สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นเก่าๆ คุณจะสังเกตได้เลยว่ามันกินไฟมากๆ ด้วยเทคโนโลยีสมัยนั้นยังไม่ได้พัฒนามากมายเท่าไหร่ทำให้การประหยัดพลังงานของมันยังทำได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นให้คุณลองตรวจสอบดูว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าอันไหนเก่ามากก็ควรที่จะเปลี่ยนเพื่อให้ประหยัดพลังงาน ส่วนอันไหนถ้าไม่จำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็อาจจะถอดปลั้กไปเลยก็ได้

5. เปิดบ้านเพื่อรับลมบ้าง

เปิดบ้านรับลม

สำหรับบ้านไหนที่ไม่ค่อยได้เปิดบ้านเลยอาจจะทำให้ความร้อนสะสมภายในบ้านและกลายเป็นว่าพวกพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศจะทำงานหนักมากขึ้นเพื่อให้ห้องของเรามีอุณหภูมิเย็น ดังนั้นหากเป็นไปได้คุณอาจจะเปิดหน้าต่างในห้องที่ไม่ได้ใช้เพื่อให้ลมได้เข้าบ้านบ้างมันช่วยให้บ้านของเราเย็นมากขึ้น และพวกอุปกรณ์ทำความเย็นให้กับบ้านของเราจะได้ไม่ทำงานหนักจนเกินไปด้วยเช่นกัน

6. อย่าเปิดปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าบ่อยเกินไป

ประหยัดพลังงาน

ส่วนมากแล้วพวกอุปกรณ์ไฟฟ้าเมื่อเราทำการเปิดแล้วมันจะต้องเริ่มกระบวนการทำงานของมันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งระหว่างที่เกิดกระบวนการนี้เองมันจะต้องทำงานอย่างหนักและใช้ไฟฟ้าเยอะขึ้น ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างเครื่องปรับอากาศหากเราเปิดตอนอุณหภูมิห้องสูง เครื่องปรับอากาศจะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อปรับอุณหภูมิในห้องของเราให้เหมาะสมและเย็นมากขึ้น

ระหว่างนั้นเองมันก็จะต้องทำงานหนัก และยิ่งหากเราเปิด – ปิด บ่อยครั้งค่าไฟก็แทบจะพุ่งปรี๊ดกันเลย ดังนั้นแล้วหากไม่จำเป็นเราก็ไม่ควรเปิด – ปิด เครื่องใช้ไฟฟ้าบ่อยจนเกินไป หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่างก็สามารถใช้จำนวนเข้ามาช่วยในการประหยัดค่าไฟได้ เช่น เครื่องซักผ้าหรือเตารีด หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ควรรวมทีเดียวแล้วจัดการพร้อมกัน เพราะหากคุณมานั่งรีดนั่งซักทีละ 3 – 4 ตัวกลายเป็นว่าเราต้องใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้บ่อย และค่าไฟก็จะแพงด้วย

7. เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับบ้าน

สวนในบ้าน

ความสำคัญของต้นไม้เราก็น่าจะไม่ต้องอธิบายให้เพื่อนๆ ทราบอยู่แล้วถึงประโยชน์ของมัน มันช่วยทั้งความร่มรื่น บ้านน่าอยู่มีความสวยงาม นอกจากนี้การปลูกต้นไม้ในบ้านแล้วยังทำให้บ้านของเรามีอุณหภูมิที่เย็นลง และบางคนหากมีพื้นที่จำกัดหรือมีความเชื่อสายมูก็อาจจะหาพวกต้นไม้มงคลมาปลูกในบ้านด้วย นอกจากนี้พวกต้นไม้ยังช่วยลดผลกระทบจากแสงแดดต่อตัวบ้านของเราด้วย ทำให้บ้านของเรานั้นเย็นมากขึ้น รวมถึงแดดก็ส่งผลกระทบต่อตัวบ้านน้อยทำให้เกิดความเสียหายน้อยอีกด้วย

สรุป

ปัจจุบันบ้านแนว ECO House หรือพวกแนวคิดประหยัดพลังงานในบ้านก็กำลังได้รับความนิยมอย่างมากทั้งสำหรับคนที่อยู่ในบ้านเดี่ยวหรือคอนโด เพราะด้วยค่าไฟที่แพงมากขึ้นทำให้หลายคนรู้สึกอยากประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เพื่อไปทำอย่างอื่น และการที่เราทำให้บ้านของเราประหยัดพลังงานได้ก็เป็นผลดีระยะยาวในด้านค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงาน นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อธรรมชาติลดลงได้ด้วย


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

7 วิธีดูแลสระว่ายน้ำในบ้านให้สระอาด ปลอดภัย เหมือนใหม่ได้ทุกวัน

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

บ้านไหนที่มีสระว่ายน้ำในบ้านก็จำเป็นจะต้องมีการบำรุงดูแลความสะอาดของสระว่ายน้ำอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้กลายเป็นแหล่งบ่มเพาะเชื้อโรค และทำให้เราสามารถใช้งานได้โดยที่ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพของเรา แอดเชื่อว่าหลายคนไม่อยากให้สระว่ายน้ำของเราสกปรกอย่างแน่นอน ในบทความนี้เราขอแนะนำวิธีการดูแลสระว่ายน้ำในบ้านให้สะอาด พร้อมใช้งานตลอดเวลาแบบง่ายๆ ทำเองได้

1. ช้อนสิ่งสกปรกออกจากสระ

ช้อนเศษใบไม้ออกจากสระว่ายน้ำ

ควรช้อนเศษใบไม้และสิ่งสกปรกออกทุกสัปดาห์ ภาพจาก Pool Trooper

ด้วยความที่สระว่ายน้ำในบ้านส่วนมากจะเป็นแบบกลางแจ้ง ดังนั้นพวกเศษใบไม้หรือเศษสิ่งสกปรกต่างๆ ก็อาจจะปลิวลงมาตกไปในสระว่ายน้ำของเราได้ สิ่งที่เราต้องมีเลยก็คือ “สวิงหรือกระชอน” ไว้สำหรับช้อนสิ่งสกปรกออกจากสระของเราเพื่อให้สระว่ายน้ำของเราสะอาดน่ามองมากขึ้น แนะนำเพิ่มเติมว่าหาสวิงหรือกระชอนยาวสักหน่อยเพื่อความสะดวกในการใช้งานของคุณ

2. ใช้แปรงขัดสระว่ายน้ำ

สระว่ายน้ำที่ต้องมีน้ำอยู่ในสระตลอดเวลา การเกิดคราบสกปรกหรือคราบตระไคร่น้ำก็สามารถเกิดขึ้นได้ สิ่งที่เราต้องทำเลยก็คือต้องขัดสระว่ายน้ำที่มักจะติดอยู่บริเวณพื้นของสระว่ายน้ำ หลักๆ แปรงขัดสระจะมีให้เลือกอยู่ 2 ประเภทคือ

  • แปรงขัดสระแบบพลาสติก แปรงชนิดนี้จะมีความอ่อนนุ่ม น้ำหนักเบา เหมาะกับการใช้งานกับสระว่ายน้ำในบ้านที่มีพื้นผิวสระว่ายน้ำบอบบางเกิดริ้วรอยง่าย เพราะแปรงชนิดนี้จะสร้างริ้วรอยต่างๆ ได้น้อยกว่าแปรงขัดสระว่ายน้ำสแตนเลส
  • แปรงขัดสระว่ายน้ำสแตนเลส แปรงชนิดนี้จะมีขนแปรงที่แข็งกว่าพลาสติก ทำความสะอาดคราบฝังลึกได้ดีกว่า มีความทนทาน แต่ว่าต้องระวังเรื่องตัวรอยที่แปรงอาจจะสร้างให้กับสระว่ายน้ำของเราได้

3. เครื่องดูดสิ่งสกปรกสระว่ายน้ำ

เครื่องดูดใต้น้ำ

ภาพจาก The Fibreglass Pool Company    

สำหรับเครื่องนี้จะทำหน้าที่คล้ายกับเครื่องดูดฝุ่นในบ้าน แต่ใช้สำหรับสระว่ายน้ำโดยเฉพาะ บางครั้งสระว่ายน้ำของเราอาจจะมีพวกตะกอนหรือสิ่งสกปรกนอนก้นสระว่ายน้ำอยู่ การใช้ที่ดูดก็จะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกเหล่านั้นออกไปได้ง่ายมากขึ้นโดยที่เราไม่ต้องเปลี่ยนน้ำสระว่ายน้ำเลย ปัจจุบันก็มีให้เลือกหลายหลายแบรนด์และเหมาะกับการใช้งานแตกต่างกันไป อันนี้เพื่อนๆ อาจจะต้องศึกษาข้อมูลว่าแบรนด์ไหนแบบไหนที่เหมาะสมกับการใช้งานของเรา

4. ทำความสะอาดเครื่องกรองน้ำ

ฟิลเตอร์กรองสระว่ายน้ำ

ฟิลเตอร์กรองน้ำทำความสะอาดอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปีครั้ง ภาพจาก Emerald Pool & Spa   

ทุกสระว่ายน้ำในบ้านก็ย่อมจะต้องมีระบบการกรองน้ำติดตั้งไว้อยู่แล้ว ซึ่งมันจะคอยดูดสิ่งสกปรก รวมถึงเศษใบไม้ต่างๆ ออกไปจากสระให้เราและไปอยู่ในจุดเครื่องกรอง ดังนั้นแล้วเราควรที่จะไปเช็คดูเครื่องกรองน้ำของสระว่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอ คอยจัดการเอาสิ่งสกปรกที่เครื่องกรองออกมาได้นำไปทิ้ง และเพื่อเป็นการป้องกันสิ่งอุดตันและทำให้การใช้งานของมันไม่มีประสิทธิภาพด้วย

5. ทดสอบคุณภาพของน้ำสม่ำเสมอ

ทดสอบคุณภาพสระว่ายน้ำ

ทดสอบสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัย ภาพจาก New Wave Pools

การทดสอบคุณภาพของสระว่ายน้ำเป็นส่วนสำคัญ เพราะจะสามารถบอกได้ว่าสระว่ายน้ำของเรามีความปลอดภัยและมีคุณภาพที่เหมาะสมกับการใช้งานหรือไม่ หลักๆ แล้วจะใช้อุปกรณ์พวกกลุ่มทดสอบคุณภาพน้ำเพื่อวัดความเป็นกรด – ด่างของสระว่ายน้ำในบ้านเรา สำหรับค่าแนะนำสระว่ายน้ำในบ้านคือ “ค่า pH ควรอยู่ที่ 7.2 – 7.8” ค่านี้มีความสำคัญต่อน้ำมากๆ ถ้ามันอยู่ในช่วงที่เราแนะนำนั่นก็หมายความว่าสระว่ายน้ำของเรามีค่าน้ำที่สมดุล สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย

หากวัดค่าได้ต่ำกว่ามาตรฐาน น้ำจะมีค่าเป็นกรด ส่งผลให้ผิวหนังของเราเกิดการระคายเคืองได้ นอกจากนี้เมื่อมันเป็นกรดจะทำให้น้ำนั้นกัดกร่อนสระว่ายน้ำทำให้เกิดความเสียหายกับสระว่ายน้ำได้อีกด้วย

หากวัดค่าได้สูงกว่ามาตรฐาน น้ำจะมีค่าเป็นด่าง เราจะรู้สึกได้ทันทีว่าผิวหนังของเราจะดูลื่นแปลกๆ ตาแดง พอขึ้นมาก็จะรู้สึกว่าผิวเราแห้ง แถมค่าน้ำที่สูงเกินไปจะทำให้การขจัดเชื้อโรคไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้น้ำเขียวได้ง่ายและน้ำขุ่นด้วย

6. ใช้เคมีภัณฑ์ที่สำหรับดูแลสระว่ายน้ำเฉพาะ

เคมีภัณฑ์สระว่ายน้ำ

เคมีภัณฑ์ก็มีส่วนสำคัญต่อคุณภาพของน้ำ ภาพจาก AQUA Magazine

สำหรับเคมีภัณฑ์ที่ใช้ดูแลสระว่ายน้ำก็จะมีให้เลือกหลายอย่างมาก ทั้งมีสำหรับการกำจัดเชื้อโรคในสระว่ายน้ำโดยเฉพาะ การป้องกันไม่ให้น้ำในสระเกิดเป็นสีเขียว เคมีภัณฑ์สำหรับปรับสภาพน้ำ ฯลฯ หากเราใช้งานโดยเทลงไปในสระว่ายน้ำระหว่างนั้นควรจะมีการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายเช่น การใส่ถุงมือขณะเทลงสระ การใส่แว่นตาเพื่อปกป้องดวงตา การเก็บรักษาเพราะเคมีภัณฑ์บางตัวอาจจะเป็นวัตถุไวไฟ ซึ่งผลิตภัณฑ์พวกนี้ก็มีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อมากในท้องตลาด อาจจะต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม

7. ขัดขอบสระว่ายน้ำสม่ำเสมอ

ทำความสะอาดขอบสระว่ายน้ำ

สระว่ายน้ำเป็นแหล่งสะสมความสกปรกเช่นกันหากไม่ทำความสะอาด ภาพจาก  LinkedIn

หลายคนอาจจะไม่ได้คิดถึงในจุดที่เป็นขอบสระว่ายน้ำ ซึ่งขอบสระว่ายน้ำเนี่ยเป็นเหมือนจุดรวมกันของพวกฝุ่นและเศษใบไม้ รวมถึงหากเราไม่ได้มีการขัดขอบสระก็จะทำให้เกิดพวกคราบตระไคร่น้ำได้ด้วยเหมือนกัน นอกจากนี้หากไม่ได้ทำความสะอาดเป็นเวลานานมากๆ ก็อาจจะทำให้เกิดพวกเชื้อราที่เป็นจุดดำๆ หรือคราบดำๆ ได้ด้วยเหมือนกัน

สรุป

การดูแลสระว่ายน้ำนั้นเราเองก็สามารถทำได้และต้องมีการทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้สระว่ายน้ำของเราสกปรกและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเราหากเราใช้งาน แต่ถ้าหากคุณมีความรู้สึกว่าสระว่ายน้ำของคุณสกปรกเกินไปและไม่สามารถทำได้เอง อาจจะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยทำความสะอาดสระว่ายน้ำของเรา แน่นอนว่าการที่คุณทำความสะอาดเองเบื้องต้นก็ช่วยให้สระน้ำของเรามีความปลอดภัย สะอาด น่าใช้งานได้เป็นเวลายาวนานแล้ว


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

บ้านเกิดปัญหาน้ำซึม น้ำรั่ว ทำอย่างไรดี ?

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ไม่ว่าจะบ้านใหม่หรือบ้านเก่าก็อาจจะเจอปัญหากับน้ำซึมในห้องน้ำ หลังคารั่ว น้ำซึมตรงกำแพงได้เหมือนกัน โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนที่บ้านมักจะเจอปัญหาเหล่านี้ มันทำให้บ้านเราทั้งสกปรกรวมถึงหากเจอปัญหาเป็นระยะเวลานานตัวน้ำเองก็สามารถแทรกซึมผ่านรอยร้าวกัดกร่อนโครงสร้างบ้านจนเกิดผลกระทบกับโครงสร้างหลักได้เหมือนกัน เรามาดูกันดีกว่าว่าถ้าพบปัญหาแบบนี้แล้วเราจะแก้อย่างไรบ้าง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าบ้านเรามีจุดน้ำซึมอยู่

วิธีสังเกตบ้านมีรอยรั่วซึม

การสังเกตบ้านที่มีรอยรั่วซึมนั้นอาจจะทำได้ยากสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนหลังคาว่าหลังคามีการรั่วซึมหรือไม่ เพื่อที่เวลาถึงหน้าฝนแล้วจะได้ไม่เกิดปัญหาขึ้น นอกจากในด้านของหลังคาบ้านที่มักจะเกิดปัญหารั่วซึมได้แล้วนั้น ผนังของบ้าน ท่อน้ำ ก็ยังเกิดการรั่วซึมได้ด้วยเช่นกัน และนี่ก็จะเป็น 4 วิธีเช็คว่าบ้านของคุณมีจุดรั่วซึมหรือไม่ ?

1. สังเกตจากปั้มน้ำ

บ้านส่วนมากย่อมมีการติดตั้งปั้มน้ำไว้อยู่แล้ว เราสามารถสังเกตได้ไม่ยากเลยคือหากเรามีการใช้งานน้ำภายในบ้านมักจะมีเสียงปั้มน้ำดังอยู่ตลอดเวลา ทดสอบง่ายๆ ด้วยการที่เราปิดก๊อกทุกอย่างดูแล้วลองฟังเสียงว่าตัวปั้มน้ำยังทำงานหรือไม่ ถ้าเกิดว่ายังมีเสียงปั้มน้ำทำงานอยู่ก็อาจจะสันนิษฐานได้เลยว่าบางจุดอาจจะเกิดการรั่วซึมขึ้นให้เราลองหาดูว่ามันรั่วจากตรงไหน

2. สังเกตจากค่าน้ำและมิเตอร์น้ำ

หากเราจำได้ว่าค่าน้ำต่อเดือนของเราอยู่ที่เท่าไหร่มันก็จะพอบอกได้ว่าบ้านของเราเกิดการรั่วซึมของน้ำหรือไม่ เพราะถ้าหากว่าบ้านของเราเกิดการรั่วซึม แน่นอนว่าปัญหาที่ตามมาค่าน้ำมันจะแพงกว่าปกติที่เราใช้ตามปกติ ซึ่งส่วนนี้เราต้องเป็นคนสังเกตเอง นอกจากนี้ในฝั่งของมิเตอร์น้ำก็บอกได้เช่นกันว่าบ้านของเรามีจุดที่น้ำรั่วซึมหรือไม่โดยการปิดน้ำในบ้านทั้งหมด แล้วถ้าหากว่ามิเตอร์มันยังหมุนอยู่ก็แสดงว่าบ้านเราน่าจะมีน้ำรั่วซึมแล้ว ซึ่งอาจจะมาจากท่อน้ำบ้านเราที่อยู่ใต้ดินแตกก็ได้เช่นกัน

3. มีรอยคราบเหมือนน้ำอยู่บริเวณบ้าน

ในบริเวณที่น้ำรั่วไม่ว่าจะเป็นการรั่วจากห้องน้ำบริเวณชั้นสอง น้ำรั่วจากหลังคา น้ำรั่วซึมในกำแพง มันก็มักจะทิ้งคราบของน้ำ ร่องรอยของความเปียกชื้นไว้อยู่เสมอ จริงๆ เรื่องนี้มันก็สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุทั้งจากรอยร้าวของบ้าน หากบ้านของคุณหลังคามีรอยร้าวแล้วเกิดฝนตก น้ำฝนอาจจะรั่วลงมาจากหลังคาแล้วซึมเข้าสู่บริเวณรอยแตกของบ้านได้เช่นกัน นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมีเรื่องของระบบปะปาที่อาจจะมีปัญหาพวกท่อแตกทำให้เกิดน้ำซึมได้ ดังนั้นหากเกิดปัญหาขึ้นคุณอาจจะต้องมีการปิดระบบน้ำหากไม่จำเป็นหรือไม่ได้ใช้งาน และเรียกช่างเข้ามาดูแลแก้ไขให้เร็วที่สุด

4. เกิดเชื้อราเป็นดำๆ ที่กำแพง หรือมีคราบเขียวๆ

อันนี้สังเกตได้ง่ายและชัดเจนที่สุด บางครั้งบ้านของคุณอาจจะไม่ได้มีรอยร้าวและดูเหมือนว่าน้ำน่าจะซึมหรือรั่วไม่ได้ ในส่วนนี้ปัญหาหลักๆ เกิดได้จาก 2 สาเหตุคืออันดับแรกตรงจุดนั้นอาจจะโดนน้ำเป็นประจำแล้วทำให้บ้านเกิดเชื้อราหรือเกิดคราบตระไคร้บริเวณพนังได้ โดยเฉพาะบ้านที่ไม่ได้ทากันซึม กับอีกอย่างคืออาจจะมีท่อแตกภายในกำแพงและน้ำมันซึมอยู่ ทำให้เมื่อผ่านไปสักระยะเวลาหนึ่งพวกเชื้อราหรือคราบตะไคร้ก็จะเกาะอยู่บนกำแพง หากเกิดแบบนี้แล้วและเราไม่สามารถแก้ไขเองได้ แนะนำว่าให้เรียกช่างเข้ามาซ่อมโดยด่วน เพราะไม่อย่างงั้นแล้วจะเกิดผลกระทบต่อบ้านอย่างรุนแรงเลย

5. บ้านมีกลิ่นชื้นรุนแรงมาก

กลิ่นชื้นนั้นสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุทั้งจากห้องน้ำมีอากาศไม่ถ่ายเททำให้มันมีความชื้นสูงและเกิดกลิ่นชื้นตามมาได้ รวมถึงในห้องที่การระบายอากาศไม่ดีนักก็ทำให้เกิดความชื้นได้เหมือนกัน ยิ่งบ้านไหนที่เปิดเครื่องปรับอากาศแล้วห้องนั้นถ่ายเทอากาศไม่ดี คุณจะสังเกตได้เลยว่าเวลาปิดแอร์ปุ๊บความเย็นเริ่มคลายตัวทำให้บางจุดของบ้านเกิดคราบน้ำ และถ้าหากไม่มีการถ่ายเทอากาศอย่างเหมาะสมก็จะทำให้เกิดความชื้นได้เช่นกัน

แต่ถ้าสมมติว่าเราทำทุกวิธีในการกำจัดต้นตอที่น่าจะเป็นสาเหตุของความชื้นแล้ว แต่ว่ากลิ่นของมันยังอยู่ให้เราลองหาจุดที่เรารู้สึกว่าตรงจุดนั้นกลิ่นแรงที่สุดดู หากพบว่ามันเป็นพนังหรืออยู่บนเพดาน วิธีง่ายๆ คือลองจับดูว่าจุดนั้นมันอ่อนนุ่มผิดปกติหรือไม่ หรือมันมีการนูนที่แปลกไปจากจุดอื่นหรือเปล่า แต่จริงๆ เพียงจับเราก็จะรู้ถึงความแตกต่างแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นก็สันนิษฐานได้เลยว่ามันน่าจะเกิดน้ำรั่วซึมในจุดนั้นแล้ว

จุดยอดนิยมที่มักจะเกิดน้ำรั่วเข้าบ้าน

บ้านที่มีน้ำรั่วซึมเข้าบ้านก็สร้างความกังวลใจและความหนักใจให้กับเจ้าของบ้านไม่น้อย และนับว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่สามารถแก้ไขได้ยากอย่างมาก สำหรับจุดรั่วเล็กๆ อาจจะไม่เท่าไหร่เราสามารถหาวัสดุและทำการอุดรูรั่วนั้นเองได้ แต่ถ้ามันใหญ่มากอาจจะต้องมีการทุบบางส่วนเพื่อทำการซ่อมแซมบ้านและอุดรูรั่วนั้น แล้วจุดไหนบ้างที่มักจะเกิดรอยรั่วเป็นประจำ

1. หลังคา

หลังคาเป็นอีกหนึ่งจุดที่มีความสำคัญกับตัวบ้านมาก เพราะมันช่วยทั้งปกป้องบ้านของเราให้พ้นจากแสงแดด ไม่โดนฝน แต่หากมีอะไรตกใส่หลังคาแรงมากๆ หรือหลังคาของเราผ่านลมฝนแดดมาเป็นระยะเวลานานก็ทำให้มีการผุพังได้เหมือนกัน ดังนั้นเป็นจุดแรกของหลายๆ บ้านเลยที่มักจะเกิดปัญหาหลังคารั่ว น้ำรั่วมาจากหลังคา วิธีการเช็คง่ายๆ หากเราอยากรู้โดยที่ไม่ต้องรอให้ถถึงหน้าฝนก็คือ “การฉีดน้ำขึ้นไปบนหลังคาบ้าน” การฉีดน้ำขึ้นไปบนหลังคาบ้านเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วให้อีกคนคอยสังเกตดูว่าในบ้านหรือจุดไหนมีอาการรั่วซึมหรือน้ำตกลงมาเป็นสายหรือไม่ หากไม่มีก็อุ่นใจได้ แต่ถ้ามีแล้วล่ะก็ต้องรีบแก้ไขทันที

2. ผนังของบ้าน

ในส่วนของผนังบ้านที่เกิดน้ำรั่วซึมนั้นก็เกิดจากการที่บ้านไม่ได้ทากันชื้นได้เหมือนกัน หากบ้านไหนไม่ได้ทากันชื้นให้กับกำแพงบ้านแล้วล่ะก็ เวลาตัวกำแพงบ้านเจอน้ำหรืออยู่ในช่วงหน้าฝนแล้วต้องเจอน้ำบ่อยๆ มันก็จะทำให้เกิดพวกเชื้อราและความชื้นขึ้นได้จนสร้างความเสียหายให้กับผนัง

อีกอย่างคือบ้านของเราเกิดรอยร้าวขึ้นทำให้น้ำซึมผ่านรอยร้าวนั้นเข้ามาก็ทำให้น้ำซึมได้เหมือนกัน หากมันเป็นรอยเล็กๆ การอุดเองก็ไม่ใช่ปัญหาและควรรีบทำทันที แต่ถ้าหากรอยใหญ่จนคิดว่าเราไม่สามารถทำเองได้แนะนำว่าควรเรียกช่างหรือผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูดีกว่า

3. ห้องน้ำชั้นบน

ในส่วนของห้องน้ำที่อยู่ชั้นล่างสุดมันไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องน้ำรั่วซึมเท่าไหร่ ส่วนมากแล้วมักจะเกิดจากห้องน้ำชั้น 2 ที่มักจะเจอปัญหาการรั่วซึมได้มากกว่า โดยสังเกตง่ายๆ คือบริเวณฝ้าเพดานจะมีรอยเหมือนคราบน้ำเกาะบริเวณเพดาน ทำให้น้ำมันซึมออกมาและสร้างความเสียหายให้กับเพดานได้เหมือนกัน

4. น้ำซึมจากพื้นของบ้าน

น้ำซึมจากพื้นของบ้านนั้นสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากการที่ท่อประปาแตก หากพื้นบ้านของเราร้าวก็จะทำให้น้ำซึมเข้าบ้านได้ หรืออีกสาเหตุคือใต้ดินของบ้านเรามีความชื้นสูงทำให้มันเกิดการซึมผ่านพื้นบ้านของเราก็ได้เช่นกัน สำหรับการแก้ไขเรื่องน้ำซึมบริเวณพื้นบ้านนั้นเป็นสิ่งที่เหมือนจะแก้ง่ายแต่ความจริงก็ไม่ง่ายขนาดนั้น หากพบว่าน้ำซึมจากพื้นบ้านแนะนำว่าให้รีบเรียกช่างเข้ามาตรวจสอบและทำการแก้ไขให้เร็วที่สุด หากปล่อยไว้นานจะทำให้โครงสร้างบริเวณพื้นบ้านของเรามีปัญหาและอาจจะเกิดบ้านทรุดตัวได้

สรุป

สำหรับปัญหาน้ำซึมในบ้านของเราก็นับได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่และจำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วที่สุด เพราะบางครั้งเราอาจจะไม่ได้สังเกตว่าน้ำรั่วน้ำซึมมาเป็นระยะเวลานานแค่ไหน ยิ่งเราปล่อยไว้นานมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะสร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างบ้านของเราก็มีมากขึ้นเท่านั้น หากคุณไม่ทราบว่าตรงจุดไหนที่มีรอยรั่วกันแน่ก็สามารถเรียกช่างเข้ามาช่วยตรวจสอบและทำการแก้ไขให้กับคุณได้เช่นกัน


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย