อยากมีสระว่ายน้ำในบ้านต้องทำอย่างไร ต้องรู้อะไรบ้าง ?

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

นอกจากการมีบ้านที่สวยงาม มีสวนส่วนตัวบริเวณรอบบ้านเพื่อเพิ่มความร่มรื่นและความสวยงามให้กับตัวบ้าน อีกสิ่งที่เป็นที่ต้องการของคนมีบ้านเลยก็คือ “สระว่ายน้ำ” ซึ่งสระว่ายน้ำก็จะมีส่วนช่วยเพิ่มบรรยากาศภายในบ้านของเราให้มีความร่มรื่นและสวยงาม นอกจากนี้บางคนอาจจะไว้ใช้สำหรับการพักผ่อนจากวันอันแสนเหนื่อยล้า หรือไว้ใช้สำหรับออกกำลังกาย ทำกิจกรรมร่วมกันภายในครอบครัว ก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ว่ามีสระว่ายน้ำในบ้านไว้เพื่ออะไร แต่ถ้าหากว่าเราอยากมีสระว่ายน้ำในบ้านแล้วหรือกำลังเลือกซื้อบ้านที่มีสระว่ายน้ำควรรู้เรื่องเหล่านี้ก่อน

ก่อนจ้างผู้รับเหมาก่อสร้าง ต้องรู้อะไรบ้าง
  • สัญญาการรับเหมาก่อสร้าง

สระว่ายน้ำในบ้านมีกี่ประเภท

สระว่ายน้ำจริงๆ ก็มีหลากหลายรูปแบบให้เราเลือก แต่เราจะเอาเฉพาะตัวหลักๆ ที่ยอดนิยมสร้างในบ้านกัน

1. สระว่ายน้ำแบบคอนกรีต

สระว่ายน้ำแบบคอนกรีตตัวโครงสร้างจะเสริมด้วยเหล็กและฉาบด้วยคอนกรีตทั้งหมด มีความแข็งแรงทนทานสูง สามารถออกแบบได้ตามความต้องการของผู้สร้าง และยังเป็นประเภทที่นิยมที่สุดและพบเจอได้มากสำหรับคนที่มีบ้านและสระว่ายน้ำในตัวด้วย นอกจากนี้สระว่ายน้ำแบบคอนกรีตจะสามารถติดตั้งระบบอื่นเสริมเพิ่มเติมได้เช่น ระบบความร้อนของน้ำ ระบบไฟส่องสว่าง ระบบสปาสำหรับสระน้ำ เป็นต้น

2. สระว่ายน้ำสำเร็จรูป

เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการมีสระว่ายน้ำส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการความรวดเร็วในการติดตั้งและใช้งาน โดยทั่วไปแล้วสระว่ายน้ำสำเร็จรูปจะผลิตจากวัสดุที่แข็งแรงทนทาน เช่น ไฟเบอร์กลาส หรือ โพลีเอสเตอร์ ซึ่งมีน้ำหนักเบา และติดตั้งง่ายกว่าสระว่ายน้ำคอนกรีต แต่หากไม่ได้มีการตรวจสอบพื้นที่ในการติดตั้งสระว่ายน้ำก่อนก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาความไม่พอดีก็ได้ นอกจากนี้อาจจะมีความเสี่ยงในเรื่องของวัสดุเหมือนกันหากเราไม่ตรวจสอบให้ดี

ประเภทระบบการทำงานของสระว่ายน้ำ

สระว่ายน้ำไม่ได้เพียงแค่สร้างสระแล้วก็ใส่น้ำลงไปเพียงเท่านั้น แต่ยังต้องมีการติดตั้งระบบการทำงานของสระว่ายน้ำเพื่อให้คุณภาพของสระว่ายน้ำดียิ่งขึ้น น้ำไม่สกปรก สะอาด รวมถึงต้องมีการดูแลสระว่ายน้ำด้วย โดยประเภทระบบการทำงานของสระว่ายน้ำจะแบ่งได้เป็น 2 แบบคือ

1. สระว่ายน้ำระบบ Overflow

หรือที่เรียกกันติดปากว่า สระน้ำล้น นั้นเป็นระบบสระว่ายน้ำที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันสำหรับกลุ่มธุรกิจจำพวกรีสอร์ท บ้านพัก โรงแรม หรือสระว่ายน้ำที่เปิดให้เข้าไปใช้งาน

สำหรับสระว่ายน้ำระบบ Overflow ทำงานโดยการรักษาระดับน้ำในสระให้สูงเสมอ จนน้ำล้นไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านรางน้ำล้นที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ น้ำที่ล้นจะถูกส่งไปยังถังพัก จากนั้นระบบปั๊มจะดูดน้ำกลับเข้าสู่ระบบกรองเพื่อทำความสะอาด ก่อนจะส่งกลับเข้าสู่สระอีกครั้ง

ทำให้ผิวน้ำสะอาดใสและปราศจากสิ่งสกปรก สำหรับระบบนี้จะล้นก็ต่อเมื่อมีผู้ใช้งานสระว่ายน้ำเป็นจำนวนมากพร้อมกัน แน่นอนเมื่อลงเล่นสระว่ายน้ำแล้วปริมาณน้ำก็จะเพิ่มสูงขึ้นจนล้นออกมาบริเวณขอบสระแล้วน้ำก็จะกลับเข้าสู่ระบบหมุนเวียนเพื่อกรองมาใช้งานอีกครั้งหนึ่ง

2. สระว่ายน้ำระบบ Skimmer

สระว่ายน้ำระบบ Skimmer สำหรับการทำงานของระบบนี้จะได้รับความนิยมในกลุ่มของคนที่มีบ้านเป็นของตัวเอง บ้านส่วนตัว ตัวระบบจะมีราคาที่ถูกกว่าแบบ Overflow สามารถดูแลได้ง่ายและการติดตั้งก็ไม่ได้ซับซ้อน ส่วนการทำงานของมันจะเป็นการ “ดูดน้ำ” เข้าสู่ระบบบำบัดโดยตรงไม่ต้องพัก น้ำที่ถูกดูดเข้ามาจะผ่านกระบวนการกรองเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกและเชื้อโรคต่างๆ ก่อนจะถูกส่งกลับเข้าสู่สระอีกครั้งเหมือนเป็นการหมุนเวียนน้ำอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้พวกสิ่งสกปรกหรือเศษใบไม้ก็จะถูกดูดเข้าไปในตัวกรองด้วยเช่นกัน

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนสร้างสระว่ายน้ำ

1. ต้องรู้ก่อนว่าจะสร้างสระว่ายน้ำเพื่ออะไร

การที่เรารู้จุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายในการสร้างสระว่ายน้ำว่าเราสร้างไปเพื่ออะไรนั้นมันก็จะช่วยให้เราพอจะประเมินได้ว่าเราต้องสร้างสระว่ายน้ำขนาดเท่าไหร่กันแน่ หรือหากใครที่กำลังงวางแผนสร้างบ้านทำแบบอยู่ก็สามารถแจ้งกับนักออกแบบบ้านได้เช่นกันว่าต้องการสระว่ายน้ำด้วย

เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของเรา เช่น บางคนต้องการสร้างสระว่ายน้ำเพื่อใช้สำหรับออกกำลังกาย ก็อาจจะต้องสร้างสระขนาด 10 – 14 เมตร มีหน้ากว้าง 2.5 – 3 เมตรโดยประมาณ หรือหากต้องการสร้างสระว่ายน้ำเพื่อว่ายเล่นทั่วไป ขนาดเริ่มต้นที่เล็กที่สุดก็ขนาด 4 x 8 เมตร เป็นต้น

นอกจากนี้สิ่งที่ตามมาในการสร้างสระว่ายน้ำเราก็จะต้องดูเรื่องของตำแหน่งสระว่ายน้ำว่าจะวางไว้ตรงจุดไหนของบ้าน รูปทรงสระว่ายน้ำที่เราต้องการว่าต้องการแบบใด หรือหากคุณมีรูปแบบหรือความต้องการอยู่ในใจแล้วก็สามารถปรึกษากับวิศวกรและนักออกแบบเพื่อให้ช่วยประเมินเรื่องสระว่ายน้ำในบ้านได้ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้นักขายบ้านบางคนอาจจะซื้อบ้านเปล่ามาแล้วมารีโนเวทบ้านสร้างสระว่ายน้ำภายหลังก็มี เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าของตัวบ้านและเพิ่มความน่าสนใจให้กับผู้ซื้อก็ได้ด้วยเหมือนกัน

2. เลือกรูปทรงและพื้นที่ของสระว่ายน้ำ

พื้นที่ภายในบ้านของเราและความต้องการมีผลต่อการเลือกรูปทรงของสระว่ายน้ำ โดยปกติแล้วรูปทรงที่นิยมในการสร้างสระว่ายน้ำจะมีทั้งแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า แบบวงกลม และแบบอิสระ ในด้านของสระว่ายน้ำแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าและแบบวงกลมจะใช้พื้นที่ไม่เยอะเท่าไหร่นัก เหมาะกับบ้านที่มีพื้นที่น้อยแต่ต้องการใช้งานฟังก์ชันอย่างสระว่ายน้ำ

ส่วนสระว่ายน้ำแบบอิสระจะทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกธรรมชาติโอบล้อมและหากเทียบในเรื่องของดีไซน์แล้วจะมีความสวยงามกว่าแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือวงกลมมากกว่า แต่สระว่ายน้ำรูปทรงอิสระนั้นก็มีข้อเสียตรงที่ใช้พื้นที่เยอะและไม่ควรออกแบบให้มีมุมมากจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดปัญหาตอนปูกระเบื้องและด้านความสะอาดของสระว่ายน้ำได้

3. ตำแหน่งของสระว่ายน้ำ

สระว่ายน้ำเราสามารถเลือกจุดที่เหมาะสมและคิดว่าเราชอบได้เลย แต่ถ้าหากไม่รู้ว่าจะวางยังไงเราขอแนะนำว่าหากคุณต้องการทำให้บ้านมีความโดดเด่น มองเข้าไปแล้วมีความสวยงามก็สามารถสร้างสระว่ายน้ำบริเวณหน้าบ้านได้ แต่ถ้าหากไม่ชอบให้คนข้างนอกมองเห็นสระว่ายน้ำโดยตรง ชอบความเป็นส่วนตัวก็สามารถสร้างไว้ที่หลังบ้านได้เช่นกัน

แต่สิ่งสำคัญที่คนที่จะสร้างสระว่ายน้ำเป็นของตัวเองต้องรู้และห้ามพลาดเด็ดขาดคือ ห้ามสร้างสระว่ายน้ำในทิศตะวันตกโดยเด็ดขาด” เนื่องจากว่าทิศตะวันตกนั้นในตอนเที่ยงไปจนถึงบ่ายแดดบ้านเราจะร้อนมาก และแสงของแดดอาจจะตกกระทบกับน้ำทำให้สะท้อนเข้าบ้านสร้างความรำคาญให้กับเราได้ด้วยเหมือนกัน หากคุณไม่ได้ชื่นชอบในการว่ายน้ำท่ามกลางแดดจัดแนะนำว่าห้ามสร้างสระว่ายน้ำในทิศตะวันตกโดยเด็ดขาด

4. เตรียมงบประมาณให้พร้อม

สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องของงบประมาณในการสร้างสระว่ายน้ำ ยิ่งเราต้องการฟังก์ชันของสระว่ายน้ำเยอะเท่าไหร่ ราคาการสร้างก็จะยิ่งแพงมากขึ้นเท่านั้น เพราะไหนจะมีเรื่องวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างสระว่ายน้ำ ระบบการหมุนเวียนน้ำ การวางรากฐานของสระว่ายน้ำอีก ดังนั้นหากคุณต้องการสระว่ายน้ำรูปแบบใดหรือมีอยู่ในใจแล้วมันก็จะช่วยให้เราประเมินงบประมาณได้ง่ายมากขึ้น หรือหากคุณไม่ทราบว่างบประมาณที่คุณมี จะสามารถสร้างสระว่ายน้ำในแบบที่คุณต้องการได้หรือไม่อันนี้ก็สามารถปรึกษากับผู้รับเหมาและนักออกแบบช่วยประเมินราคาได้เช่นกัน พวกเขาย่อมให้คำแนะนำที่ดีกับคุณได้อย่างแน่นอน

สรุป

การสร้างสระว่ายน้ำในบ้านเป็นของตัวเองก็ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศให้กับตัวบ้านได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้บางคนอาจจะทำสระว่ายน้ำในบ้านเพื่อเพิ่มมูลค่าของตัวบ้านเองก็มีเช่นกัน และการมีสระว่ายน้ำในบ้านก็ยังเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์อันดีให้กับคนในบ้านด้วยเช่นกันเพราะมันจะเป็นเหมือนจุดที่ทุกคนในบ้านมักจะมาทำกิจกรรมร่วมกันเสมอ


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

8 ไม้มงคลที่นิยมปลูกไว้ในบ้าน

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ต้นไม้เป็นอีกสิ่งที่ไม่ว่าจะมองไปที่ไหนก็มักจะมีคนปลูกอยู่เสมอ เพราะมันให้ทั้งความสวยงาม ความสบายตา แถมยังช่วยเพิ่มความร่มเย็นให้กับบ้านของเราอีกด้วย แต่ก็มีคนไทยอีกหลายคนที่ไม่ได้ปลูกต้นไม้เพียงเพื่อความร่มเย็นหรือความสวยงามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มองในเรื่องของโชคลาภหรือความเป็นสิริมงคลให้กับตัวบ้านอีกด้วย วันนี้เราได้คัด 8 ต้นไม้ยอดนิยมที่นับว่าเป็นสิริมงคลและนิยมปลูกในบ้าน

1. ต้นไผ่กวนอิม

ต้นไผ่กวนอิม

ไผ่กวนอิม หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า Lucky Bamboo เป็นไม้ประดับยอดนิยมที่หลายคนเลี้ยงไว้ในบ้าน เนื่องจากมีความเชื่อว่าเป็นไม้มงคลที่นำโชคลาภมาให้ และยังดูแลง่ายอีกด้วย

ความเชื่อเกี่ยวกับไผ่กวนอิม

  • เสริมโชคลาภ : เชื่อกันว่าไผ่กวนอิมจะนำโชคลาภและความมั่งคั่งมาให้ผู้ปลูก
  • เสริมความสัมพันธ์ : ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวและมิตรภาพ
  • สุขภาพแข็งแรง : เชื่อว่าช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง

การดูแลไผ่กวนอิม

  • แสง : ชอบแสงแดดรำไร ไม่ควรโดนแดดจัด
  • น้ำ : ควรเปลี่ยนน้ำให้ไผ่กวนอิมทุก 7-10 วัน และทำความสะอาดภาชนะที่ใส่
  • ดิน : หากปลูกในดิน ควรหมั่นรดน้ำและใส่ปุ๋ยบ้าง
  • ตำแหน่งที่วาง : ควรวางในตำแหน่งที่เป็นมุมมองที่ดี เช่น บนโต๊ะทำงาน หรือข้างเตียง

จำนวนลำของต้นไผ่กวนอิมและความหมาย

  • 1 ลำ : ความเป็นหนึ่งเดียว
  • 2 ลำ : ความรัก
  • 3 ลำ : ความสุข ความเจริญ
  • 5 ลำ : ความมั่งคั่ง
  • 6 ลำ : ความราบรื่น
  • 7 ลำ : สุขภาพที่ดี
  • 8 ลำ : ความเจริญก้าวหน้า

ไผ่กวนอิมกับฮวงจุ้ย

การวางไผ่กวนอิมในตำแหน่งที่เหมาะสมตามหลักฮวงจุ้ย เชื่อว่าจะช่วยเสริมพลังงานบวกให้กับบ้านและผู้ที่อาศัยอยู่

2. ต้นเหรียญเงิน

ต้นเหรียญเงิน

ภาพจาก Cape Gazette

เป็นไม้ประดับที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีความเชื่อว่าเป็นไม้มงคลที่นำโชคลาภมาให้ และยังเป็นไม้ที่ดูแลง่ายอีกด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความสดใสให้กับบ้านและเสริมสิริมงคล นอกจากความเป็นสิริมงคลของตัวต้นเหรียญเงินแล้วยังขึ้นชื่อในเรื่องของการที่มันเป็นต้นไม้ฟอกอากาศอีกด้วย

ลักษณะเด่นของต้นเหรียญเงิน

  • ใบ : ใบกลมรีคล้ายเหรียญ มีสีเขียวเข้มมันวาว
  • ลำต้น : ลำต้นสั้นและแตกแขนงออกไป
  • การเจริญเติบโต : เจริญเติบโตได้ดีในที่ร่มและแสงน้อย
  • ความหมาย : เชื่อกันว่าใบที่กลมเหมือนเหรียญจะนำเงินทองมาให้

ความเชื่อเกี่ยวกับต้นเหรียญเงิน

  • เสริมโชคลาภ : เชื่อว่าจะนำโชคลาภและความมั่งคั่งมาให้
  • ค้าขายร่ำรวย : เหมาะสำหรับผู้ที่ทำธุรกิจ เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้ค้าขายร่ำรวย
  • ความเจริญก้าวหน้า : ช่วยเสริมให้มีการงานก้าวหน้า

การดูแลต้นเหรียญเงิน

  • แสง : ชอบแสงรำไร ไม่ควรโดนแดดจัด
  • น้ำ : รดน้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ควรให้ดินชื้นแต่ไม่แฉะ
  • ดิน : ใช้ดินปลูกทั่วไปผสมกับปุ๋ยหมัก
  • ปุ๋ย : ใส่ปุ๋ยละลายช้าเดือนละ 1 ครั้ง

ตำแหน่งที่นิยมในการวางต้นเหรียญเงิน

  • หน้าร้าน : ช่วยเรียกลูกค้าและเสริมโชคลาภให้กับร้านค้า
  • โต๊ะทำงาน : ช่วยเสริมเรื่องการเงินและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
  • มุมรับแขก : ช่วยสร้างบรรยากาศที่สดใสและเป็นมงคล

3. ต้นเงินไหลมา

ต้นเงินไหลมา

ภาพจาก Plantura Magazin

ต้นเงินไหลมา หรืออีกชื่อคือ ชิงโกเนียมเป็นไม้เลื้อยที่มีใบสวยงามและมีความเชื่อว่าเป็นไม้มงคลที่นำโชคลาภมาให้ ชื่อของต้นไม้ชนิดนี้ก็สื่อถึงความมั่งคั่งร่ำรวย ทำให้เป็นที่นิยมปลูกไว้ในบ้านหรือที่ทำงาน

ลักษณะเด่นของต้นเงินไหลมา

  • ใบ : ใบมีรูปทรงคล้ายหัวลูกศร ปลายใบแหลม โคนใบเว้าลึก มีสีเขียวเข้ม บางสายพันธุ์อาจมีใบด่างสีขาวหรือเหลือง
  • ลำต้น : ลำต้นเล็กเรียว เลื้อยได้ไกล
  • ดอก : ออกดอกเป็นช่อสีขาว แต่พบเห็นได้น้อย

ความเชื่อเกี่ยวกับต้นเงินไหลมา

  • เสริมโชคลาภ : เชื่อกันว่าจะนำโชคลาภและความมั่งคั่งมาให้
  • ค้าขายร่ำรวย : เหมาะสำหรับผู้ที่ทำธุรกิจ เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้ค้าขายร่ำรวย
  • ความเจริญก้าวหน้า : ช่วยเสริมให้มีการงานก้าวหน้า

การดูแลต้นเงินไหลมา

  • แสง : ชอบแสงรำไร ไม่ควรโดนแดดจัด
  • น้ำ : รดน้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ควรให้ดินชื้นแต่ไม่แฉะ
  • ดิน : ใช้ดินปลูกทั่วไปผสมกับปุ๋ยหมัก
  • ปุ๋ย : ใส่ปุ๋ยละลายช้าเดือนละ 1 ครั้ง

ตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับวางต้นเงินไหลมา

  • หน้าร้าน : ช่วยเรียกลูกค้าและเสริมโชคลาภให้กับร้านค้า
  • โต๊ะทำงาน : ช่วยเสริมเรื่องการเงินและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
  • มุมรับแขก : ช่วยสร้างบรรยากาศที่สดใสและเป็นมงคล

การขยายพันธุ์ต้นเงินไหลมา

การขยายพันธุ์ต้นเงินไหลมานั้นทำได้ง่าย โดยการปักชำกิ่ง เพียงตัดกิ่งที่มีใบประมาณ 2-3 ใบ แล้วนำไปปักชำในดินชื้นๆ รดน้ำให้พอชุ่ม รอประมาณ 2-3 สัปดาห์ รากก็จะงอกออกมา

4. ต้นโป๊ยเซียน

ต้นโป๊ยเซียน

ภาพจาก ftlon

โป๊ยเซียน เป็นไม้มงคลที่ได้รับความนิยมอย่างมากในบ้านเรา ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามและความเชื่อที่ว่าจะนำโชคลาภมาให้ ทำให้หลายบ้านนิยมปลูกไว้ประดับตกแต่ง

ความเชื่อเกี่ยวกับโป๊ยเซียน

  • เสริมสิริมงคล : เชื่อกันว่าโป๊ยเซียนจะนำโชคลาภและความมั่งคั่งมาให้
  • ความเป็นสิริมงคล : ดอกโป๊ยเซียนที่มีจำนวน 5 ดอกขึ้นไป จะยิ่งเสริมความเป็นสิริมงคล
  • ความแข็งแรง : เนื่องจากโป๊ยเซียนเป็นพืชที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ทำให้เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแรงและอดทน

ลักษณะเด่นของโป๊ยเซียน

  • ดอก : ดอกมีหลายสี เช่น แดง ชมพู เหลือง ส้ม และขาว ดอกมีรูปทรงคล้ายดาว
  • ลำต้น : ลำต้นมีหนามแหลม
  • ใบ : ใบมีลักษณะเรียวยาว

การดูแลโป๊ยเซียน

  • แสง : ชอบแสงแดดจัด
  • น้ำ : รดน้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
  • ดิน : ใช้ดินร่วนซุย
  • ปุ๋ย : ใส่ปุ๋ยละลายช้าเดือนละ 1 ครั้ง

ปัญหาที่พบบ่อยในการเลี้ยงโป๊ยเซียน

  • ใบเหลือง : เกิดจากรดน้ำมากเกินไป หรือขาดแสงแดด
  • ดอกไม่ดก : เกิดจากขาดปุ๋ย หรือได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ
  • หนอนแมลง : อาจมีเพลี้ยหรือไรแดงมาทำลาย

เคล็ดลับในการทำให้โป๊ยเซียนออกดอก

  • ตัดแต่งกิ่ง : ตัดแต่งกิ่งที่แห้งหรือใบเหลืองออกเป็นประจำ
  • เปลี่ยนกระถาง : เปลี่ยนกระถางเมื่อรากแน่น
  • ให้ปุ๋ยสม่ำเสมอ : ช่วยให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดี

5. ต้นพลูด่าง

ต้นพลูด่าง

ภาพจาก The Spruce

ต้นพลูด่าง เป็นไม้ประดับที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามและความเชื่อที่ว่าจะนำโชคลาภมาให้ เพิ่มบารมี สร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้กับคนในบ้าน ทำให้หลายบ้านนิยมนำไปตกแต่งบ้านหรือที่ทำงาน นอกจากนี้คนที่อาศัยอยู่ในคอนโดก็ยังนิยมปลูกด้วยเช่นกันเพราะมันใช้พื้นที่ไม่เยอะ

ลักษณะเด่นของต้นพลูด่าง

  • ใบ : ใบมีลวดลายด่างสวยงาม มีหลายสี เช่น สีเหลือง สีขาว ครีม ปนกับสีเขียวเข้ม
  • ลำต้น : ลำต้นเลื้อยได้
  • ขนาด : มีขนาดตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่

ความเชื่อเกี่ยวกับต้นพลูด่าง

  • เสริมโชคลาภ : เชื่อกันว่าจะนำโชคลาภและความมั่งคั่งมาให้
  • ความเจริญก้าวหน้า : ช่วยเสริมให้มีการงานก้าวหน้า
  • ความสุข : เชื่อว่าจะนำความสุขมาสู่ผู้ปลูก

ประโยชน์ของต้นพลูด่าง

  • ฟอกอากาศ : ช่วยดูดซับสารพิษในอากาศ ทำให้อากาศบริสุทธิ์
  • ลดความเครียด : สีเขียวของใบช่วยผ่อนคลายสายตาและลดความเครียด
  • ดูแลง่าย : สามารถเจริญเติบโตได้ดีในที่แสงน้อย

การดูแลต้นพลูด่าง

  • แสง : ชอบแสงรำไร ไม่ควรโดนแสงแดดจัด
  • น้ำ : รดน้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ควรให้ดินชื้นแต่ไม่แฉะ
  • ดิน : ใช้ดินร่วนซุย
  • ปุ๋ย : ใส่ปุ๋ยละลายช้าเดือนละ 1 ครั้ง

การขยายพันธุ์ต้นพลูด่าง

การขยายพันธุ์ต้นพลูด่างทำได้ง่าย โดยการปักชำกิ่ง เพียงตัดกิ่งที่มีใบประมาณ 2-3 ใบ แล้วนำไปปักชำในน้ำหรือดินชื้นๆ รอประมาณ 2-3 สัปดาห์ รากก็จะงอกออกมา

6. ต้นลิ้นมังกร

ต้นลิ้นมังกร

ภาพจาก Gardening Know How  

ต้นลิ้นมังกร หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า Snake Plant เป็นไม้ประดับที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีความเชื่อว่าเป็นไม้มงคลที่นำโชคลาภมาให้ และยังเป็นไม้ฟอกอากาศที่ดีเยี่ยมอีกด้วย

ลักษณะเด่นของต้นลิ้นมังกร

  • ใบ : ใบเรียวยาวคล้ายหอก มีทั้งชนิดใบสั้นและใบยาว ปลายใบมีทั้งแบบแหลมและมน มีลายด่างสีเหลือง สีขาว หรือสีครีม
  • ลำต้น : ลำต้นสั้นและแข็งแรง
  • ความทนทาน : เป็นพืชที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อม สามารถอยู่ได้ในที่ที่มีแสงน้อยและรดน้ำน้อย

ความเชื่อเกี่ยวกับต้นลิ้นมังกร

  • เสริมสิริมงคล : เชื่อกันว่าจะนำโชคลาภและความมั่งคั่งมาให้
  • ป้องกันสิ่งชั่วร้าย : เชื่อว่าจะช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามาในบ้าน
  • ความแข็งแรง : เนื่องจากลิ้นมังกรเป็นพืชที่ทนทาน ทำให้เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแรงและอดทน

ประโยชน์ของต้นลิ้นมังกร

  • ฟอกอากาศ : ช่วยดูดซับสารพิษในอากาศ เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ และปล่อยออกซิเจนในเวลากลางคืน
  • ลดความเครียด : สีเขียวของใบช่วยผ่อนคลายสายตาและลดความเครียด
  • ดูแลง่าย : สามารถเจริญเติบโตได้ดีในที่แสงน้อย

การดูแลต้นลิ้นมังกร

  • แสง : ชอบแสงรำไร ไม่ควรโดนแสงแดดจัดโดยตรง
  • น้ำ : รดน้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ควรให้ดินชื้นแต่ไม่แฉะ
  • ดิน : ใช้ดินร่วนซุย
  • ปุ๋ย : ใส่ปุ๋ยละลายช้าเดือนละ 1 ครั้ง

ตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับวางต้นลิ้นมังกร

  • ห้องนอน : ช่วยให้หลับสบายและฟื้นฟูร่างกาย
  • ห้องทำงาน : ช่วยเพิ่มสมาธิและความคิดสร้างสรรค์
  • ห้องรับแขก : ช่วยสร้างบรรยากาศที่สดใสและเป็นมงคล

พันธุ์ลิ้นมังกรที่นิยม

  • ลิ้นมังกรขอบเหลือง : มีใบสีเขียวเข้ม ขอบใบเป็นสีเหลือง
  • ลิ้นมังกรฟลายอิ้งเบิร์ด : มีใบเรียวยาว ปลายใบโค้งคล้ายปีกนก
  • ลิ้นมังกรใบกลม : มีใบกลม ปลายใบแหลม

7. ต้นบันไดเศรษฐี

ต้นบันไดเศรษฐี

เป็นไม้มงคลที่ได้รับความนิยมอย่างมากในบ้านเรา ด้วยชื่อที่เป็นมงคลและความเชื่อที่ว่าจะนำโชคลาภมาให้ ทำให้หลายบ้านนิยมปลูกไว้ประดับตกแต่ง

ลักษณะเด่นของต้นบันไดเศรษฐี

  • ลำต้น : ลำต้นเป็นปล้องๆ เรียงซ้อนกันขึ้นไปคล้ายขั้นบันได จึงเป็นที่มาของชื่อ
  • ใบ : ใบเล็กเรียว ออกเรียงสลับกัน
  • ขนาด : ขนาดของต้นไม่ใหญ่มาก เหมาะสำหรับปลูกในกระถาง

ประโยชน์ของต้นบันไดเศรษฐี

  • ฟอกอากาศ : ช่วยดูดซับสารพิษในอากาศ
  • ดูแลง่าย : สามารถเจริญเติบโตได้ดีในที่แสงน้อย
  • เพิ่มความสวยงาม : ให้ความรู้สึกสดชื่นและเป็นธรรมชาติ

การดูแลต้นบันไดเศรษฐี

  • แสง : ชอบแสงรำไร ไม่ควรโดนแสงแดดจัดโดยตรง
  • น้ำ : รดน้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ควรให้ดินชื้นแต่ไม่แฉะ
  • ดิน : ใช้ดินร่วนซุย
  • ปุ๋ย : ใส่ปุ๋ยละลายช้าเดือนละ 1 ครั้ง

ตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับวางต้นบันไดเศรษฐี

  • โต๊ะทำงาน : ช่วยเสริมเรื่องการเงินและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
  • มุมรับแขก : ช่วยสร้างบรรยากาศที่สดใสและเป็นมงคล
  • ห้องนอน : ช่วยให้หลับสบาย

การขยายพันธุ์ต้นบันไดเศรษฐี

การขยายพันธุ์ต้นบันไดเศรษฐีทำได้ง่าย โดยการปักชำกิ่ง เพียงตัดกิ่งที่มีใบประมาณ 2-3 ใบ แล้วนำไปปักชำในน้ำหรือดินชื้นๆ รอประมาณ 2-3 สัปดาห์ รากก็จะงอกออกมา

การขยายพันธุ์ต้นบันไดเศรษฐี

การขยายพันธุ์ต้นบันไดเศรษฐีทำได้ง่าย โดยการปักชำกิ่ง เพียงตัดกิ่งที่มีใบประมาณ 2-3 ใบ แล้วนำไปปักชำในน้ำหรือดินชื้นๆ รอประมาณ 2-3 สัปดาห์ รากก็จะงอกออกมา

8. ต้นมหาเฮง

ต้นมหาเฮง

ภาพจาก The Boma Garden Centre

ต้นมหาเฮง เป็นไม้มงคลที่ได้รับความนิยมอย่างมากในบ้านเรา ด้วยชื่อที่เป็นมงคลและความเชื่อที่ว่าจะนำโชคลาภมาให้ ทำให้หลายบ้านนิยมปลูกไว้ประดับตกแต่ง ต้นมหาเฮงเป็นไม้พุ่มที่สามารถปลูกในกระถางได้ ทำให้เหมาะสำหรับการตกแต่งบ้านหรือสำนักงาน นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการปลูกต้นมหาเฮงในบ้านจะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีและเพิ่มพลังบวกให้กับสถานที่นั้นๆ

ลักษณะเด่นของต้นมหาเฮง

ต้นมหาเฮงมีลักษณะเด่นคือผลสีแดงสดใสคล้ายลูกปัด เรียงกันเป็นพวงดูสวยงามสะดุดตา ลำต้นมีขนาดเล็กถึงกลาง ใบมีลักษณะคล้ายใบมะขาม แต่เล็กกว่า

ความเชื่อเกี่ยวกับต้นมหาเฮง

  • เสริมโชคลาภ : เชื่อกันว่าจะนำโชคลาภและความมั่งคั่งมาให้
  • ความเจริญรุ่งเรือง : เชื่อว่าจะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ชีวิต
  • ความอุดมสมบูรณ์ : ผลสีแดงสดของต้นมหาเฮงเปรียบเสมือนทองคำ เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์

ประโยชน์ของต้นมหาเฮง

  • ไม้ประดับ : ด้วยผลสีแดงสดใส ทำให้ต้นมหาเฮงเป็นไม้ประดับที่สวยงาม เหมาะสำหรับปลูกประดับสวน หรือในกระถาง
  • สมุนไพร : บางส่วนของต้นมหาเฮงสามารถนำมาใช้เป็นสมุนไพรได้ เช่น ผลสุกสามารถนำมารับประทานได้
  • ฟอกอากาศ : ช่วยดูดซับสารพิษในอากาศ

การดูแลต้นมหาเฮง

  • แสง : ชอบแสงแดดจัด
  • น้ำ : รดน้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ควรให้ดินชื้นแต่ไม่แฉะ
  • ดิน : ใช้ดินร่วนซุย
  • ปุ๋ย : ใส่ปุ๋ยละลายช้าเดือนละ 1 ครั้ง

การขยายพันธุ์ต้นมหาเฮง

การขยายพันธุ์ต้นมหาเฮงสามารถทำได้โดยการเพาะเมล็ด หรือการปักชำกิ่ง

ตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับวางต้นมหาเฮง

  • หน้าบ้าน : ช่วยเสริมบารมีและโชคลาภให้กับบ้าน
  • สวน : เพิ่มความสวยงามให้กับสวน
  • ระเบียง : สร้างความสดใสให้กับระเบียง

สรุป

การปลูกต้นไม้นอกจากจะทำให้คุณรู้สึกสบายใจได้แล้ว ยังเป็นการช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับบ้านของคุณและมีความน่าอยู่มากขึ้น นอกจากนี้การปลูกต้นไม้ยังช่วยเสริมสร้างสมาธิให้กับเราได้อีก และจากที่เราได้แนะนำต้นไม้มงคลไปส่วนมากเป็นต้นไม้ที่ดูแลง่ายมาก เหมาะกับคนที่มีเวลาดูแลน้อย


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

อยากเริ่มต้นรีโนเวทบ้าน ต้องเตรียมอะไรบ้าง

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

สำหรับคนที่สร้างบ้านมาสักพักแล้วตัวบ้านก็ต้องเริ่มผ่านลมผ่านฝนมาอย่างยาวนาน รวมถึงยังโดนกาลเวลากัดกร่อนทำให้บ้านเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงและอาจจะไม่ได้สวยเหมือนกับตอนสร้างใหม่ๆ คราวนี้ก็ถึงเวลาของหลายคนที่อยากจะซ่อมบำรุง ดูแลบ้านให้กลับมาใหม่เอี่ยมสวยงามด้วยการ “รีโนเวท” บ้าน ในการรีโนเวทบ้านนั้นก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนที่คิดจะทำ เรามาดูดีกว่าว่าถ้าอยากรีโนเวทบ้านแล้วเราจะต้องเตรียมอะไรบ้าง

การรีโนเวทบ้านคืออะไร

การรีโนเวทบ้านคือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง การออกแบบ หรือฟังก์ชันการทำงานของบ้านอย่างมีนัยสำคัญ อาจมีตั้งแต่การปรับปรุงรูปลักษณ์เล็กน้อย เช่น การทาสีและพื้นใหม่ ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เช่น การเพิ่มห้อง การปรับปรุงห้องครัวและห้องน้ำ หรือแม้แต่การรื้อและสร้างใหม่ทั้งส่วนของบ้าน เป้าหมายของการปรับปรุงมักจะเป็นการปรับปรุงพื้นที่อยู่อาศัย เพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน หรือทำให้บ้านสะดวกสบายและใช้งานได้มากขึ้นสำหรับผู้พักอาศัย เพื่อให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์หรือการใช้ชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัยได้มากขึ้น

อยากจะรีโนเวทบ้าน เตรียมอะไรบ้าง

ในการรีโนเวทบ้านก็ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่หลายคนคิด แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องมีการเตรียมตัวและคิดก่อนว่าเราต้องการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงอะไรในบ้านบ้าง เพื่อให้มันออกมาตรงใจและเป็นไปตามความต้องการของเรามากที่สุด

1. ต้องการรีโนเวทส่วนใดบ้าง

สิ่งแรกที่เราควรทำเลยก็คือลองตรวจสอบดูก่อนว่าเราต้องการรีโนเวทบ้านในส่วนใดบ้าง เพื่อให้เรากำหนดขอบเขตของการทำงานได้อย่างถูกต้อง รวมถึงยังประเมินงบประมาณในการรีโนเวทบ้านเบื้องต้นได้อีกด้วย และในการรีโนเวทมันก็ไม่ได้หมายถึงเราต้องปรับปรุงใหม่ทั้งบ้าน แต่เราเลือกที่จะปรับปรุงบางส่วนได้ เช่น ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องทำงาน ฯลฯ ตัวอย่างเป้าหมายในการรีโนเวทเช่น

– บ้านเริ่มทรุดโทรม สำหรับบ้านที่สร้างมานานแล้วอาจจะพบปัญหาเรื่องโครงสร้างและเกิดความเสียหายกับตัวบ้านขึ้น อาจจะรีโนเวทเพื่อปรับปรุงโครงสร้างและให้บ้านมีความแข็งแรงเช่นเดิม

– เพิ่มความสะดวกในบ้าน บางครั้งรีโนเวทบ้านก็ไม่ได้จำเป็นต้องมีบางสิ่งบางอย่างในบ้านเสียหายเท่านั้น แต่หากพื้นที่ใช้สอยในบ้านไม่สอดคล้องกับการใช้งานเราก็สามารถรีโนเวทได้ด้วยเช่นกัน

– เพิ่มจำนวนห้อง บางคนอาจจะต้องการห้องเพิ่มเติมเพื่อใช้ทำสิ่งต่างๆ ตามความเหมาะสมของตนเอง อย่างบางเคสที่บ้านเพื่อนการช่างเคยเข้าไปดูแลคือแบ่งพื้นที่ชั้น 1 ของบ้านบางส่วนให้กลายเป็นพื้นที่ไลฟ์สดขายสินค้า พร้อมกับติดผนังกันเสียงและปรับปรุงเรื่องไฟให้มีความสว่างขึ้น

– ซ่อมในส่วนที่เสียหาย ความเสียหายของบ้านบางครั้งมันไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันเสมอไป บางทีอาจจะมาจากห้องน้ำที่น้ำรั่วซึม หลังคาบ้านรั่ว ฯลฯ

– เปลี่ยนบรรยากาศของบ้าน บางคนอาจจะซื้อบ้านมือสองมาแล้วต้องการตกแต่งบ้านใหม่ โดยอาจจะมีคอนเซปต์ที่ตัวเองชอบเช่น อยากได้บ้านที่ตกแต่งภายในแบบสไตล์ลอฟท์ อยากให้บ้านเป็นสไตล์มินิมอล เป็นต้น

2. เตรียมแบบที่ต้องการ

ในการรีโนเวทแต่ครั้งแน่นอนว่ามันก็ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้น รวมถึงสไตล์การปรับปรุงบ้านด้วย ซึ่งหากเป็นการรีโนเวทเพื่อบำรุงโครงสร้างเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ต้องมีต้นแบบหรือรูปแบบอะไรเพื่อปรึกษากับนักออกแบบก็ได้

แต่หากคุณต้องการปรับปรุงพวกห้องครัว ห้องนั่งเล่น หรือส่วนอื่นๆ ที่จำเป็นจะต้องใช้สอยในบ้านอาจจะต้องลองค้นหาแบบที่คุณชอบ สไตล์ที่ใช่สำหรับคุณ เพื่อที่จะได้นำไปคุยกับสถาปนิกในการออกแบบให้ตรงกับความต้องการของคุณ นอกจากนี้เวลาเราได้แบบรีโนเวทที่เราต้องการแล้วจะได้ดำเนินการอย่างถูกต้องและเป็นไปตามความต้องการ

ใครที่กำลังหาข้อมูลเรื่องการออกแบบบ้าน ลองอ่านบทความ “ก่อนออกแบบบ้าน ต้องรู้อะไรบ้าง” นี้ได้เลย

3. ตรวจสอบส่วนอื่นๆ ของบ้านเพิ่มเติม

ในช่วงที่เราต้องการรีโนเวทบ้าน บางส่วนของบ้านอาจจะต้องได้รับการบำรุงดูแลเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นพวกระบบปะปา ไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งพวกวัสดุที่ใช้สำหรับสร้างบ้านเดิมที่อาจจะมีการเสื่อมสภาพแล้ว ดังนั้นเราสามารถตรวจสอบเองเบื้องต้นได้ และหากพบเจอส่วนที่เสียหายและต้องการปรับปรุงเพิ่มเติมก็สามารถทำลิสต์เอาไว้คุยกับทีมสถาปนิกหรือช่างเพื่อให้ช่วยดูแลเพิ่มเติมได้

4. สรุปสิ่งที่ต้องการทั้งหมด

หากเราสามารถระบุความต้องการในการรีโนเวทบ้านได้แล้วนั้น ทางบ้านเพื่อนแนะนำว่าให้คุณทำ List เอาไว้ว่าต้องการปรับปรุงส่วนใด แบบไหน รูปแบบใด บ้าง เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบของตัวคุณเอง รวมถึงเวลาเราไปคุยเรื่องการออกแบบกับสถาปนิกหรือมัณฑนากรเราจะได้รู้ด้วยว่าจุดไหนที่เราต้องการปรับปรุง

นอกจากนี้การที่คุณทำลิสต์ที่ต้องการรีโนเวทเอาไว้มันก็ช่วยให้คุณประเมินงบประมาณที่จะต้องใช้ในการรีโนเวทได้ง่ายมากขึ้นด้วย หากเกินงบหรือมันสูงเกินความจำเป็นเราจะได้ปรับลดลง หรืออาจจะไปคุยกับผู้รับเหมาในการให้เค้าช่วยปรับปรุงหรือนำเสนอวัสดุ แนวทางในการปรับปรุงเพื่อให้อยู่ในงบประมาณที่คุณมีก็ได้เหมือนกัน อย่างบ้านเพื่อนเองก็รับปรึกษาเรื่องการรีโนเวทให้กับคุณได้

แนะนำบทความ 5 สิ่งที่ต้องระวังเมื่อคุณจะต้องปรับปรุงบ้าน

5. เลือกสรรผู้รับเหมาเพื่อให้ช่วยในการรีโนเวท

สำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างนั้นก็มีให้เลือกหลากหลายเจ้า อันนี้เพื่อนๆ อาจจะต้องไปหาข้อมูลเอาเพราะแอดขอไม่ลงรายละเอียดไว้ให้ หากเพื่อนๆ อยู่ในช่วงระหว่างการตัดสินใจนั้นอาจจะลองให้พวกเค้าดูแบบการรีโนเวทหรือช่วยแนะนำการรีโนเวทก่อนก็ได้ อย่างบ้านเพื่อนการช่างเองก็มีบริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการออกแบบและการรีโนเวทบ้านด้วยเหมือนกัน พร้อมทั้งมีการดูแลให้คำปรึกษาตั้งแต่ก่อนเริ่มรีโนเวทไปจนกระทั่งหลังรีโนเวทเสร็จแล้ว นอกจากนึ้คุณยังติดตามการทำงานได้แบบ Real – Time อีกด้วย

การรีโนเวทบ้านต้องรู้กฎหมายด้วย

การรีโนเวทบ้านไม่ใช่ว่าเราอยากทำก็จะทำได้เลย แต่หากเป็นการรีโนเวทบ้านประเภทการทาสีบ้านใหม่ เปลี่ยนสีผนัง เปลี่ยนพื้นภายในบ้าน หรืออะไรที่ไม่ได้ส่งผลกระทบจนเกิดความเดือดร้อนกับเพื่อนบ้านอันนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปขออนุญาต แต่ถ้าหากว่าเป็นการปรับปรุงรีโนเวทจำพวกต่อเติมบ้าน ต่อเติมคาน เพิ่มห้องนอกเหนือจากแบบบ้านเดิม หรืออะไรที่ส่งผลกระทบใหญ่ต่อลักษณะบ้านเดิมอันนี้คุณจะต้องทำการขออนุญาตก่อน เพราะถ้าหากไม่ได้ขออนุญาตแล้วทำการรีโนเวทไปแล้ว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาเจอย้อนตรวจสอบทีหลังอาจจะถูกสั่งให้รื้อถอนหรือเกิดเป็นคคีความก็ได้

หากต้องการรีโนเวทบ้านจริงๆ คุณอาจจะปรึกษากับเหล่าผู้รับเหมาและสถาปนิกก่อนการเริ่มรีโนเวทก็ได้เช่นกัน เพราะพวกเค้าจะรู้ข้อกฎหมายและพร้อมลงหน้างานไปดูรายละเอียดในการรีโนเวทให้กับคุณอยู่แล้ว

สรุป

การรีโนเวทบ้านก็ถือเป็นอีกเรื่องที่ต้องทำสำหรับคนที่มีบ้านเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะมีจุดมุ่งหมายในการปรับปรุงตัวบ้านให้น่าอยู่ เพิ่มพื้นที่ในการใช้สอย หรือรีโนเวทบ้านเพื่อการขาย ก็ควรจะต้องมีการระบุก่อนว่าเราจะต้องรีโนเวทบ้านส่วนใดบ้าง เพื่อให้ง่ายต่อการทำงานของทีมผู้รับเหมา สถาปนิก หรือแม้กระทั่งง่ายต่อการตรวจสอบของคุณเองด้วย หากคุณไม่ถนัดในด้านนี้เลยอาจจะต้องหาทีมงานเพื่อขอคำปรึกษาจากพวกเค้าก็ได้เช่นกัน


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

คอนโด Low Rise VS High Rise แบบไหนเหมาะกับคุณ

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

คอนโดในปัจจุบันก็มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบตึกสูงและตึกเตี้ย โดยบางคนจะเรียกคอนโดสูงว่า “High Rise” ส่วนคอนโดเตี้ยที่มีจำนวนชั้นไม่เยอะอาจจะเรียกว่า “Low Rise” ซึ่งคอนโดทั้งสองชนิดก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน และปัจจุบันคอนโดทั้งสองรูปแบบก็มีให้เลือกหลากหลายมากในกรุงเทพฯ เรามาดูถึงความแตกต่างของคอนโดแบบ Low Rise และ High Rise กันดีกว่าว่ามันต่างกันอย่างไร แล้วเหมาะกับใครกันแน่ ก่อนที่คุณจะเลือกซื้อคอนโดจะต้องรู้ก่อน

ก่อนจ้างผู้รับเหมาก่อสร้าง ต้องรู้อะไรบ้าง
  • สัญญาการรับเหมาก่อสร้าง

คอนโด Low Rise คืออะไร

คอนโด “Low Rise” เป็นคอนโดที่มีความสูงไม่มาก หรือบางคนอาจจะเรียกติดปากว่าคอนโดเตี้ย ตัวคอนโด Low Rise จะมีความสูงไม่เกินที่ 23 เมตร หรือนับเป็นชั้นจะเฉลี่ยอยู่ที่ 7 – 9 ชั้นเท่านั้น ขึ้นอยู่กับความสูงของห้องในโครงการนั้นๆ ว่าจะสูงมากน้อยเท่าไหร่

จุดเด่นของคอนโด Low Rise

ภาพของหลายๆ คนนอกจากที่ซื้อคอนโดเพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบายแล้ว ยังมีเรื่องของบรรยากาศการอยู่อาศัย วิวทิวทัศน์เมืองอันสวยงาม แน่นอนว่าคอนโดแบบ Low Rise อาจจะให้เรื่องวิวเมืองไม่ได้ แต่มีจุดเด่นด้านอื่นๆ ที่บางอย่างก็เหนือกว่าคอนโดแบบ Low Rise เรามาดูกันว่าจะมีอะไรบ้าง

1. ความเป็นส่วนตัว

คอนโดแบบ Low Rise ด้วยความที่มีจำนวนชั้นน้อย ทำให้จำนวนผู้อยู่อาศัยก็น้อยไปด้วยเช่นกัน ทำให้ลดความแออัดในด้านการอยู่อาศัย ความวุ่นวายต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น การใช้งานส่วนกลางก็จะสามารถใช้ได้อย่างเต็มที่มากกว่าแบบ High Rise พอสมควร

2. ราคาไม่แพง จับต้องได้

สำหรับคนที่มีงบประมาณน้อยและกำลังมองหาที่พักที่อยู่ในเมืองโดยที่ไม่ได้สนใจเรื่องความสูงหรือวิวของเมือง คอนโดแบบ Low Rise ก็ตอบโจทย์มาก เนื่องจากว่าคอนโดประเภทนี้จะไม่ค่อยตั้งอยู่ริมถนนมากนัก มักจะตั้งอยู่ในซอยที่ต้องเดินเข้าไปนิดหน่อยไม่ได้ลึกมาก ทำให้มีราคาถูกลงเพราะที่ดินไม่ได้ติดถนนเหมือนกับคอนโดแบบ High Rise สิ่งที่สำคัญเลยคือแม้จะมีราคาถูกกว่า แต่สิ่งอำนวยความสะดวกก็จัดเต็มเหมือนกับคอนโดแบบ High Rise แต่อยู่ในรูปแบบที่ประหยัดงบและคุ้มค่ามากพอสมควร

3. มีความปลอดภัย

จำนวนห้องที่น้อย ลูกบ้านก็มีจำนวนน้อยตาม ทำให้เหล่าแม่บ้านหรือพนักงานรักษาความปลอดภัยสามารถจดจำลูกบ้านได้ทุกคน ทำให้ผู้คนภายนอกเข้ามาได้ยากกว่าเพราะพนักงานจะจดจำใบหน้าของลูกบ้านได้ทั้งหมด

4. ปล่อยขาย – เช่าได้ง่าย

นอกจากในเรื่องของราคาคอนโด Low Rise จะมีราคาถูกแล้ว การปล่อยขายหรือเช่าก็สามารถทำได้ง่ายกว่าคอนโดแบบ High Rise ปัจจัยมาจากหลายๆ อย่างเช่น หากมีคนสนใจโครงการคอนโดที่เป็นแบบ Low Rise แล้ว จำนวนห้องที่มีน้อยก็ทำให้โอกาสในการซื้อสูงกว่า นอกจากนี้จุดได้เปรียบอีกด้านคือคู่แข่งก็น้อยด้วยเหมือนกัน จึงทำให้ปล่อยขายหรือปล่อยเช่าได้ค่อนข้างเร็วพอสมควร

คอนโด High Rise คืออะไร

คอนโด High Rise เป็นคอนโดที่จะมีความสูงมากกว่า 23 ชั้นขึ้นไป และแน่นอนว่าส่วนมากคอนโดแบบ High Rise มักจะมีความสูงเกินกว่า 20 ชั้น ที่สำคัญคอนโดแบบ High Rise ส่วนมากมักจะอยู่ติดกับถนนหรือสถานีรถไฟฟ้าเป็นหลักสำหรับคอนโดในเมือง ทำให้เดินทางได้สะดวกมาก

จุดเด่นของคอนโดแบบ High Rise

1. เดินทางได้อย่างสะดวก

สำหรับโครงการคอนโดแบบ High Rise ส่วนมากในกรุงเทพฯ แล้วมักจะมีที่ดินติดกับถนนใหญ่หรือติดแนวรถไฟฟ้าเป็นหลัก ทำให้การเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวกมากหากเทียบกับ Low Rise

2. ห้องมีความหลากหลาย

จำนวนชั้นที่สูงก็ทำให้จำนวนห้องในโครงการก็มีจำนวนมากตาม ทำให้มีความได้เปรียบในการเลือกห้องที่จะมีความหลากหลาย นอกจากนี้ยังสามารถเลือกด้านของตึกที่เราต้องการได้ด้วย บางคนอาจจะชอบวิวทางทิศใต้ของเมือง บางคนอาจจะชอบวิวทิศเหนือของเมือง

3. อากาศถ่ายเทสะดวก

แน่นอนว่าด้วยความสูงของตัวคอนโดทำให้ห้องสูงๆ จะมีลมถ่ายเทเข้าไปในห้องตลอดเวลา ทำให้มีอากาศหมุนเวียนภายในห้องและไม่ทำให้เกิดความอึดอัด นอกจากนี้อากาศยังค่อนข้างดีพอสมควรด้วย

4. ปล่อยขาย – เช่า ได้ราคาดี

ในการขายหรือเช่าคอนโดในโครงการ High Rise นั้นด้วยจุดเด่นที่ตัวคอนโดส่วนมากมักจะตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพ ทำให้มีผู้คนต้องการมาก ทำให้ราคาขายหรือเช่าก็สูงพอสมควร และในอีกมุมหนึ่งของโครงการที่เป็นแบบ High Rise ก็จะมีเรื่องของค่าส่วนกลางที่ถูกมาก เพราะจำนวนห้องในโครงการที่เยอะทำให้มีการหารค่าส่วนกลางกันจนออกมาคุ้มค่าและประหยัดอย่างมากสำหรับผู้อยู่อาศัย

สรุป

คอนโดแบบ Low Rise จะได้เรื่องของความเป็นส่วนตัวที่มากกว่าคอนโดแบบ High Rise เนื่องจากจำนวนผู้อยู่อาศัยไม่เยอะและไม่ต้องกลัวเรื่องความวุ่นวาย แถมมีราคาที่ถูกเหมาะสำหรับคนงบน้อย แน่นอนว่าคนที่มีงบน้อยและคนที่ชอบความเป็นส่วนตัวก็มักจะเลือกคอนโดแบบ Low Rise กัน

ส่วนคอนโดแบบ High Rise จะเป็นคอนโดที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทาง และชอบวิวทิวทัศน์ ซึ่งคอนโดแบบ High Rise จะตอบโจทย์ด้านนี้เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามคอนโดทั้งสองรูปแบบก็มีความแตกต่างกันในด้านอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน แล้วแต่ว่าเพื่อนๆ จะชอบคอนโดแบบไหน และคอนโดรูปแบบใดที่ใช่สำหรับไลฟ์สไตล์ของคุณ


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

8 วิธีกำจัดแมลงสาบภายในบ้านของคุณ

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

แมลงสาบเป็นสัตว์ที่หลายๆ คนกลัวหรือบางคนอาจจะไม่ได้กลัวแต่ขยะแขยงมากกว่า และนับได้ว่าเป็นสัตว์ที่กวนใจหลายๆ คนอย่างมากหากพบเจอมันในบ้าน นอกจากเรื่องความน่าขยะแขยงแล้วเจ้าแมลงสาบยังเป็นพาหะนำโรคต่างๆ มากมายเต็มไปหมดทั้งพวกแบคทีเรียที่จะทำให้คุณเป็นโรคบิด ท้องเสียจากการทานอาหารที่มีแมลงสาบไต่ และด้วยความสกปรกของพวกมันทำให้เกิดเชื้อราตามจุดที่มันอยู่และส่งผลต่อคุณภาพอากาศในบ้านทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจได้ด้วย เรามาดูวิธีกำจัดแมลงสาบกันดีกว่าว่าเราสามารถกำจัดมันได้อย่างไรบ้าง

1. เริ่มต้นจากทำความสะอาด

แมลงสาบเป็นสัตว์ที่ชื่นชอบความสกปรกและชื่นชอบความชื้นอย่างมาก แน่นอนว่าหลายๆ บ้านจะต้องมีจุดอับที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เบื้องต้นให้เราหมั่นทำความสะอาดที่คาดว่าน่าจะเป็นจุดอับภายในบ้านเราก่อน อย่างน้อยๆ สัปดาห์ละครั้งหรือสองสัปดาห์ครั้งก็ยังดี เพื่อไม่ให้แมลงสาบเข้าไปอยู่อาศัย นอกจากนี้หากตรงบริเวณจุดอับดังกล่าวเคยเป็นที่อยู่อาศัยของแมลงสาบก็จะเป็นการกลบกลิ่นของพวกมันไปในตัวเพื่อไม่ให้มันกลับมาได้ด้วย

การทำความสะอาดหรือรื้อของในจุดที่เป็นมุมอับบ่อยๆ จะทำให้แมลงสาบไม่ไปอยู่อาศัยในจุดนั้นมากนัก เพราะพวกมันไม่ชอบที่ที่มันสะอาดเท่าไหร่

2. ใช้ไอเทมอย่างลูกเหม็น

ใครจะไปคิดว่าลูกเหม็นที่ไว้สำหรับวางในห้องน้ำเพื่อกลบกลิ่นปัสสาวะหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ในห้องน้ำแล้วจะสามารถจัดการเจ้าแมลงสาบเจ้าปัญหาได้ ด้วยความที่ลูกเหม็นมันมีกลิ่นฉุน (มากสำหรับแอด) ทำให้ไปรบกวนแมลงสาบและสร้างความน่ารำคาญให้กับมันแบบสุดๆ

ดังนั้นหากเพื่อนๆ กำลังเจอปัญหาแมลงสาบบุกบ้าน แนะนำว่าให้เอาลูกเหม็นไปวางตรงบริเวณฝาท่อ จุดที่แมลงสาบผ่านบ่อยๆ จุดอับชื้น เพียงไม่กี่สัปดาห์พวกแมลงสาบก็จะหายหน้าหายตาไปจากบ้านคุณแล้ว แน่นอนว่าวิธีนี้ประหยัดพอสมควร ราคาลูกเหม็นก็ไม่ได้แพง แต่โปรดระวังการใช้งานและอาจจะเกิดความอันตรายได้หากคุณมีเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน หาถุงหรือหาอะไรมาใส่ลูกเหม็นเอาไว้จะดีที่สุด

3. เจลกำจัดแมลงสาบ

สำหรับคนที่ไม่ชอบกลิ่นของลูกเหม็น “เจลกำจัดแมลงสาบ” เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่ได้ผลดีมาก ซึ่งแอดเองก็ใช้วิธีนี้เพราะไม่ชอบกลิ่นลูกเหม็นสุดๆ ในตลาดก็สามารถหาซื้อเจลกำจัดแมลงสาบได้ง่ายมาก เพียงแค่เรามีเจลแล้วหยอดลงบนกระดาษ จากนั้นนำไปวางในบริเวณที่เป็นมุมอับหรือบริเวณที่แมลงสาบเพ่นพ่านบ่อยๆ

เมื่อแมลงสาบเข้ามาสัมผัสแล้วกลับไปที่รังของมัน ทีนี้มันก็จะตายยกรังทันที ไม่ว่าจะตัวเล็กหรือใหญ่ก็เกลี้ยงรังอย่างแน่นอน ส่วนใครที่ลองแรกๆ อาจจะต้องหมั่นทำบ่อยๆ หน่อยสักอาทิตย์ละครั้ง เมื่อแมลงสาบหายไปก็ค่อยกลับมาทำซ้ำทุก 6 เดือนก็ได้ วิธีนี้ก็ได้รับความนิยมแบบสุดๆ

4. ที่ดักแมลงสาบ

ที่ดักแมลงสาบเป็นสิ่งที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป วิธีการคือโรยเศษอาหารไว้บนที่ดักแมลงสาบในตอนกลางคืน โดยนำไปวางในจุดที่แมลงสาบอาศัยหรือวางในจุดที่แมลงสาบผ่าน จากนั้นทิ้งไว้จนเช้าแล้วไปดูผลงาน แน่นอนว่ายังไงมันก็มาติดอย่างแน่นอน

5. ใช้เบคกิ้งโซดา

เบคกิ้งโซดา เป็นสิ่งที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไปและมักจะเป็นสิ่งที่มีติดบ้านของหลายๆ คนอยู่แล้ว การใช้งานก็เพียงแค่ผสมเบคกิ้งโซดาเข้ากับน้ำตาลในปริมาณที่เท่ากัน จากนั้นเทมันลงใส่ภาชนะพวกแก้วพลาสติกที่พร้อมทิ้งและเอาไปวางไว้ตามจุดต่างๆ เมื่อแมลงสาบเข้ามากินเข้าไปก็จะทำให้พวกมันตายได้ ใครที่ไม่ชอบแมลงสาบวิธีนี้อาจจะไม่เวิร์คนัก เพราะคุณต้องมาคอยเก็บซากมันไปทิ้งด้วย

6. น้ำยาปรับผ้านุ่มช่วยจัดการได้

พวกกลิ่นที่แรงๆ หรือกลิ่นที่หอมมากๆ สำหรับมนุษย์แล้ว พอพวกแมลงสาบมาสัมผัสเจอกับกลิ่นเหล่านี้กลายเป็นว่าพวกมันเกลียดแบบสุดๆ แทบจะหายใจเข้าไปไม่ได้ อารมณ์คล้ายๆ มนุษย์ได้กลิ่นขยะนั่นแหละ ด้วยเหตุนี้เองเราสามารถเอาน้ำยาปรับผ้านุ่มมาใช้กำจัดแมลงสาบได้เหมือนกัน โดยการผสมน้ำยาปรับผ้านุ่มเข้ากับน้ำเปล่า แต่ไม่ต้องให้เจือจางมากจนเกินไปเพื่อไม่ให้กลิ่นหาย จากนั้นนำไปใส่ในฟ็อกกี้ (กระบอกฉีดน้ำ) หรือที่ฉีดพ่นแล้วนำไปพ่นในจุดอับชื้น จุดที่มีแมลงสาบผ่าน เมื่อแมลงสาบได้กลิ่นเหล่านี้เข้าไปเดี๋ยวพวกมันก็จะเผ่นออกจากบ้านของเราไปเอง

7. ปิดท่อระบายน้ำ (ควรทำประจำ)

ท่อระบายน้ำนั้นเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกมากมาย ทั้งการที่เราเทน้ำล้างจาน เทสิ่งสกปรกลงท่อก็ทำให้เหล่าแมลงสาบชื่นชอบตรงท่อระบายน้ำมาก สิ่งที่เราสามารถทำได้คือในช่วงที่เราไม่ได้ใช้งานห้องน้ำก็หาอะไรมาปิดตรงตะแกรงฝาท่อเอาไว้ มันก็จะช่วยให้แมลงสาบไม่สามารถปีนขึ้นมาเดินเล่นภายในบ้านเราได้ หากมันไม่สามารถเข้ามาผ่านท่อได้ก็จะทำให้ปริมาณของแมลงสาบนั้นลดลง รวมถึงหากคุณกำจัดแมลงสาบออกไปจากบ้านได้แล้วอย่างน้อยๆ ก็ไม่ทำให้มันกลับมาไวขึ้นด้วย

8. เก็บเศษอาหารสม่ำเสมอ (ควรทำประจำ)

เศษอาหารที่เรากินเหลือทิ้งไว้ในถังขยะ มันเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการก็จริงแต่มันก็เป็นสวรรค์ของเหล่าแมลงสาบด้วยเหมือนกัน ดังนั้นหากคุณทานอาหารและเทเศษอาหารทิ้งลงถังขยะแล้วก็ควรเอาไปทิ้งทันที เพื่อไม่ให้แมลงสาบเข้ามากินเศษอาหารที่เราทิ้งไปได้ นอกจากนี้ยังเป็นการกำจัดอาหารของแมลงสาบและไม่ให้มันเข้ามาในบ้านของเราได้ด้วย

สรุป

ไม่ว่าบ้านไหนๆ ก็จะต้องประสบปัญหากับแมลงสาบอย่างแน่นอน เพราะมันทั้งสร้างความขยะแขยง ความสกปรก และยังเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายต่างๆ มากมาย ทำให้หลายคนต้องการกำจัดมันออกจากบ้าน ซึ่งวิธีที่แอดเอามาแนะนำก็เป็นวิธีที่เราเคยใช้จริง และได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

7 สิ่งที่เราต้องดูแลบ้านให้เหมือนใหม่ได้ทุกวัน

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ตอนที่เราได้สร้างบ้านหรือซื้อบ้านใหม่แล้วมันเป็นความรู้สึกที่ดีเป็นอย่างมาก ทั้งด้านในด้านนอกมันก็ดูสวยงามไปหมดเพราะมันยังใหม่อยู่ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปเรื่อยๆ บ้านของเราก็เริ่มจะถูกกาลเวลากัดกร่อนและเกิดปัญหาต่างๆ ตามมา ทั้งวัสดุเริ่มเสื่อมสภาพ บ้านเริ่มเก่ามีสภาพเริ่มโทรม แต่แบบนี้เราสามารถชะลอในการเสื่อมสภาพได้หากมีการดูแลบำรุงอย่างต่อเนื่อง แล้วมีอะไรที่เราต้องดูแลบ้านของเราบ้าง ทุกวิธีสามารถทำได้ด้วยตัวเองหรือจะจ้างก็ได้เช่นกัน

1. ทำความสะอาดบ้านบ่อยๆ

การทำความสะอาดบ้านก็นอกจากจะช่วยทำให้บ้านของเราสะอาดน่าอยู่แล้ว ยังช่วยไม่ให้บ้านของเรากลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย ซึ่งหากเราไม่ทำความสะอาดเลยหรือนานๆ ครั้งทำความสะอาดสักทีก็อาจจะทำให้จุดต่างๆ ของบ้านเกิดคราบฝังแน่นหรือทำความสะอาดได้ยากด้วย แต่ทางเราเชื่อว่าการทำความสะอาดบ้านนั้นก็ทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ในด้านของการทำความสะอาดในจุดที่อับต่างๆ เช่น ด้านหลังตู้ เพดาน ห้องครัวในจุดที่คราบฝังลึก เป็นต้น อันนี้เราก็ควรทำอย่างสม่ำเสมอด้วยเช่นกัน

รวมถึงพวกเศษอาหารต่างๆ ควรจะเก็บและทิ้งให้เรียบร้อย ไม่ควรปล่อยไว้เป็นเวลาหลายวัน หากเคลียร์ออกได้ทุกวันยิ่งดีเพื่อป้องกันพวกแมลงสาบ มด หรือหนู หรือสัตว์ต่างๆ ที่อาจจะหาอาหารและมาเจอกับเศษอาหารที่ทิ้ง ทำให้บ้านของเราปราศจากแมลงรบกวนด้วย

2. ทำความสะอาดห้องน้ำสม่ำเสมอ

ห้องน้ำเป็นอีกหนึ่งจุดที่เราต้องใช้งานเป็นประจำและต้องเจอกับน้ำแทบจะตลอดเวลา ทำให้ห้องน้ำเกิดความชื้นและอาจจะเกิดเชื้อราได้หากไม่มีการระบายอากาศที่ดีพอ และมันอาจจะส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจได้

สิ่งที่สร้างความกังวลให้กับหลายคนเลยคือพวกคราบต่างๆ ที่มักจะเกิดในห้องน้ำอย่างเช่นพวกคราบเหลือง ยาแนวเริ่มดำ ในด้านนี้เราขอแนะนำว่าให้หมั่นทำความสะอาดห้องน้ำอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้งก็ยังดี เพื่อไม่ให้คราบที่เกาะอยู่บนกำแพงที่อาจจะมาจากสบู่หรือยาสระผมหรือครีมที่เราใช้มันเกาะอยู่บนผนังและฝังแน่นจนไม่สามารถขัดออกได้

ยิ่งเราทำบ่อยก็ยิ่งดีเพราะมันจะทำให้ห้องน้ำของเราดูใหม่และสะอาดสะอ้าน ส่วนเรื่องยาแนวที่มันดำหรืออาจจะเกิดเชื้อรานั้นเราสามารถยาแนวตามร่องกระเบื้องเองได้ง่ายๆ หรือหากไม่สะดวกในการยาแนวเองก็จ้างช่างมาทำได้เช่นกัน

3. ดูแลสีผนังทั้งภายในและภายนอก

ผนังของบ้านเป็นสิ่งที่เหมือนสภาพแวดล้อมหลักของบ้านและไม่มีใครชอบนักหากกำแพงบ้านของเรามีความสกปรกมันจะทำให้บ้านของเราดูเก่าทรุดโทรม และไม่น่าอยู่นัก สำหรับการดูแลเราสามารถทำได้ดังนี้

ทำความสะอาด ผนังภายในบ้านมักเลอะคราบสกปรกได้ง่าย ควรทำความสะอาดโดยใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆเช็ดเบาๆ หรือใช้น้ำยาล้างจานผสมกับน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ เช็ดตามคราบสกปรก จากนั้นใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเปล่าเช็ดซ้ำอีกครั้ง

กำจัดเชื้อรา ในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง อาจเกิดเชื้อราบนผนังได้ ควรหมั่นเช็ดทำความสะอาดและขจัดเชื้อราด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่เหมาะสม

ซ่อมแซมรอยร้าว หากมีรอยร้าวบนผนัง ควรซ่อมแซมโดยใช้ โป๊ว หรือ สีโป๊ว อุดรอยร้าวให้เรียบเสมอกันก่อน ทาสีทับ

ทาสีใหม่ เมื่อสีผนังเริ่มซีดจางหรือลอกล่อน ควรทาสีใหม่เพื่อความสวยงามและปกป้องผนัง

4. ตรวจสอบร่องรอยของปลวก

ปลวกไม่ได้ขึ้นเพียงแค่บ้านไม้อย่างที่หลายคนคิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น บ้านปูนมันก็สามารถขึ้นได้เหมือนกัน แม้มันจะไม่สามารถกินปูนได้แต่มันก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างอื่นๆ แถมยังทิ้งความสกปรกไว้ในบ้านของเราได้อีก เราสามารถสำรวจร่องรอยของปลวกเองได้ด้วยตัวเอง แต่วิธีการกำจัดเราอาจจะต้องจ้างให้บริษัทกำจัดปลวกเข้ามาดูแลให้

5. ดูแลเรื่องระบบไฟฟ้า

หากบ้านเริ่มมีอายุสิ่งที่มักจะตามมาเลยก็คือเรื่องระบบไฟฟ้าที่อาจจะมีปัญหาหรือเกิดเรื่องอุปกรณ์เก่าและอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้หากเราไม่มีการบำรุงหรือดูแลมัน เบื้องต้นคุณอาจจะต้องสังเกตสักนิดว่าพวกอุปกรณ์ไฟฟ้าของเราเก่าเกินไปหรือไม่ หรืออันไหนที่มีปัญหาเรื่องสายไฟเริ่มร่อนออกก็ควรที่จะเปลี่ยนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรหรือไฟรั่วได้ หรือถ้าเกิดพบว่าแผงไฟของบ้านมีปัญหาก็ควรเรียกช่างเข้ามาตรวจสอบทันที

6. ดูแลเรื่องรอยรั่วต่างๆ

การตรวจสอบและแก้ไขรอยรั่วซึมในบ้านเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับโครงสร้างและอุปกรณ์ภายในบ้าน และเรื่องการรั่วซึมก็สร้างปัญหาใหญ่ให้กับบ้านแบบสุดๆ ในด้านรอยรั่วที่ควรตรวจสอบเลยก็คือพวกจุดตามฝ้าเพดานที่อาจจะซึมมาจากบนหลังคา บริเวณห้องน้ำชั้นบน หากมีการรั่วซึมของน้ำควรจะรีบแก้ไขทันทีเพื่อไม่ให้มันเป็นปัญหาใหญ่จนส่งผลกระทบต่อโครงสร้าง

ส่วนในด้านระบบประปาเองก็ควรตรวจสอบมิเตอร์น้ำบ่อยๆ ว่ามีการผิดปกติใดๆ หรือไม่ และถ้าหากพบว่าค่าน้ำที่เราต้องจ่ายในแต่ละเดือนสูงขึ้นผิดปกติก็สันนิษฐานได้เลยว่าอาจจะเกิดปัญหากับท่อน้ำหรือระบบส่งน้ำภายในบ้านของเรา

7. หมั่นทำความสะอาดรอบบ้าน

บางบ้านบริเวณพื้นที่รอบๆ อาจจะมีการปลูกต้นไม้เอาไว้ เราควรที่จะหมั่นดูแลเพื่อไม่ให้ต้นไม้เติบโตมากเกินไปจนบ้านรก ควรจะมีการตัด ตกแต่ง และทำความสะอาดบริเวณรอบๆ บ่อยครั้งด้วย นอกจากจะสร้างความสบายตาน่าอยู่ให้กับเราแล้ว ยังเป็นการป้องกันพวกสัตว์มีพิษหรือสัตว์อันตรายต่างๆ ที่จะเข้ามาอาศัยอยู่ในบริเวณบ้านของเราด้วยหากมันรกเกินไป

สรุป

การดูแลบ้าน เปรียบเสมือนการดูแลร่างกายของเรา บ้านเปรียบเสมือนร่างกายที่ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ   เพื่อให้บ้านคงอยู่ได้อย่างยาวนาน ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และสร้างความสุขให้กับผู้อยู่อาศัย


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย