โกดังหรือคลังสินค้าสำคัญต่อธุรกิจยังไง

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

โกดังสินค้าหรือคลังสินค้าหากมองในมุมธุรกิจที่มีขนาดใหญ่แล้วมันมีความสำคัญอย่างมากและเป็นอีกหนึ่งคีย์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถประสบความสำเร็จ ทั้งสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า การช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ ช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงาน ช่วยจัดการเรื่องสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเป็นแบบนี้แล้วคุณก็จะเห็นภาพความสำคัญของโกดังสินค้าได้ชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้โกดังสินค้ายังมีอีกหลายด้านที่น่าสนใจไม่น้อยเลย

เช่าโกดังหรือสร้างโกดัง แบบไหนดีกว่ากัน ?

เพื่อนๆ หลายคนอาจจะสงสัยและมีคำถามเกิดขึ้นว่าระหว่างที่เราจะเช่าโกดังเองหรือเราจะสร้างโกดังเองแบบไหนดีกว่ากัน ต้องบอกว่าจริงๆ แล้วมันก็ได้ทั้งสองอย่างซึ่งมันก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน และมันก็เหมาะกับขนาดของธุรกิจที่แตกต่างกันด้วย

ด้านการสร้างโกดัง ส่วนมากแล้วธุรกิจที่สร้างโกดังเป็นของตัวเองก็จะเป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่มีทุนทรัพย์มาก เนื่องจากต้องลงทุนทางด้านการก่อสร้างโกดังขึ้นมาทำให้ต้องใช้เม็ดเงินพอควร ทั้งนี้ข้อดีในด้านการสร้างโกดังหรือคลังสินค้าเป็นของตัวเองก็มีข้อดีเยอะมากๆ ทั้งการเป็นกรรมสิทธิ์เจ้าของโกดังที่สามารถทำอะไรกับโกดังก็จะได้ จะปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เติมระบบต่างๆ เข้าไปก็ทำได้ทันทีหากไม่เกินตามกฎหมายกำหนด นอกจากนี้หากเรามีแผนการย้ายโกดังไปที่อื่นแล้วเราก็สามารถปล่อยให้เช่าโกดังเดิมเพื่อทำกำไรได้แบบไม่เสียเปล่า และยังช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจเพิ่มเติมด้วยเหมือนกัน

ด้านการสร้างโกดัง ส่วนมากแล้วธุรกิจที่สร้างโกดังเป็นของตัวเองก็จะเป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่มีทุนทรัพย์มาก เนื่องจากต้องลงทุนทางด้านการก่อสร้างโกดังขึ้นมาทำให้ต้องใช้เม็ดเงินพอควร ทั้งนี้ข้อดีในด้านการสร้างโกดังหรือคลังสินค้าเป็นของตัวเองก็มีข้อดีเยอะมากๆ

ทั้งการเป็นกรรมสิทธิ์เจ้าของโกดังที่สามารถทำอะไรกับโกดังก็จะได้ จะปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เติมระบบต่างๆ เข้าไปก็ทำได้ทันทีหากไม่เกินตามกฎหมายกำหนด นอกจากนี้หากเรามีแผนการย้ายโกดังไปที่อื่นแล้วเราก็สามารถปล่อยให้เช่าโกดังเดิมเพื่อทำกำไรได้แบบไม่เสียเปล่า และยังช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจเพิ่มเติมด้วยเหมือนกัน

ด้านการเช่าโกดัง ในการเช่าโกดังก็จะเหมาะกับธุรกิจที่กำลังเริ่มต้นหรือในระดับของ SME เพราะการลงทุนทำโกดังสำหรับธุรกิจขนาดเล็กเลยอาจจะเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินไปหน่อยเนื่องจากว่าทุนอาจจะไม่พร้อมเลยต้องเลือกการเช่าแทน

แต่ในการเช่าข้อดีก็มีเยอะแยะมากมายเช่นทั้งการย้ายโกดังสะดวก เลือกทำเลได้ง่าย แต่ข้อเสียเองก็ต้องคำนึงด้วยเหมือนกันว่าคุ้มหรือไม่เนื่องจากมันจะมีค่าใช้จ่ายที่จุกจิกพอสมควรทั้งจ่ายรายเดือน ค่าน้ำค่าไฟ บางแห่งอาจจะไม่มีกล้องวงจรปิดรักษาความปลอดภัยให้อีกเราก็ต้องติดเอง หากเจอที่ใหม่สะดวกกว่าการจะฉีกสัญญาก็ไม่คุ้ม เป็นต้น

หากเพื่อนๆ ต้องการสร้างโกดังหรือเช่าโกดังแนะนำลองอ่านบทความนี้ได้เลย

ประเภทของโกดังสินค้ามีอะไรบ้าง ?

หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับโกดังหรือคลังสินค้าในลักษณะอื่นๆ เท่าไหร่นอกจากการเก็บของที่ผลิตมาไว้แล้ว แต่จริงๆ มันยังมีโกดังที่สำหรับเก็บสินค้าชนิดอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน เรามาดูกันดีกว่าว่าจริงๆ โกดังหรือคลังสินค้ามีกี่ประเภท อะไรบ้าง

1. โกดังสินค้าทั่วไป

โกดังสินค้าทั่วไปก็เป็นตามชื่อเลยคือเก็บสินค้าทั่วไปทุกชนิดที่ไม่จำเป็นจะต้องได้รับการดูแลแบบเฉพาะเท่าไหร่นัก อาทิเช่น โกดังเก็บสินค้าแฟชั่น ของใช้ทั่วไป ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป อุปกรณ์สินค้าไอที อาหารแห้งต่างๆ เป็นต้น

2. โกดังเก็บของสด

โกดังชนิดนี้จะต้องมีการควบคุมดูแลรวมถึงการก่อสร้างเป็นพิเศษ เพราะด้วยสินค้าหรือวัสดุดิบที่เป็นของสดจำเป็นจะต้องใช้โกดังที่มีการควบคุมอุณหภูมิเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้สินค้าหรือวัตถุดิบเสียหาย นอกจากนี้ยังจำเป็นจะต้องมีระบบการทำความสะอาดที่ดีเพื่อไม่ให้สินค้าเกิดการปนเปื้อนอีก สำหรับโกดังรูปแบบนี้จะเหมาะกับสินค้าในกลุ่มของสด เนื้อสัตว์ ผลไม้ อาหารทะเล และสินค้าอื่นๆ ที่จำเป็นจะต้องมีการควบคุมอุณหภูมิ

3. โกดังสินค้าอันตราย

โกดังสินค้าอันตรายเป็นโกดังอีกรูปแบบหนึ่งที่ต้องมีการดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด มีกฎระเบียบที่ต้องครอบคลุมทุกด้าน อย่างที่เรารู้ว่าโกดังสินค้าอันตรายมักจะเก็บสินค้าจำพวกสารเคมี สารไวไฟ วัตถุที่ทำให้เกิดระเบิดได้ เชื้อเพลิงต่างๆ ด้วยความอันตรายขนาดนี้จำเป็นจะต้องมีการจัดเก็บอย่างถูกต้องและเป็นไปตามกฎหมาย และต้องมีการได้รับอนุญาตจากหน่วยงานทางราชการในการจัดเก็บอีกด้วยv

4. โกดังสินค้าพิเศษ

โกดังสินค้าแบบพิเศษอาจจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่ากับโกดัง 3 ลักษณะแรก โดยโกดังสินค้าพิเศษนั้นมักจะใช้เก็บสินค้าที่มีมูลค่าสูง สินค้าที่มีความอ่อนไหวและเกิดความเสียหายได้ง่ายเช่น เก็บยาเวชภัณฑ์ต่างๆ สารพิษ สารเคมีที่ต้องควบคุมแบบพิเศษ บางครั้งอาจจะต้องมีการควบคุมอุณหภูมิเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับสินค้า ขึ้นอยู่กับว่าใช้เก็บสินค้าใด

ประโยชน์ของโกดังหรือคลังสินค้าในด้านธุรกิจ

โกดังหรือคลังสินค้าบางคนอาจจะไม่ได้คิดว่าจะมีผลต่อธุรกิจอะไรขนาดนั้น แต่ความจริงแล้วโกดังสินค้ามีบทบาทกับธุรกิจมากพอสมควร ทั้งการรักษาความปลอดภัยให้กับสินค้า การช่วยให้ธุรกิจของคุณไม่สะดุดในด้านการขนส่งและการส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้า รวมถึงด้านอื่นๆ อีกมากมาย และนี่คือประโยชน์ของโกดังสินค้าต่อธุรกิจของคุณ

1. เก็บรักษาสินค้าให้ปลอดภัย

ข้อนี้เชื่อว่าหลายๆ คนทราบกันดีอยู่แล้วว่าโกดังสินค้าที่เราสร้างขึ้นมาหรือเช่านั้นช่วยในการเก็บรักษาสินค้าให้ปลอดภัย รักษาสินค้าให้อยู่ในสภาพดีที่สุดและไม่ให้เกิดความเสียหายต่อสินค้าที่อาจจะเกิดขึ้นกับปัจจัยต่างๆ ได้

2. ช่วยในด้านการผลิต

โกดังเป็นที่เก็บได้ทั้งตัวสินค้าและวัตถุดิบซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่ว่าธุรกิจของคุณจะใช้โกดังด้วยวัตถุประสงค์ใด โดยสาเหตุที่โกดังช่วยในด้านการผลิตได้นั้นก็เพราะว่าโกดังสามารถเป็นที่เก็บวัตถุดิบต่างๆ ที่ใช้สำหรับการผลิตสินค้าเพื่อไม่ให้เกิดการสะดุดในด้านการผลิตและเพิ่มความไหลลื่นในการผลิตสินค้าได้ด้วย หรือบางครั้งโกดังเองก็มีบทบาทในด้านการพักวัตถุดิบที่ผลิตได้จากขั้นตอนแรกเพื่อส่งไปผลิตสู่ขั้นต่อไปในอนาคตได้ด้วยเหมือนกัน ทำให้โกดังเองก็มี

3. วิเคราะห์ความสามารถการขาย

เราอาจจะไม่ได้คิดว่าตัวคลังสินค้าสามารถวิเคราะห์ยอดขายได้ด้วยเหมือนกัน โดยบริษัทใหญ่ๆ จะมีการวิเคราะห์ “Inventory Turnover” เพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลังและมันก็สามารถบ่งบอกได้ถึงยอดขาย รวมถึงยังบ่งบอกถึงเรื่องสินค้าตัวไหนขายดีหรืออัตราการหมุนเวียน การผลิตต่ำได้ด้วย ทำให้เราเอาข้อมูลส่วนนี้ไปวิเคราะห์ต่อยอดในด้านการขายได้ในอนาคต

4. เพิ่มความสะดวกในการขนส่งสินค้า

“ทำเลที่ดีย่อมทำให้เกิดความได้เปรียบในการขาย” คำๆ นี้ไม่ได้ใช้เฉพาะในด้านทำเลการขายอย่างเดียวเท่านั้น แต่สามารถใช้กับเรื่องโกดังสินค้าได้ด้วยเหมือนกัน ยิ่งเราเลือกทำเลที่มีศักยภาพและสอดคล้องกับตัวธุรกิจทำให้เราสามารถขนส่งเข้า – ออกได้อย่างสะดวกรวดเร็วมากขึ้นและประหยัดต้นทุนในด้านการจัดส่งอีกด้วย ทำให้เราได้เปรียบกับคู่แข่งรายอื่นๆ ดังนั้นโกดังเองก็มีส่วนสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในด้านดีด้วยเหมือนกันหากมีการวางแผนที่รอบคอบมากพอ

5. ป้องกันการขาดแคลนสินค้า

โกดังสินค้านอกจากจะไว้พักสินค้าหรือวัตถุดิบแล้ว ยังสามารถทำเป็นสต็อกสินค้าสำรองสินค้าได้อีกด้วยหากเราคาดการณ์ได้ว่าวัตถุดิบที่เราใช้ผลิตหรือสินค้าที่เราขายจะมีการขาดแคลนในอนาคต เราก็สามารถสั่งซื้อสินค้ามาสำรองไว้ที่คลังและบริหารให้เหมาะสมเพื่อในระหว่างที่สินค้าขาดแคลนเราก็ยังสามารถจัดจำหน่ายสินค้าได้ตามปกติและไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจมากนัก ยิ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมผัก ผลไม้ หรือสินค้าประจำฤดูกาลก็ยิ่งต้องมีการวางแผนให้ดีและนับว่าโกดังสินค้าก็มีบทบาทในการช่วยเหลือทางด้านนี้ไม่น้อยเลย

สรุป

คลังสินค้าเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ประหยัดต้นทุน  เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต  และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้ และเป็นอีกหนึ่งตัวที่ส่งผลกระทบในด้านดีต่อธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าคุณจะสร้างโกดังหรือเช่าโกดังก็ล้วนแล้วส่งผลต่อธุรกิจทั้งนั้น

อย่างไรก็ตามในการสร้างโกดังเป็นของตัวเองก็มีข้อดีที่หลากหลายทั้งการควบคุมแบบเบ็ดเสร็จ ปรับแต่งเพิ่มเติมใดๆ กับการก่อสร้างก็ได้ หรือแม้กระทั่งการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับธุรกิจโดยการปล่อยเช่าก็ได้ด้วยเหมือนกัน


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

รู้จักกับเหล็ก ส่วนสำคัญของการก่อสร้าง

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ไม่ว่าจะอุตสาหกรรมไหน “เหล็ก” ก็มีความสำคัญทั้งสิ้น เราใช้เหล็กในการผลิตรถไฟ รถยนต์ สะพาน ตึก และอื่น ๆ อีกมากมาย เหล็กมีความแข็งแรงและคงทนต่อการกัดกร่อนได้ดี ทำให้มันถูกเอามาใช้อย่างแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการการก่อสร้างที่เหล็กจะเป็นวัสดุสำคัญมากในการสร้างสิ่งต่างๆ แล้วเหล็กมีอะไรบ้าง สำคัญยังไง ?

ประเภทและลักษณะของเหล็ก

เหล็กสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือเหล็กและเหล็กกล้า โดยทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกันทั้งด้านความคงทนและด้านอื่นๆ

เหล็ก เป็นโลหะชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ตามธรรมชาติทั่วไป พบได้มากบริเวณที่ราบสูงและแหล่งที่เป็นภูเขาซึ่งเหล็กจะอยู่ในรูปแบบของสินแร่ที่จะมีสิ่งอื่นๆ ปะปนรวมถึงหิน และการจะนำเหล็กมาใช้นั้นต้องผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “การถลุง” โดยการถลุงจะใช้ความร้อนสูงเพื่อหลอมเหลวเหล็กและแยกแร่ธาตุอื่นๆ ที่ไม่ต้องการออกไป เพื่อให้ได้เหล็กที่บริสุทธิ์และสามารถนำมาใช้ประโยชน์กับอุตสาหกรรมอื่นๆ ต่อไป

เหล็กกล้า เป็นเหล็กอีกหนึ่งชนิดที่มีส่วนประกอบของแร่ธาตุอื่นๆ ไว้ด้วยกัน โดยหลักๆ แล้วเหล็กกล้าก็จะมีธาตุเหล็ก คาร์บอน แมงกานีส ซิลิกอน และธาตุอื่นๆ ผสมเล็กน้อย นอกจากนี้ด้วยการผสมที่หลากหลายทำให้เหล็กกล้ามีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับว่าจะมีการผสมธาตุไหนมากน้อย เช่น เหล็กกล้ามีความแข็งแรง เพิ่มความทนทานให้กับเหล็กกล้า หรือแม้กระทั่งเหล็กกล้าแบบกันสนิม เป็นต้น

ประเภทของเหล็ก

เหล็กหล่อ (Cast Iron)

เป็นวัสดุที่ผลิตโดยการหล่อโลหะเหล็กลงในแบบพิเศษ การผลิตเหล็กหล่อมักเริ่มจากการเผาหลอมเหล็กในที่ที่มีอุณหภูมิสูง โดยที่มีการเพิ่มส่วนผสมของวัสดุเสริมเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติของเหล็กหล่อ เช่น การเพิ่มคาร์บอน, ซิลิกอน, หรือแมงกานีส ทำให้เหล็กหล่อมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากเหล็กทั่วไป เช่น มีความแข็งแรงและทนทานต่อการแตกร้าวมากกว่า

1. เหล็กหล่อขาว (White Cast Iron) มีความแข็งแรงและทนทานสูง แต่มีความหนาแน่นสูง ใช้ในงานที่ต้องการความแข็งแรงสูง

2. เหล็กหล่อดำ (Gray Cast Iron) แต่มีลักษณะเป็นสีเทา มีความเหนียวและทนทานต่อแรงกดดี เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความทนทานและความเสียหายจากแรงกระแทก

3. เหล็กหล่ออ่อน (Malleable Cast Iron) เหล็กหล่อที่ผ่านการปรับปรุงด้วยกระบวนการอ่อนตัวเหล็กหล่อ มีความสามารถในการยืดหยุ่นมากขึ้นและมีความทนทานสูง ใช้ในงานที่ต้องการความยืดหยุ่น

ประเภทของเหล็กกล้า

เหล็กกล้ามีหลายประเภท  แต่ละประเภทมีสัดส่วนของธาตุผสม  คุณสมบัติ  และการใช้งานที่แตกต่างกัน  โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

– เหล็กกล้าคาร์บอน (Carbon steel) มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลัก ราคาถูก ขึ้นสนิมง่าย เหมาะกับงานโครงสร้างทั่วไป เช่น โครงสร้างอาคาร รั้วเหล็ก

– เหล็กกล้าผสม (Alloy steel) มีธาตุอื่นๆ ผสมนอกเหนือจากคาร์บอน เช่น แมงกานีส โครเมียม นิกเกิล ฯลฯ มีความแข็งแรง ทนทานต่อการสึกหรอ ทนทานต่อสนิม เหมาะกับงานที่ต้องการความทนทานสูง เช่น เครื่องจักรกล ชิ้นส่วนยานพาหนะ อาวุธ

– เหล็กกล้าไร้สนิม (Stainless steel) มีโครเมียมเป็นองค์ประกอบหลัก ทนทานต่อสนิม เหมาะกับงานที่ต้องการความสะอาด ถูกสุขอนามัย เช่น เครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ครัว เครื่องกรองน้ำ

– เหล็กกล้าต้านทานความร้อน (Heat-resistant steel) ทนทานต่ออุณหภูมิสูง เหมาะกับงานที่ต้องสัมผัสความร้อน เช่น เตาเผา หม้อไอน้ำ เครื่องยนต์

สรุป

เหล็กก็ยังเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเกือบทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการก่อสร้างที่จะต้องมีเหล็กเป็นองค์ประกอบที่สำคัญไม่แพ้กับสิ่งอื่นๆ นอกจากนี้คุณสมบัติของเหล็กก็มีให้เลือกหลากหลายตามความเหมาะสม และมีเหล็กหลายรูปแบบที่มีความแตกต่างกันและสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ นอกจากนี้สิ่งที่ต้องคำนึงอีกอย่างคือคุณภาพของเหล็กที่แม้จะขึ้นชื่อว่าเหล็กเหมือนกัน แต่ความคงทนหรือคุณภาพการใช้งานก็จะมีความแตกต่างกันด้วย


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

สถาปัตยกรรมคืออะไร สำคัญอย่างไรกับการก่อสร้าง

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

สถาปัตยกรรมเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้สิ่งใดในด้านการก่อสร้าง เพราะหากคุณต้องการสร้างตึก อาคาร หรือสิ่งก่อสร้างใดๆ ก็ตาม ก็จะต้องเริ่มต้นจากเรื่องสถาปัตยกรรมก่อนเสมอ เพื่อนๆ อาจจะสงสัยว่าแล้วสถาปัตยกรรมมันเกี่ยวอะไรกับการก่อสร้างด้วย งั้นเรามาทำความรู้จักกับเรื่องสถาปัตยกรรมก่อนดีกว่า

สถาปัตยกรรมคืออะไร ?

สถาปัตยกรรมครอบคลุมการออกแบบ การวางแผน และการก่อสร้างอาคารและโครงสร้างทางกายภาพอื่นๆ โดยเกี่ยวข้องกับทั้งแง่มุมด้านสุนทรีย์และการใช้งานในการสร้างพื้นที่ที่ตอบสนองความต้องการต่างๆ ของมนุษย์ ตั้งแต่บ้านพักอาศัยไปจนถึงอาคารพาณิชย์

และจากโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะไปจนถึงภูมิทัศน์ สถาปนิกพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น สุนทรียภาพ ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม บริบททางวัฒนธรรม ผลกระทบทางสังคม และความเป็นไปได้ทางเทคนิคเมื่อออกแบบโครงสร้าง สถาปัตยกรรมผสมผสานศิลปะและวิทยาศาสตร์ โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ความรู้ด้านเทคนิค และทักษะการปฏิบัติ เพื่อสร้างพื้นที่ที่มีทั้งรูปลักษณ์ที่น่าดึงดูดและใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้

สถาปัตยกรรมมีกี่แบบ

หลักๆ สถาปัตยกรรมที่สามารถแบ่งออกได้เป็น 10 แบบใหญ่ๆ คือ

1. สถาปัตยกรรมทางด้านอาคาร เป็นการออกแบบบ้านและอาคาร รวมถึงโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับอาคารเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้สร้างทั้งในแง่ของการใช้งานและความสุนทรียภาพ

2. สถาปัตยกรรมทางด้านผังเมือง เป็นอีกสถาปัตยกรรมอีกหนึ่งแบบที่มีความสำคัญต่อภาพรวมในระดับประเทศมาก และเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างและพัฒนาเมืองให้มีความสอดคล้องและมีประสิทธิภาพ ต้องมีการคำนึงถึงหลายๆ ด้านทั้งแง่การใช้งาน ประสิทธิภาพ เศรษฐกิจ การวางระบบสาธารณูปโภค

3. สถาปัตยกรรมด้านอุตสาหกรรม ในด้านนี้จะประกอบไปด้วยหลายๆ ด้านเช่น นักออกแบบรถยนต์ ออกแบบเสื้อผ้า หรือสิ่งของใกล้ตัวต่างๆ นับเป็นอีกหนึ่งแบบที่มีความหลากหลายทางด้านการออกแบบมาก 

4. สถาปัตยกรรมเชิงพาณิชย์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการออกแบบอาคารเพื่อวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์ เช่น สำนักงาน ร้านค้าปลีก ร้านอาหาร โรงแรม และห้างสรรพสินค้า สถาปนิกเชิงพาณิชย์มักพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น การสร้างแบรนด์ ประสบการณ์ของลูกค้า และการใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ

5. สถาปัตยกรรมสถาบัน เกี่ยวข้องกับการออกแบบอาคารสำหรับการใช้งานสาธารณะและสถาบัน รวมถึงโรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล อาคารของรัฐ ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ และโครงสร้างทางศาสนา

6. ภูมิสถาปัตยกรรม เกี่ยวข้องกับการออกแบบพื้นที่กลางแจ้ง สวนสาธารณะ สวน พลาซ่าในเมือง และพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ ภูมิสถาปนิกพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ภูมิประเทศ พืชพรรณ ภูมิอากาศ และปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์เมื่อสร้างสภาพแวดล้อมกลางแจ้ง

7. สถาปัตยกรรมภายใน มุ่งเน้นไปที่การออกแบบพื้นที่ภายในภายในอาคาร รวมถึงการจัดวาง การตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ แสงสว่าง และการวางแผนเชิงพื้นที่ สถาปนิกภายในมุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมภายในที่ใช้งานได้จริง มีความสวยงาม และสะดวกสบาย

8. สถาปัตยกรรมที่ยั่งยืน มุ่งเน้นไปที่การสร้างอาคารและโครงสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน สถาปนิกที่ยั่งยืนผสมผสานหลักการของการออกแบบสีเขียว พลังงานหมุนเวียน การออกแบบการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และวัสดุที่ยั่งยืนเข้าไว้ในโครงการเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

9. การอนุรักษ์และการฟื้นฟูประวัติศาสตร์ เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการนำอาคารประวัติศาสตร์ สถานที่สำคัญ และมรดกทางวัฒนธรรมกลับมาใช้ใหม่โดยปรับเปลี่ยนได้ สถาปนิกอนุรักษ์ประวัติศาสตร์มุ่งหวังที่จะปกป้องและรักษาความสมบูรณ์ทางประวัติศาสตร์ของอาคารในขณะเดียวกันก็ปรับให้เข้ากับการใช้งานร่วมสมัย

10 . สถาปัตยกรรมเฉพาะทาง รวมขอบเขตการปฏิบัติทางสถาปัตยกรรมเฉพาะที่เน้นประเภทอาคารหรือฟังก์ชันเฉพาะ เช่น สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการดูแลสุขภาพ วิทยาเขตการศึกษา ศูนย์กีฬา ศูนย์กลางการคมนาคม และสถานบันเทิง

สไตล์สถาปัตยกรรมสำหรับอาคาร

รูปแบบสถาปัตยกรรมสำหรับอาคารครอบคลุมแนวทางการออกแบบที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละแนวทางสะท้อนถึงบริบททางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และภูมิภาคที่เกิดขึ้น นอกจากนี้การออกแบบสถาปัตยกรรมสำหรับอาคารอีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องความสวยงามที่จะช่วยสร้างสุนทรียภาพในระหว่างที่เราใช้งานอาคารได้ด้วย สำหรับสไตล์สถาปัตยกรรมยอดนิยม 7 อย่างมีดังนี้

1. สไตล์โมเดิร์น แม้ว่าจะมีต้นกำเนิดในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แต่แบบสไตล์โมเดิร์นยังคงมีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมร่วมสมัย เส้นสายที่สะอาดตา ความเรียบง่าย และการเน้นการใช้งานเป็นลักษณะเฉพาะของอาคารสมัยใหม่ โดยเฉพาะการตกแต่งภายในที่จะทำให้ดูสะอาด สบายตา และสร้างบรรยากาศที่ดีในการอยู่อาศัยได้

2.สไตล์มินิมอล เน้นรูปแบบที่เรียบง่าย เส้นสายที่สะอาดตา และการเน้นพื้นที่เปิดโล่ง มีการลดรายละเอียดต่างๆ ของบ้านที่ไม่จำเป็นออกไป ส่วนมากแล้วถ้ามองจากภายนอกบ้านสไตล์มินิมอลมักจะเป็นทรงเรขาคณิตอย่างสี่เหลี่ยมมากกว่า นอกจากนี้ตัววัสดุที่ใช้สำหรับทำบ้านก็จะไม่ใช้วัสดุที่หลากหลายมากเกินไป ตามคำที่คนมักพูดว่า “บ้านสไตล์มินิมอล น้อยแต่มาก” เน้นโชว์เนื้อแท้ๆ ของวัสดุและเรียบง่ายมากที่สุด

3. สไตล์ร่วมสมัย เป็นแบบบ้านที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเป็นการผสมผสานวัฒนธรรมระหว่างอดีตกับปัจจุบันเข้าด้วยกันจนออกมาเป็นบ้านที่สวยงาม เรียบง่าย ไม่ได้มีความหรูหราหรือดูเก่าแก่จนเกินไป เรียกได้ว่าเป็นแบบบ้านที่ไม่มีตกยุค และตัวบ้านจะค่อนข้างมีมิติพอสมควร

4. บ้านสไตล์เนเชอรัล เป็นบ้านที่ให้ความรู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด เนื่องจากวัสดุส่วนมากจะใช้วัสดุจากธรรมชาติอย่างไม้มาเป็นวัสดุหลัก รวมถึงดีไซน์ของบ้านจะเน้นไปทางสบายๆ เปิดโล่ง ใช้สีเอิร์ธโทนที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ การสร้างบ้านสไตล์เนเชอรัลจะนิยมสร้างในแถบที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากกว่าเช่น สร้างในพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับป่าหรือเขา เป็นต้น

5. บ้านสไตล์คลาสสิก บ้านสไตล์คลาสสิกได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมประเพณีในยุคอดีต โดยเฉพาะจากยุคกรีกโบราณ โรม และยุโรป มักจะสื่อถึงความสง่างาม ความสมมาตร และความอมตะที่ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยมันก็ยังมีความสวยงามในแบบของตัวเอง โดยบ้านสไตล์นี้จะให้ความรู้สึกดูดีมีฐานะ เรียบหรู

6. บ้านสไตล์ลอฟท์ บ้านสไตล์ลอฟท์มีเอกลักษณ์เฉพาะด้วยผังแบบเปิด สุนทรียศาสตร์แบบอุตสาหกรรม และการนำพื้นที่อุตสาหกรรมหรือเชิงพาณิชย์กลับมาปรับปรุงรีโนเวทสร้างเป็นบ้านขึ้นมา บ้านสไตล์ลอฟท์มีต้นกำเนิดมาจากโกดัง โรงงาน และอาคารอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่รีโนเวทแล้วนำกลับมาทำเป็นบ้าน ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในเขตเมือง ด้วยลักษณะของตัวบ้านที่แสดงให้เห็นถึงความดิบของวัสดุในการก่อสร้างบ้าน ทำให้มันมีความสวยงามและมีสเน่ห์ในแบบของสไตล์ลอฟท์เอง

7. บ้านสไตล์ลักชัวรี่ บ้านสไตล์หรูหราโดดเด่นด้วยความหรูหรา ความประณีต และความใส่ใจในรายละเอียด บ้านเหล่านี้มักประกอบด้วยวัสดุระดับไฮเอนด์ งานฝีมืออันวิจิตรประณีต และสิ่งอำนวยความสะดวกหรูหราที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้พักอาศัยได้รับความสะดวกสบายมากที่สุด และบ้านแบบนี้ส่วนมากแล้วหากเทียบกับบ้านสไตล์อื่นๆ ถือว่ามีค่าใช้จ่ายสูงที่สุด

สรุป

สถาปัตยกรรมเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยกำหนดสิ่งต่างๆ ก่อนที่จะเริ่มทำ เริ่มสร้าง ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ของใช้ สิ่งของต่างๆ ก็ล้วนแล้วมีเรื่องสถาปัตยกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งนั้น เพราะมันจะเป็นตัวช่วยกำหนดรูปแบบให้ออกมาเป็นรูปแบบที่เราต้องการ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการสร้างบ้านที่จะต้องมีการออกแบบเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ของบ้านได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงมีความน่าอยู่เพราะหากสร้างออกมาแล้วตัวบ้านให้บรรยากาศที่เราไม่ชอบก็จะทำให้เราไม่อยากอยู่อาศัยและส่งผลต่อจิตใจด้วยเช่นกัน ดังนั้นสถาปัตยกรรมก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้และต้องมาควบคู่กันเมื่อคุณต้องการจะสร้างบ้านสักหลังเป็นของตัวเอง


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

6 สิ่งที่ต้องมีเมื่อคุณมีโกดังเป็นของตัวเอง

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

โกดังสินค้าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีความสำคัญต่อทุกธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีสินค้าเป็นปริมาณมากก็จำเป็นจะต้องมีโกดังเป็นของตัวเองเพื่อกระจายสินค้าไปยังพื้นที่ต่างๆ ในการจัดจำหน่ายหรือส่งต่อให้กับผู้ค้าส่ง ในการทำโกดังหรือเช่าโกดังนั้นก็ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องสำหรับการจัดเก็บสินค้าให้ปลอดภัยอย่างเดียวเท่านั้น

แต่มันยังครอบคลุมเรื่องอื่นๆ อีกด้วยเช่น การสนับสนุนทางด้านการผลิต การประหยัดต้นทุนค่าจัดส่ง ช่วยขยายธุรกิจ และอื่นๆ อีกมากมาย เราจะเห็นได้ว่าโกดังสินค้านั้นมีความสำคัญมากต่อบทบาทของธุรกิจและเราจะต้องดูแลมันให้เหมือนกับธุรกิจของเรา และนี่คือ 6 สิ่งที่ต้องมีหากคุณสร้างโกดังหรือเช่าโกดดังเป็นของตัวเอง

ก่อนจ้างผู้รับเหมาก่อสร้าง ต้องรู้อะไรบ้าง

1. ระบบรักษาความปลอดภัย

ข้อนี้จำเป็นอย่างมากสำหรับโกดังสินค้า และเป็นข้อที่เราสามารถทำได้ง่ายที่สุดโดยในปัจจุบันกล้องวงจรปิดมีให้เลือกมากมายหลายแบบและไม่ได้มีราคาแพงเหมือนกับสมัยก่อน นอกจากนี้ตัวกล้องวงจรปิดเองก็มีฟีเจอร์ให้เลือกหลากหลายให้เหมาะสมกับประเภทโกดังของเราได้ด้วย

สาเหตุที่เราต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยก็เพื่อป้องกันการโจรกรรมสินค้าที่อยู่ในคลัง การสูญหายหรืออุบัติเหตุที่จะทำให้เกิดความเสียหาย นอกจากนี้ยังช่วยคุ้มครองพนักงานประจำโกดังสินค้าเราได้อีกด้วยหากเกิดเหตุไม่คาดฝันหรือมีผู้บุกรุก ดังนั้นระบบการรักษาความปลอดภัยเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ควรมีเป็นอย่างยิ่งหากคุณมีการเช่าหรือสร้างโกดังเป็นของตัวเอง

2. อุปกรณ์ดับเพลิง ระบบดับเพลิง

ในการก่อสร้างอาคารหรือสิ่งก่อสร้างต่างๆ ก็จำเป็นจะต้องมีอุปกรณ์ดับเพลิงหรือระบบดับเพลิงตามมาตรฐานของกฎหมายไทย เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันจะได้ระงับเหตุได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้หากเกิดเหตุเพลิงไหม้แล้วเรามีระบบดับเพลิงที่ดีก็อาจจะช่วยลดการเสียหายของสินค้าได้ด้วยเหมือนกัน สำหรับอุปกรณ์และระบบดับเพลิงเบื้องต้นมีดังนี้

  • ถังดับเพลิง
  • ระบบฉีดน้ำจากหลังคา
  • ระบบดับเพลิงแบบแก๊ส
  • ระบบหัวจ่ายน้ำ

สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ดับเพลิงทั้งหมดในโกดังของคุณได้รับการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอและพนักงานได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับวิธีใช้  คุณควรมีแผนฉุกเฉินสำหรับเหตุการณ์เพลิงไหม้ ซึ่งรวมถึงวิธีการอพยพพนักงานและติดต่อหน่วยดับเพลิง

3. ชั้นวางของในโกดัง

ชั้นวางของในโกดังมีบทบาทสำคัญต่อการจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ  ช่วยให้จัดเก็บสินค้าได้อย่างเป็นระเบียบ ปลอดภัย และหยิบจับได้ง่าย  ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจหลายประการ

  • เพิ่มพื้นที่จัดเก็บ ชั้นวางของช่วยให้ใช้พื้นที่แนวตั้งในโกดังได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เพิ่มพื้นที่จัดเก็บสินค้าโดยไม่ต้องขยายพื้นที่โกดัง  ช่วยให้ประหยัดทั้งพื้นที่และค่าใช้จ่าย
  • จัดการสินค้าคงคลังได้ง่าย ชั้นวางของช่วยให้จัดระเบียบสินค้าตามประเภท ขนาด หรือความถี่ในการหยิบใช้  ทำให้พนักงานค้นหาและหยิบสินค้าได้รวดเร็วและง่ายดาย  ลดข้อผิดพลาดในการหยิบสินค้าผิด  ช่วยให้กระบวนการทำงานราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
  • ปกป้องสินค้า ชั้นวางของช่วยป้องกันสินค้าจากความเสียหาย  ฝุ่นละออง แมลงศัตรูพืช และความชื้น  ชั้นวางที่แข็งแรงและมั่นคง  ช่วยป้องกันสินค้าไม่ให้ล้มหรือพังทลาย
  • เพิ่มความปลอดภัย ชั้นวางของที่จัดวางอย่างถูกต้อง  ช่วยให้ทางเดินในโกดังโล่งและปลอดภัย  ลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับพนักงาน
  • ควบคุมสินค้าคงคลัง ชั้นวางของบางประเภทมีระบบติดตามสินค้าคงคลัง  ช่วยให้ติดตามสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์  ทราบจำนวนสินค้าที่เหลือ  และสั่งซื้อสินค้าใหม่ได้ทันเวลา  ช่วยป้องกันสินค้าหมดสต็อก

4. อุปกรณ์จัดการสินค้า

หากโกดังสินค้าของคุณมีขนาดใหญ่สิ่งที่จะช่วยให้พนักงานของคุณสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วก็จำเป็นจะต้องมีอุปกรณ์จัดการสินค้าเช่น สินค้าที่มีน้ำหนักมากการจะใช้คนก็อาจจะไม่เหมาะสม เราจำเป็นจะต้องมีรถโฟลคลิฟท์หรือรถพาเลทที่คอยเคลื่อนย้ายสินค้าไปถ่ายที่รถหรือเคลื่อนย้ายได้อย่างสะดวก หรืออาจจะมีรถเข็นสำหรับอำนวยความสะดวกให้กับพนักงานในการขนย้ายถ่ายสินค้า

ประเภทของอุปกรณ์จัดการสินค้าที่คุณต้องการสำหรับคลังสินค้าของคุณจะขึ้นอยู่กับขนาด ประเภทธุรกิจและชนิดสินค้า เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานภายในโกดังของคุณและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานภายในโกดังได้ด้วย

5. ระบบไฟฟ้าของโกดัง

ระบบไฟฟ้าในโกดังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานที่ราบรื่นและปลอดภัย  ระบบไฟฟ้าที่ออกแบบและติดตั้งอย่างเหมาะสมจะช่วยให้มั่นใจได้ว่ามีแสงสว่างเพียงพอสำหรับการทำงาน อุปกรณ์ไฟฟ้าทำงานได้อย่างถูกต้อง และสินค้าคงคลังปลอดภัยจากอันตรายจากไฟฟ้า

ระบบไฟฟ้าในโกดังควรได้รับการบำรุงรักษาเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ  การบำรุงรักษารวมถึงการตรวจสอบสายไฟ เต้ารับ โคมไฟ และอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ และการลงทุนในระบบไฟฟ้าที่มีคุณภาพสูงสำหรับโกดังของคุณ  ช่วยให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจของคุณทำงานได้อย่างราบรื่น ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ

6. อุปกรณ์พื้นฐานในการทำงาน

ปัจจุบันพวกอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ก็เข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้นและมันยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพรวมถึงความสะดวกสบายในการทำงานของพนักงานได้ไม่น้อย ดังนั้นโกดังหรือคลังสินค้าของเราก็จะต้องมีอุปกรณ์ทำงานพื้นฐานอาทิเช่น อุปกรณ์สำนักงานต่างๆ คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต โต๊ะ เก้าอี้ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็นต่อการทำงานของพนักงานของคุณ

สรุป

6 สิ่งเหล่านี้ก็จัดว่าเป็นพื้นฐานของโกดังสินค้า ไม่ว่าคุณจะเช่าหรือสร้างโกดังสินค้าเป็นของตัวเองก็ต้องทำเรื่องเหล่านี้ทั้งนั้น รวมถึงมันต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่จะใช้ในคลังสินค้าของเราด้วย อย่างไรก็ตามธุรกิจก็ไม่ได้เหมือนกันทั้งหมดดังนั้นก็ต้องมาดูอีกว่ามีสิ่งอื่นอีกหรือไม่ที่จำเป็นต่อโกดังสินค้าของเรา


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ผู้รับเหมาก่อสร้าง ทำอะไรบ้าง

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ในการก่อสร้างสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน อาคาร ถนน ในการสร้างเราก็ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว จำเป็นจะต้องมีทีมและคนในการปฏิบัติงานเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง ซึ่งสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือ “ผู้รับเหมาก่อสร้าง” ที่จะช่วยให้งานสำเร็จลุล่วง ไม่ว่าบริษัทที่ใหญ่แค่ไหนหรือจะสร้างอะไรก็ตามก็ต้องล้วนแล้วแต่มีการจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างทั้งนั้น ซึ่งหน้าที่ของผู้รับเหมาก่อสร้างก็แทบจะเรียกว่าสามารถทำจบได้ทั้งกระบวนการการก่อสร้างกันเลย เรามาดูหน้าที่ของผู้รับเหมาก่อสร้างกันดีกว่าว่าทำอะไรบ้าง

1. การจัดการโครงการ

การวางแผนและควบคุมการดำเนินงานตามเวลาและงบประมาณที่กำหนด เพื่อให้โครงการเสร็จสมบูรณ์ตรงตามข้อกำหนดระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยหลักๆ ส่วนนี้ในด้านของผู้รับเหมาก่อสร้างก็จะต้องมีระบบและกระบวนการการตรวจสอบควบคุมความก้าวหน้าของโครงการ ติดตามการทำงานของทีมงาน มีการกำหนดมาตรฐานในการดำเนินงาน การวิเคราะห์ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับหน้างานเพื่อที่จะได้รับมือกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจนทำให้เกิดอุบัติเหตุกับคนงานหรือเกิดความล่าช้าในการทำงาน รวมถึงมีการประเมินการก่อสร้างและวางแผนการปรับปรุงหากเกิดจุดที่มีความผิดพลาดขึ้น

2. การจัดหาวัสดุและควบคุมการสร้าง

การสั่งซื้อวัสดุที่จำเป็นในการก่อสร้าง และควบคุมการใช้วัสดุเหล่านั้นให้เหมาะสมกับความต้องการของโครงการ บางครั้งลูกค้าก็อาจจะไม่ได้มีสเปควัสดุที่ตายตัวทางผู้รับเหมาอาจจะต้องเป็นผู้จัดหาและส่งให้กับลูกค้าได้เป็นผู้พิจารณาวัสดุที่จะนำมาใช้สร้างบ้าน นอกจากนี้ทางฝั่งผู้รับเหมาเองหากได้รับการมอบหมายให้เป็นผู้จัดหาวัสดุในการสร้างบ้านก็จำเป็นจะต้องมีการจัดสรรให้พอเหมาะพอดี วัสดุในการสร้างบ้านไม่ขาดและไม่เกินเยอะมากเกินไป รวมถึงยังต้องมีการควบคุมราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพของวัสดุไม่ให้แพงกว่าตลาดและไม่ด้อยคุณภาพเกินไป

ทั้งนี้ผู้รับเหมาก็จะมีการทำบัญชีรายจ่ายเพื่อสำหรับการชี้แจงราคาของวัสดุต่างๆ ให้กับลูกค้าด้วยเหมือนกันเพื่อความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้หากในกรณีที่คาดว่าจะมีการทุจริตเกิดขึ้น แต่ในกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นน้อยมากกับผู้รับเหมาในนามนิติบุคคล

3. การจัดการแรงงาน

การจัดการแรงงานเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินโครงการก่อสร้าง โดยผู้รับเหมาจะต้องมีความสามารถในการจัดการแรงงานให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้โครงการเสร็จสมบูรณ์ตรงตามเวลาและตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการจัดสรรทางด้านทรัพยากรบุคคลที่เหมาะสมกับโครงการนั้นๆ ทั้งการหาช่างทำฝ้าเพดาน ช่างทำบันได ช่างฉาบ ช่างสี หรือบุคคลที่มีความสอดคล้องกับงานก่อสร้างเพื่อให้การก่อสร้างบรรลุวัตถุประสงค์ นอกจากนี้ผู้รับเหมาเองก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อแรงงานที่จัดสรรมาในทุกๆ ด้านทั้งด้านสวัสดิการต่างๆ การอบรม การดูแลความปลอดภัยอีกด้วย

การจัดการแรงงานให้มีประสิทธิภาพเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้โครงการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ตรงตามเวลาและตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การสร้างสภาพแวดล้อมทำงานที่ดีและการส่งเสริมความร่วมมือในทีมงานมีผลต่อผลการดำเนินงานในทางที่ดีและส่งผลดีต่อลูกค้าที่ได้ว่าจ้างผู้รับเหมาด้วย

4. การปฏิบัติงานก่อสร้าง

การดำเนินการตามแผนการก่อสร้างโครงการ รวมถึงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน สร้างอาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ปฏิบัติงานก่อสร้างเป็นหน้าที่หลักของผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยมุ่งเน้นให้โครงการเสร็จสมบูรณ์ตามแผนและมาตรฐานที่กำหนดไว้

โดยผู้รับเหมาจะต้องปฏิบัติตามแผนการงานและแบบบ้านที่กำหนดไว้ในสัญญา โดยคำนึงถึงการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐาน สร้างโครงสร้างหลัก และการสร้างสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ตามที่เหมาะสม และในการปฏิบัติงานก็จะต้องใช้วัสดุที่มีคุณภาพมีการควบคุมงานทุกขั้นตอนโดยวิศวกรเพื่อให้การก่อสร้างเป็นไปตามมาตรฐานมากที่สุด

นอกจากนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นต่างๆ ภายในไซต์งานทางผู้รับเหมาเองก็จะเป็นผู้จัดการและดูแลให้เพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามและทำให้การก่อสร้างมีปัญหา นอกจากนี้ทางผู้รับเหมาเองก็จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อบังคับทางกฎหมายทั้งกฎหมายสิ่งแวดล้อและกฎหมายแรงงาน เพื่อไม่ให้ลูกค้าของผู้รับเหมาเกิดปัญหาได้

5. การควบคุมคุณภาพ

การตรวจสอบและตรวจสอบคุณภาพของงานก่อสร้างก็เป็นอีกหนึ่งหน้าที่ของผู้รับเหมาก่อสร้างเพื่อให้แน่ใจว่างานถูกดำเนินการตามมาตรฐานที่กำหนดไว้และเป็นไปตามแบบแผนที่ลูกค้าได้นำเสนอหรือเราได้นำเสนอต่อลูกค้า และในการควบคุมคุณภาพของผู้รับเหมาก็เพื่อให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเพราะยิ่งไร้ข้อผิดพลาดมากเท่าไหร่ นั่นก็หมายถึงว่าค่าใช้จ่ายก็จะไม่เกินที่กำหนดเอาไว้ ดังนั้นผู้รับเหมาส่วนมากจึงมีความเข้มงวดในการก่อสร้างมากเป็นพิเศษ

6. การบำรุงรักษา

การตรวจสอบและตรวจสอบคุณภาพของงานก่อสร้างก็เป็นอีกหนึ่งหน้าที่ของผู้รับเหมาก่อสร้างเพื่อให้แน่ใจว่างานถูกดำเนินการตามมาตรฐานที่กำหนดไว้และเป็นไปตามแบบแผนที่ลูกค้าได้นำเสนอหรือเราได้นำเสนอต่อลูกค้า และในการควบคุมคุณภาพของผู้รับเหมาก็เพื่อให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเพราะยิ่งไร้ข้อผิดพลาดมากเท่าไหร่ นั่นก็หมายถึงว่าค่าใช้จ่ายก็จะไม่เกินที่กำหนดเอาไว้ ดังนั้นผู้รับเหมาส่วนมากจึงมีความเข้มงวดในการก่อสร้างมากเป็นพิเศษ

สรุป

ผู้รับเหมาก่อสร้างที่หลายคนคิดอาจจะไม่ได้มีการจำกัดความในเรื่องของแรงงานเพียงอย่างเดียว แต่ผู้รับเหมาจะต้องมีการดูแลลูกค้าให้ทุกขั้นตอนตั้งแต่การวางแผนการก่อสร้าง การจัดสรรแรงงานที่เหมาะสมกับการดำเนินโครงการ การจัดหาวัสดุ (หากลูกค้าต้องการให้จัดหาให้) รวมถึงมีการตรวจสอบและการดูแลบริการหลังการขายให้กับลูกค้า ซึ่งผู้รับเหมาก็มีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างบ้าน อาคาร ตึกต่างๆ และเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ที่ขาดผู้รับเหมาก่อสร้างไม่ได้เลยในปัจจุบัน


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

5 เรื่องที่เราต้องรู้ก่อนที่จะทำโกดังหรือเช่าโกดัง

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ในยุคนี้การขายของออนไลน์มีบทบาทอย่างมากในประเทศ และน่าจะมีการขยายตัวของตลาดอยู่เรื่อยๆ ซึ่งแต่ละวันก็จะมีพ่อค้าแม่ค้าหน้าใหม่เกิดขึ้นทุกวัน หรือมีกิจการที่ขายดีมากขึ้นก็จำเป็นจะต้องสต็อกของและไม่ใช่แต่เพียงพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เท่านั้นที่ต้องพิจารณาเรื่องโกดังสินค้า แต่ในระดับธุรกิจเองก็ต้องมีการทำโกดังสินค้าด้วยเหมือนกัน เรามาดูกันดีกว่าว่าก่อนที่เราจะเช่าหรือทำโกดังต้องรู้อะไรบ้าง

1. สถานที่ (Location)

สิ่งสำคัญอันดับแรกก่อนที่เราจะเริ่มทำโกดังสินค้าเป็นของตัวเองหรือจะเช่าโกดังก็ตาม เรื่องสถานที่เป็นสิ่งที่เราต้องพิจารณาอันดับแรกเพราะมันมีหลายปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจของเราสามารถดำเนินได้อย่างไม่มีติดขัด หลักๆ ประโยชน์ของสถานที่ในการเลือกสร้างหรือเช่าโกดังอาทิเช่น หากเราเลือกสถานที่ที่สามารถเชื่อมต่อกับการขนส่งที่หลากหลายได้ เช่น การขนส่งทางเรือ เครื่องบิน ขนส่งสาธารณะ ฯลฯ หากไม่สามารถเลือกสถานที่ใกล้ขนส่งเหล่านี้ก็อาจจะต้องพิจารณาในเรื่องเส้นทางการขนส่งอีกด้านหนึ่งด้วย

เรื่องสถานที่ในการจัดตั้งโกดังนั้นประโยชน์ของมันเยอะมากๆ ทั้งการส่งมอบสินค้าได้ทันเวลา สะดวกในการจัดส่ง แถมช่วยลดต้นทุนในการจัดส่งให้ถูกลงได้ด้วย

2. ต้นทุนของโกดัง

ต้นทุนของโกดังแบบเช่าหรือสร้างโกดังเองก็มีความแตกต่างกันไปซึ่งส่วนนี้เราต้องคิดให้รอบคอบ ในด้านของการที่เราเลือกทำโกดังสินค้าเองมันก็จะมีต้นทุนที่สูงกว่าเช่าอยู่แล้วอย่างที่หลายๆ คนทราบ แต่มันก็มีข้อดีตรงที่ว่ามีความยืดหยุ่นสามารถปรับแต่งโกดังได้ตามความต้องการของผู้สร้างเอง นอกจากนี้ยังไม่มีค่าสัญญาผูกมัดในการทำโกดัง และถ้าภายหลังเราต้องการย้ายโกดังเราก็สามารถเปลี่ยนสินทรัพย์ตรงนี้ไปให้เช่าเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมและเสริมสภาพคล่องเหมือนกับที่หลายๆ ธุรกิจทำ

ในด้านของการเช่าโกดังก็จะมีค่าใช้จ่ายไม่เยอะเท่ากับการสร้างโกดังก็จริง แต่มันจะมีรายจ่ายแบบยิบย่อยเพิ่มขึ้นมาเต็มไปหมดทั้งค่าน้ำค่าไฟ ค่าดูแลโกดัง ค่าพนักงานดูแล ค่าส่วนกลาง แถมบางครั้งก็ไม่มีโกดังที่ตรงกับความต้องการจริงๆ ของเราก็ทำให้เลือกไม่ได้ ดังนั้นระหว่างเช่าหรือสร้างโกดังสุดท้ายก็ต้องมาดูที่งบประมาณและแผนธุรกิจของเราด้วยเหมือนกันว่าแบบไหนเหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด

3. วางแผนการใช้งานโกดังให้ดี

ในด้านนี้ก็จำเป็นจะต้องวางแผนให้ดี เพราะถ้าหากเรามีความต้องการใช้งานโกดังแล้วเลือกขนาดที่ใหญ่หรือเล็กเกินไป ก็อาจจะทำให้เราต้องมีการลงทุนเพิ่มโดยใช่เหตุ เพราะถ้าเราทำโกดังเล็กเกินไปก็อาจจะรองรับสินค้าได้ไม่หมด และเราต้องเช่าโกดังเพิ่มเปลืองงบประมาณเข้าไปอีก

รวมถึงถ้าใหญ่เกินไปก็เป็นการลงทุนโดยเปล่าประโยชน์ ยกเว้นแต่ว่าแพลนในอนาคตอันใกล้อาจจะต้องใช้พื้นที่เยอะอันนั้นเราก็ไม่ว่ากัน ดังนั้นในการวางแผนทั้งสำหรับคนที่ต้องการสร้างโกดังสินค้าเป็นของตัวเองหรือต้องการเช่าก็จะต้องเลือกและวางแผนโกดังให้ดี

ส่วนนี้มันจะช่วยให้เราประหยัดงบประมาณไปได้เยอะพอสมควร ทางบ้านเพื่อนเองก็สามารถออกแบบโกดังสร้างโกดังสินค้าให้เหมาะสมกับงบประมาณของคุณได้ ทั้งการออกแบบตามงบประมาณ เลือกวัสดุที่ดีที่สุดในราคาคุ้มค่าที่สุด พร้อมทั้งให้คำแนะนำตลอดทั้งก่อนและหลังการทำงาน

4. ดูเรื่องความปลอดภัยของโกดัง

ปัญหาของโกดังหลายๆ แห่งไม่ว่าจะสร้างขึ้นเองหรือเช่าไว้สำหรับเก็บสินค้าล้วนแล้วแต่จะเจอปัญหาไม่ต่างกัน ส่วนมากแล้วมักจะพบเจอเรื่องสินค้าหายอยู่บ่อยๆ หรือถูกขโมยเข้ามาขโมยสินค้าในโกดังบ้างก็มี

ในจุดนี้ดูเหมือนว่าหลายธุรกิจก็ให้ความสำคัญไม่น้อยเพราะสินค้าบางชิ้นอาจจะมีมูลค่าสูง ดังนั้นเราจะต้องมีการพิจารณาเรื่องความปลอดภัยให้กับโกดังของเราด้วยเช่น การติดกล้อง CCTV หรือบางแห่งอาจจะลงทุนด้านเทคโนโลยีเพิ่มเติมโดยการใช้ระบบตรวจจับและแจ้งเตือน เมื่อพบคนที่เข้าไปพื้นที่ต้องห้าม หรือพบบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในโกดังโดยแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์หรืออีเมล

อีกเรื่องที่คุณต้องให้ความสำคัญคือการดูแลคลังสินค้าเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม เกิดเหตุเพลิงไหม้ หรือเหตุการณ์อะไรก็แล้วแต่ เราจำเป็นต้องมีแผนสำรองเพื่อรับมือสิ่งเหล่านี้ด้วย ฉะนั้นเรื่องความปลอดภัยของโกดังก็มีส่วนสำคัญต่อการพิจารณาเรื่องการสร้างโกดังหรือการเช่าโกดังด้วยเหมือนกัน

5. ลองพิจารณาจากเขตการค้าเสรี

ในประเทศไทย มีเขตการค้าที่ได้รับยกเว้นภาษีหลายแห่ง ซึ่งบางส่วนได้รับการยกเว้นเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่นั้น หรือเพื่อสนับสนุนธุรกิจในกลุ่มหรือประเภทที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเขตการค้าที่ได้รับยกเว้นภาษีในไทยรวมถึงไม่จำกัดอยู่ที่ต่อเขตเดียว แต่อาจจะแตกต่างไปตามนโยบายและกฎหมายของแต่ละรัฐบาลในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงสภาพเศรษฐกิจและความต้องการของประชาชนในยามนั้นด้วย

ตัวอย่างเขตการค้าที่ได้รับยกเว้นภาษีในประเทศไทยได้แก่

– เขตการค้าเสรี (Free Trade Zone) เขตการค้าที่สร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศโดยการยกเว้นหรือลดอัตราภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าและบริการที่เข้ามาในเขตดังกล่าว

– เขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone – SEZ) เขตที่ได้รับการกำหนดเพื่อส่งเสริมการลงทุนและพัฒนาทางเศรษฐกิจในพื้นที่นั้น ๆ โดยมักจะมีการยกเว้นหรือลดอัตราภาษีและมีการให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ แก่ผู้ลงทุน

– เขตการค้าระหว่างประเทศ (Border Trade Zone) เขตที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนระหว่างประเทศ มักมีการยกเว้นหรือลดอัตราภาษีเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

– เขตอุตสาหกรรม (Industrial Estate) เขตที่มีการจัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนธุรกิจอุตสาหกรรม มักมีการยกเว้นหรือลดอัตราภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม การยกเว้นภาษีและเงื่อนไขอื่น ๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามนโยบายของรัฐบาลและกฎหมายในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้น ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือจากที่แหล่งที่มาที่เป็นทางการก่อนทำการลงทุนหรือการค้าในเขตการค้าที่มีการยกเว้นภาษีใด ๆ ในประเทศไทย


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย