ข้อดีและข้อเสียระหว่างเช่าโกดัง VS ทำโกดังเอง

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

โกดังสินค้ามักถูกใช้เพื่อเก็บรักษาสินค้าหรือวัตถุดิบในขณะที่รอการจัดส่งหรือการนำไปใช้ โดยโกดังสินค้าสามารถใช้ในธุรกิจที่ต้องการเก็บรักษาสินค้าให้ปลอดภัยและสะดวกต่อการจัดการ เช่น โกดังสินค้าสำหรับโรงงาน, คลังสินค้า, สถานที่จัดเก็บสินค้าสำหรับการจัดส่งและจำหน่าย, หรือโกดังสินค้าในธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง เป็นต้น

โกดังสินค้ามักมีระบบการจัดเก็บสินค้าและวัตถุดิบที่มีการจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเพื่อความสะดวกในการค้นหาและการเข้าถึงสินค้าต่างๆ อีกทั้งยังมีระบบควบคุมการเข้า-ออกของสินค้าเพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการจัดการสินค้าด้วย อีกทั้งโกดังสินค้าเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการจัดการสินค้าและโลจิสติกส์ของธุรกิจต่างๆ

โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีการผลิตหรือจัดจำหน่ายสินค้าอย่างต่อเนื่องโดยต้องการความเรียบร้อยและปลอดภัยในการจัดเก็บและขนส่งสินค้าไปยังที่หมายหรือลูกค้าโดยมีระบบการจัดการสินค้าที่มีประสิทธิภาพในโกดังสินค้านั้นๆ แล้วถ้าเราสนใจจะมีโกดังเป็นของตัวเอง เราจะสร้างโกดังขึ้นมาใหม่หรือเช่าโกดังดี

การทำโกดังสินค้าเป็นของตัวเอง

การทำโกดังสินค้าเป็นของตัวเองมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจของเราหากมองไปในอนาคตแล้วหรือมีการวางแผนแล้วเหมาะกับแบบไหนกันแน่ เรามาดูกันว่าถ้าเราสร้างโกดังเป็นของตัวเองมีข้อดีอะไรบ้าง

ข้อดีของการสร้างโกดังเป็นของตัวเอง

– การควบคุมและปรับแต่งตามความต้องการ การมีโกดังสินค้าของตัวเองช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งโครงสร้างและระบบการจัดเก็บสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการและลักษณะของธุรกิจของคุณได้ตามต้องการ เช่น การเพิ่มพื้นที่จัดเก็บหรือการปรับปรุงระบบการจัดเก็บเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

– ความเป็นอิสระและความเป็นเจ้าของ การมีโกดังสินค้าของตัวเองช่วยให้คุณมีความเป็นอิสระในการดำเนินธุรกิจและการจัดการสินค้าของคุณ โดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับโกดังสินค้าของบุคคลภายนอก และคุณสามารถควบคุมกระบวนการทั้งหมดในการจัดเก็บและจัดส่งสินค้าได้อย่างเต็มที่

– ความปลอดภัย การสร้างโกดังสินค้าของตัวเองช่วยให้คุณมีความควบคุมในเรื่องของความปลอดภัยของสินค้า โดยสามารถปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยและการควบคุมการเข้า-ออกของบุคคลภายนอกได้ตามความเหมาะสม ทำให้ลดความเสี่ยงในการสูญหายหรือเสียหายของสินค้า หรือเราอาจจะติดตั้ง CCTV ที่สามารถแจ้งเตือนหากมีคนที่ไม่ใช่พนักงานเข้ามาในพื้นที่ก็ได้เช่นกัน และปัจจุบันระบบนี้ก็เริ่มนิยมใช้ตามโกดังอย่างแพร่หลายด้วย

– การออกแบบตามความเหมาะสม โกดังสินค้าของตัวเองช่วยให้คุณมีโอกาสที่จะสร้างโครงสร้างและระบบการจัดเก็บสินค้าที่เหมาะสมแก่ลักษณะของสินค้าและกระบวนการธุรกิจของคุณโดยตรง

– ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว การเป็นเจ้าของโกดังสินค้าช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว เนื่องจากคุณสามารถปรับปรุงและปรับเปลี่ยนโครงสร้างและระบบการจัดเก็บให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจของคุณได้ตามความต้องการ

– สามารถปล่อยเช่าต่อได้ หากคุณมีการขยายธุรกิจและจำเป็นจะต้องใช้โกดังสินค้าที่ใหญ่ขึ้นจนโกดังเดิมไม่สามารถรองรับได้ไหว ส่วนนี้เราสามารถปล่อยให้คนอื่นเช่าเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมได้เช่นกัน

ในการสร้างโกดังก็มีข้อดีที่เยอะมากๆ โดยเฉพาะในด้านระยะยาวที่หลายธุรกิจไม่ต้องการให้มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นมากมายภายหลัง ซึ่งทางบ้านเพื่อนเองก็มีบริการดูแลและสร้างโกดังสินค้า คลังสินค้า พร้อมให้คำปรึกษาแบบครบวงจรได้ พร้อมทั้งคอยให้คำแนะนำที่ดีที่สุดเพื่อให้คุณได้สิ่งที่มีคุณภาพมากที่สุดและประหยัดงบประมาณในการใช้จ่าย

ข้อเสียของการสร้างโกดังเป็นของตัวเอง

– หาทำเลการสร้างยาก ปัจจุบันที่ดินส่วนมากถูกจับจองและถูกก่อสร้างขึ้นมามากมาย ดังนั้นการสรรหาพื้นที่ที่เหมาะสมกับการสร้างโกดังของแต่ละธุรกิจออาจจะเป็นเรื่องยากสักเล็กน้อย

– การบำรุงรักษาและดูแล การดูแลและบำรุงรักษาโกดังสินค้าเป็นของตัวเองต้องการความใส่ใจและทรัพยากรทางการเงิน เช่น การซ่อมแซม, การบำรุงรักษาโครงสร้าง, การดูแลระบบการรักษาความปลอดภัย ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ต้องจ่ายในระยะยาว

– การจัดการและสร้างระบบป้องกันโกดังสินค้า การเป็นเจ้าของโกดังสินค้าเองอาจต้องการทรัพยากรในการจัดการโกดังและสร้างระบบป้องกันต่างๆ เช่น การจัดการความปลอดภัย, การบริหารจัดการการคลังสินค้า, และการป้องกันปัญหาทางกฎหมาย

การเช่าโกดังสินค้า

การเช่าโกดังสินค้าก็เป็นอีกด้านที่หลายธุรกิจนิยมทำเป็นอย่างมาก เนื่องจากบางธุรกิจอาจจะไม่ได้มีเงินทุนสูงทำให้การลงทุนด้านโกดังสินค้าอาจจะไม่สามารถทำได้ไหว หรือบางธุรกิจกำลังมองหาพื้นที่ในการสร้างโกดังที่เหมาะสมก็อาจจะต้องใช้วิธีการเช่าโกดังสินค้าไปก่อนก็มี ดังนั้นเรามาดูข้อดีข้อเสียของการเช่าโกดังกันบ้างดีกว่า

ข้อดีของการเช่าโกดัง

– ลดค่าใช้จ่ายเริ่มต้น การเช่าโกดังสินค้ามักมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ต่ำกว่าการสร้างโกดังเป็นของตัวเอง เนื่องจากไม่ต้องใช้ทรัพยากรในการซื้อที่ดินหรือการก่อสร้างโกดัง

– มีขนาดของโกดังที่หลากหลาย การเช่าโกดังสินค้าช่วยให้ธุรกิจสามารถเลือกขนาดของพื้นที่จัดเก็บสินค้าได้ตามความต้องการของธุรกิจ ไม่ต้องรับผิดชอบในการขยายขนาดหรือลดขนาดของโกดังเมื่อความต้องการเปลี่ยนแปลง

– ประหยัดเวลาและทรัพยากร การเช่าโกดังสินค้าช่วยลดการลงทุนในเรื่องของเวลาและทรัพยากรที่ใช้ในการดูแลและบำรุงรักษาโกดัง ทำให้ธุรกิจสามารถโฟกัสไปที่กิจกรรมหลักที่สำคัญกว่าได้

– การบริการเสริม บางบริษัทที่ให้บริการเช่าโกดังสินค้ายังมีการให้บริการเสริมอื่นๆ เช่น บริการจัดส่งสินค้า, บริการบรรจุและแพ็คสินค้า, หรือบริการจัดการคลังสินค้า เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการธุรกิจของลูกค้า

– ลดความเสี่ยงทางการเงิน การเช่าโกดังสินค้าช่วยลดความเสี่ยงทางการเงิน เนื่องจากไม่ต้องลงทุนทั้งหมดในการสร้างโกดัง และมีความยืดหยุ่นในการยกเลิกสัญญาเช่าโกดังในกรณีที่ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด

ข้อเสียของการเช่าโกดังสินค้า

– ความไม่แน่นอนในราคา ราคาเช่าโกดังสินค้าอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามเวลาหรือตามเงื่อนไขของสัญญา เช่น การปรับราคาเช่าหลังจากสิ้นสุดสัญญา เป็นต้น ทำให้ธุรกิจต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมหรือเผชิญกับความไม่แน่นอนในการวางแผนงบประมาณ

– ข้อจำกัดในการปรับโครงสร้างโกดัง การเช่าโกดังสินค้าอาจมีข้อจำกัดในการปรับแต่งหรือปรับปรุงโกดังตามความต้องการของธุรกิจ เนื่องจากการเช่าอาจมีข้อกำหนดหรือข้อจำกัดในสัญญาที่ห้ามทำอะไรเพิ่มเติมกับตัวโกดัง

– ความเสี่ยงในการสูญหายหรือเสียหายของสินค้า ธุรกิจที่เช่าโกดังสินค้าต้องรับผิดชอบในความเสี่ยงในการสูญหายหรือเสียหายของสินค้าที่เกิดขึ้นในโกดัง ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความเชื่อถือและความพึงพอใจของลูกค้า ซึ่งด้านนี้จากข้อจำกัดของเจ้าของโกดังอาจจะไม่ให้เราทำอะไรเพิ่มเติมหรือเอาอุปกรณ์การดูแลของเรามาใช้ติดตั้งในโกดังได้

– จำกัดในการควบคุม การเช่าโกดังสินค้าอาจทำให้ธุรกิจไม่สามารถควบคุมโกดังหรือระบบการจัดเก็บสินค้าได้ตามต้องการแบบเต็มที่เท่าไหร่นัก ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพและการดำเนินงานของธุรกิจ

– ความเป็นอิสระทางกฎหมาย การเช่าโกดังสินค้าอาจมีข้อจำกัดในการเป็นอิสระทางกฎหมาย เช่น การจำกัดการเข้าถึงหรือการใช้งานโกดังตามข้อกำหนดในสัญญา เวลามีปัญหาในด้านพื้นที่ของโกดังผู้เป็นเจ้าของก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบแทน เป็นต้น

สรุป

ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโกดังเป็นของตัวเองหรือเลือกที่จะเช่าโกดังก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับธุรกิจด้วยว่ามีความต้องการแบบไหนและเลือกให้สอดคล้องและเหมาะสมกับธุรกิจ หากเป็นธุรกิจขนาดเล็กแล้วเลือกสร้างโกดังก็อาจจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก เนื่องจากว่ามันอาจจะส่งผลให้เราไม่สามารถหมุนเวียนสภาพคล่องได้ทัน


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ก่อนออกแบบบ้าน ต้องรู้อะไรบ้าง

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

เรื่องบ้านถือเป็นเรื่องใหญ่ของใครหลายคนที่ต้องการสร้างบ้านในฝันเป็นของตัวเอง ซึ่งบางคนไม่ได้อยากได้บ้านสำเร็จรูปตามโครงการหมู่บ้านแต่ต้องการปลูกเองออกแบบเองมากกว่า ซึ่งก่อนที่เราจะเริ่มต้นในการสร้างบ้านแน่นอนว่าเราก็ต้องมีการออกแบบบ้านก่อน และการเขียนแบบบ้านต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายจำเป็นจะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยในการเขียนแบบออกมาให้ นอกจากนี้การออกแบบบ้านก็จะทำให้เราเห็นภาพรวมบ้านที่เราต้องการสร้างมากขึ้น คำนวณวัสดุ ราคาแบบคร่าวๆ ได้

การออกแบบบ้านคืออะไร ?

การออกแบบบ้านคือกระบวนการสร้างแบบแผนและโครงสร้างของบ้านหรือสถาปัตยกรรมที่ถูกสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงความสวยงาม ความสะดวกสบาย และความสอดคล้องกับการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย การออกแบบบ้านไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับการตกแต่งภายในและภายนอกเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงประสิทธิภาพในการใช้พื้นที่ การจัดวางห้องต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายและการใช้งานที่เหมาะสม

รวมถึงความปลอดภัยและความเข้ากันได้กับสิ่งแวดล้อม การออกแบบบ้านมักนำเอาความต้องการและสไตล์ของเจ้าของบ้านมาเป็นพิจารณาหลัก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการและการใช้ชีวิตของบรรดาผู้อยู่อาศัยที่จะใช้งานบ้านในภายหลัง หลักๆ ที่เราต้องรู้ก่อนที่จะเริ่มในการออกแบบบ้านมีอะไรบ้าง ?

1. ขนาดของที่ดินรอบบ้าน

การสำรวจที่ดินก่อนสร้างบ้านเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการสร้างบ้านที่มีประสิทธิภาพ การสำรวจที่ดินมุ่งไปที่การตรวจสอบและระบุลักษณะของพื้นที่ดินที่จะใช้สำหรับการก่อสร้างบ้าน ขั้นตอนนี้ช่วยให้ผู้สร้างบ้านทราบถึงข้อจำกัดและคุณสมบัติต่างๆ ของที่ดิน รวมถึงข้อกำหนดและข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานพื้นที่ดินนั้นๆ อย่างเช่น ขนาดของพื้นที่ พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการก่อสร้าง ข้อจำกัดในการใช้พื้นที่ และเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตามก่อนที่จะเริ่มก่อสร้างบ้าน

มีการวิเคราะห์ลักษณะของที่ดิน เช่น ความเหมาะสมของพื้นที่สำหรับการก่อสร้าง ข้อจำกัดทางทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การอุดมสมบูรณ์ของดิน การระบายน้ำ และความเสี่ยงจากสภาพอากาศ ทิศทางของลม พื้นที่หน้ากว้างหรือหน้าแคบ ถ้าเราไม่สำรวจหรือตรวจสอบที่ดินเลยการสร้างบ้านหรือการออกแบบบ้านก็อาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดเมื่อตอนสร้างเสร็จได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ ที่บางพื้นที่ที่ประสบปัญหาพื้นที่ต่ำทำให้เกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง การสร้างบ้านที่ระบายน้ำได้ยากหรือไม่เหมาะสมก็อาจจะทำให้เหตุการณ์น้ำท่วมส่งผลกระทบต่อตัวบ้านและเกิดการทรุดโทรมอย่างรวดเร็วได้

2. สมาชิกที่จะอาศัยในบ้าน

สมาชิกที่อาศัยในบ้านมีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างบ้าน เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ที่จะใช้ชีวิตในบ้านนั้น และจะมีผลต่อการออกแบบและการก่อสร้างที่เหมาะสมในการตอบสนองต่อความต้องการและความสะดวกสบายของผู้ใช้บ้าน ดังนั้น การพิจารณาและคำนึงถึงความต้องการของสมาชิกที่อาศัยในบ้านเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในกระบวนการสร้างบ้าน

เช่น บางบ้านอาจจะมีผู้สูงอายุอยู่อาศัยร่วมด้วย การให้ผู้สูงอายุขึ้นไปอยู่ในห้องบนๆ โดยขึ้นบันไดไปก็อาจจะไม่สะดวกเท่าไหร่นัก อาจจะต้องทำห้องสำหรับผู้สูงอายุไว้ที่ชั้นหนึ่ง หรือบางคนอาจจะชอบเลี้ยงสัตว์ก็ต้องมีการออกแบบให้เหมาะสม จุดนี้จะช่วยให้เราประเมินได้ว่าควรสร้างบ้านแบบไหนให้เหมาะสมและตอบโจทย์กับการใช้งานเรามากที่สุด ถ้าเราไม่ดูในส่วนนี้บางทีการสร้างบ้านออกมาอาจจะเกินความจำเป็นหรืออาจจะไม่ได้ใช้งานส่วนนี้จนเปลืองเงินโดยใช่เหตุได้

3. บอกความต้องการของตัวเอง

ส่วนมากในการออกแบบบ้านเรามักจะจ้างให้สถาปนิกออกแบบบ้านให้ ซึ่งตรงจุดนี้เราสามารถแจ้งรายละเอียดต่างๆ ที่เราต้องการให้กับสถาปนิกทราบได้เลยเช่น อยากได้ห้องสำหรับเด็ก สำหรับผู้สูงอายุ ห้องสัตว์เลี้ยง ขนาดของที่ดินที่จะใช้สร้างบ้าน หรือรายละเอียดอื่นๆ เพื่อให้สถาปนิกช่วยออกแบบบ้านให้ตรงกับความต้องการของเราได้ และเป็นการสโคปงานให้กระชับและไม่สร้างความซับซ้อนให้กับการออกแบบด้วย

คราวนี้ก็ถึงหน้าที่ของสถาปนิกที่จะช่วยออกแบบปรับปรุงให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้จ้างได้ และหากส่วนไหนไม่เหมาะสมทางสถาปนิกก็จะช่วยปรับปรุงแบบให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้จ้างได้

4. ฟังก์ชันการใช้งานในบ้าน

การออกแบบฟังก์ชันภายในบ้านเป็นกระบวนการที่สำคัญในการสร้างบ้านที่มีประสิทธิภาพและสะดวกสบายสำหรับผู้อยู่อาศัย ฟังก์ชันภายในบ้านนั้นควรถูกออกแบบให้เข้ากับความต้องการและรูปแบบการใช้งานของสมาชิกในบ้าน

ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นหลายฟังก์ชันต่างๆ เช่น  การใช้งานของแต่ละห้อง การออกแบบให้แต่ละห้องมีฟังก์ชันที่เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ห้องนอนควรมีพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการนอนหลับและการจัดเก็บของใช้ส่วนตัว ห้องครัวควรมีพื้นที่ทำอาหารและจัดเก็บอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ ห้องน้ำควรออกแบบให้มีพื้นที่สะอาดและปลอดภัยสำหรับการใช้งาน มีความปลอดภัยและความสะดวกสบาย

การออกแบบให้มีระบบความปลอดภัย เช่น ระบบประตูและหน้าต่างที่มีการป้องกันอย่างมีความปลอดภัย ระบบส่องสว่างที่เหมาะสม และระบบการระบายอากาศที่ดีเพื่อความสะดวกสบายในการใช้งาน และการจัดการฟังก์ชันภายในบ้านอื่นๆ เพื่อให้สอดคล้องและสามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการในอนาคตด้วย

5. คำนวณงบประมาณในการสร้างบ้าน

การคำนวณงบประมาณในการสร้างบ้านมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา เนื่องจากต้องคำนึงถึงความต้องการและความสามารถในการเงินของแต่ละบุคคล แต่ส่วนมาก งบประมาณในการสร้างบ้านจะคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้

ขนาดและลักษณะของบ้าน ขนาดและลักษณะของบ้านจะมีผลโดยตรงต่อราคาที่ต้องใช้ในการก่อสร้าง ยิ่งบ้านมีขนาดใหญ่และมีรายละเอียดและสิ่งอำนวยความสะดวกมากเท่าไหร่ ราคาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

วัสดุการก่อสร้าง ความคุ้มค่าของวัสดุการก่อสร้างมีผลต่อราคาของงานสร้าง การเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงและความทนทานจะทำให้ราคาสูงขึ้น แต่อาจช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

ค่าแรงงาน ค่าแรงงานส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับราคาแรงงานในพื้นที่นั้น รวมถึงความชำนาญของคนงานและปริมาณงานที่ต้องการ

ค่าใช้จ่ายในการจัดสรรที่ดิน ราคาที่ดินและค่าใช้จ่ายในการจัดสรรที่ดิน เช่น ค่าภาษีที่ดินและค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของที่ดิน

ค่าใช้จ่ายในการรับรองและอนุญาต ค่าใช้จ่ายในการรับรองและอนุญาตต่างๆ เช่น การขอใบอนุญาตการก่อสร้างและการรับรองการประเมินความเสี่ยง

ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาบ้าน รวมถึงค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในบ้าน

ก่อนการออกแบบบ้านเพื่อนๆ ก็สามารถปรึกษากับสถาปนิกเพื่อขอคำแนะนำได้ ยิ่งถ้าคุณได้ใช้บริการกับบริษัทที่ดูแลทางด้านวิศวกรรม พวกเค้าก็จะมีทีมงานคอยให้คำปรึกษากับคุณได้

6. สไตล์ของบ้าน

ปัจจุบันก็มีหลากหลายสไตล์ให้เลือกเต็มไปหมด ก่อนที่จะเริ่มสร้างบ้านเองเราก็ต้องมากำหนดรูปแบบในตอนออกแบบบ้านกันก่อน โดยอาจจะบอกกับสถาปนิกว่าเราอยากได้สไตล์ประมาณไหนแบบไหนเช่น บ้านแบบมินิมอล บ้านสไตล์โมเดิร์น บ้านไทยประยุกต์ หรือสไตล์ไหนก็แล้วแต่

เพราะสไตล์ของบ้านเองก็ช่วยเพิ่มความสวยงามน่าอยู่ให้กับเจ้าของบ้านด้วย หากคุณนึกไม่ออกว่าชอบสไตล์ไหน อาจจะลองค้นหาอินเทอร์เน็ตหรือปรึกษากับสถาปนิกที่รับออกแบบบ้านก็ได้ อย่างบ้านเพื่อนเองก็มีสถาปนิกรับออกแบบบ้านด้วยเหมือนกันรวมถึงมีแบบบ้านสำเร็จรูปไว้ให้คุณเลือกด้วย

สรุป

ก่อนที่เราจะเริ่มสร้างบ้านเป็นขึ้นมาเป็นรูปร่างจริงๆ นั้น การออกแบบบ้านถือเป็นประตูแรกที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างบ้าน ถ้าเมื่อเราออกแบบบ้านเสร็จคราวนี้ก็ถึงจะเริ่มก่อสร้าง และแบบบ้านไม่ใช่ว่าไม่มีความสำคัญ แต่มีความสำคัญแบบสุดๆ เนื่องจากว่ามันเป็นตัวกำหนดทุกอย่างของบ้านก่อนเริ่มก่อสร้าง ทั้งพื้นที่การใช้สอย ฟังก์ชันในบ้านต่างๆ แม้กระทั่งการออกแบบบ้านให้สอดคล้องกับงบประมาณที่เรามีได้ด้วย

ดังนั้นหากเพื่อนๆ ไม่มีความรู้ในการออกแบบบ้านเอง ก็จำเป็นจะต้องจ้างสถาปนิกช่วยในการออกแบบบ้านจะดีกว่า เหล่าสถาปนิกก็จะช่วยแนะนำจุดเด่นจุดด้อย รวมถึงให้ข้อแนะนำดีๆ กับคุณได้มากมายแบบที่คาดไม่ถึงเลย


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ก่อนจ้างผู้รับเหมาก่อสร้าง ต้องรู้อะไรบ้าง

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

สำหรับหลายๆ คนที่มีแผนการสร้างบ้านเป็นของตัวเองโดยที่ไม่ต้องการซื้อบ้านตามโครงการที่สำเร็จแล้วก็จำเป็นจะต้องจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างเพื่อช่วยในการสร้างบ้านให้เป็นไปตามความต้องการของเรา แต่ปัญหาคือการจะหาผู้รับเหมาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของเรานั้นไม่ได้ง่าย และวันนี้เราจะมาดูกันว่าก่อนจ้างนั้นเราจะต้องรู้และระวังเรื่องใดบ้าง

1. สัญญาการรับเหมาก่อสร้าง

ก่อนที่เราจะทำอะไรก็ตามที่มีมูลค่าสูงระหว่างทั้งสองฝ่าย สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “สัญญาจ้าง” ที่จะช่วยป้องกันทั้งฝ่ายที่ว่าจ้างเองรวมถึงผู้ที่รับงานว่าจ้างด้วย โดยเป็นการกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้รับทราบทั้งสองฝ่าย ในกรณีนี้เป็นการรับเหมาก่อสร้างก็เพื่อให้ดำเนินงาน ระยะเวลา รูปแบบบ้านเป็นไปตามข้อตกลงจนกว่าจะแล้วเสร็จ ในส่วนนี้เราต้องระบุให้ครบถ้วนทุกข้อเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลัง ข้อหลักๆ ที่ต้องมีสัญญาดังนี้

– ระบุวันเดือนปีและสถานที่ของสัญญา เพื่อระบุว่าสัญญาดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อไหร่ และอายุสัญญามีกี่ปี

– รายละเอียดของผู้รับเหมาก่อสร้างและผู้ว่าจ้าง ไม่ว่าจะเป็นชื่อหรือบริษัทของทั้งสองฝ่าย รายละเอียดที่อยู่ และข้อมูลอื่นๆ ที่แสดงถึงตัวตนของทั้งสองฝ่ายอย่างถูกต้องและสามารถตรวจสอบได้ อย่างของผู้รับเหมาก่อสร้างก็อาจจะเป็นชื่อบริษัทและที่อยู่ ส่วนของผู้ว่าจ้างถ้าไม่ได้ทำในนามบริษัทก็ใช้บัตรประชาชนที่ออกโดยหน่วยงานราชการมาเขียนระบุลงในสัญญาได้เช่นกัน

– รายละเอียดขอบเขตการทำงาน ส่วนนี้ต้องมีระบุและเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งโดยมันจะเป็นการระบุถึงขอบเขตการทำงาน รูปแบบการก่อสร้างบ้าน สถานที่การก่อสร้าง เป็นต้น ส่วนนี้ต้องระบุให้ละเอียดเพราะทางฝั่งผู้รับเหมาเองก็จะได้ก่อสร้างตามสัญญาที่ระบุไว้ นอกจากนี้ในฝั่งของผู้ว่าจ้างเองก็สามารถตรวจสอบได้ว่าการก่อสร้างนั้นเป็นไปตามสัญญาที่ได้ระบุไว้หรือไม่ หากไม่ได้มีการสร้างตามที่ได้ระบุไว้ในสัญญาก็สามารถแย้งได้ บางคนอาจจะมีระบุไว้ถึงสเปคของบ้าน สเปคของวัสดุด้วยเหมือนกัน

– รายละเอียดการชำระเงิน ในการว่าจ้างการทำงานเราสามารถตกลงกับฝั่งผู้รับเหมาก่อสร้างได้ว่าจะจ่ายเงินอย่างไร จะจ่ายเป็นรายงวด จ่ายเป็นก้อน การชำระเงินมัดจำก่อนการเริ่มงาน หรือจ่ายเงินทั้งหมดหลังจากทำงาน อันนี้ก็แล้วแต่การตกลงแต่ควรมีระบุในสัญญา

– การรับผิดชอบทั้งฝั่งของผู้ว่าจ้างและผู้รับเหมาก่อสร้าง ข้อนี้ก็ควรระบุเช่น หากมีส่วนที่ต้องการก่อสร้างเพิ่มเติมนอกเหนือจากแบบแปลนบ้านก็ควรระบุลงในสัญญาจะได้เป็นที่เข้าใจของทั้งสองฝ่ายและต้องได้รับการยินยอมจากทั้งสองฝ่ายด้วย

– เรื่องวัสดุก่อสร้าง หากผู้รับเหมาก่อสร้างไม่สามารถหาวัสดุได้ตามกำหนด อาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงวัสดุตามที่ผู้ว่าจ้างต้องการ หรือถ้าไม่มีการแจ้งล่วงหน้าให้กับผู้ว่าจ้าง ผู้ว่าจ้างก็มีสิทธิปฏิเสธการรับงานหรือการจ่ายเงินได้เช่นกัน

– การแก้ไข ส่วนนี้ก็ควรรระบุไว้เช่นกันหากเกิดความผิดพลาดในการก่อสร้างขึ้น เช่น การก่อสร้างไม่ตรงตามแบบ ไม่ตรงตามมาตรฐานการก่อสร้างหรือหลักวิศวกรรม ทางฝั่งผู้รับเหมาก่อสร้างจำเป็นจะต้องแก้ไขให้ถูกต้อง หากไม่สามารถแก้ไขได้ ผู้ว่าจ้างก็มีสิทธิที่จะปฏิเสธการรับงานหรือการจ่ายเงินได้

– การประกันคุณภาพของงาน ส่วนนี้ก็ต้องระบุไว้เพื่อเป็นการป้องกันทั้งฝั่งผู้รับเหมาก่อสร้างและผู้ว่าจ้างเอง อาจจะรับประกันคุณภาพงานกี่ปีก็แล้วแต่ทั้งสองฝ่ายจะตกลง หรือจะเพิ่มเงื่อนไขว่าหากมีการต่อเติมจนผิดหลักการก่อสร้างก็อาจจะสิ้นสุดการรับประกันได้เช่นกัน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงทั้งสองฝ่าย

– การยกเลิกสัญญา ส่วนนี้ก็ต้องระบุว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผิดสัญญาก็ต้องมีการรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น

อันนี้ก็เป็นสัญญาการรับเหมาก่อสร้างคร่าวๆ ซึ่งจะเพิ่มหรือลดก็ขึ้นอยู่กับการตกลงของทั้งสองฝ่าย อันนี้เราสามารถใช้ฝ่ายกฎหมายช่วยตรวจสอบสัญญาได้ อย่างบ้านเพื่อนเองก็มีการทำสัญญารับเหมาก่อสร้างเช่นกันเพื่อความมั่นใจของฝั่งผู้ว่าจ้างและไม่ต้องกังวลว่าจะเจอเหตุการณ์ผู้รับเหมาทิ้งงานเหมือนกับที่อื่นๆ

2. การตรวจสอบประวัติผู้รับเหมาก่อสร้าง

สมัยนี้อินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึงได้ง่ายและการตรวจสอบประวัติบริษัทรวมถึงผลงานที่ผ่านมาได้ไม่ยาก ปัจจุบันก็มีผู้รับเหมาก่อสร้างเกิดขึ้นมากมาย ทั้งแบบการรับเหมาก่อสร้างในรูปแบบของตัวบุคคลและแบบบริษัท แต่ทั้งนี้ปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นเป็นส่วนมากเลยก็คือการว่าจ้างแบบบุคคล

อย่างไรก็ตามทางบ้านเพื่อนก็ขอแนะนำว่าให้คุณพิจารณาจากเหล่าบริษัทรับเหมาก่อสร้างก่อนดีกว่า เนื่องจากว่าการตรวจสอบผ่านช่องทางออนไลน์ทำได้ง่าย การหาข้อมูลของบริษัทผ่านเว็บไซต์ของรัฐก็ทำได้ แถมยังมีตัวตนที่ชัดเจนมากกว่า รวมถึงทำให้เรารู้ได้ด้วยว่าที่ผ่านมาบริษัทนั้นทำอะไรไปบ้าง และสามารถทำงานตามที่เราต้องการได้หรือไม่ นอกจากนี้การสร้างบริษัทก็จำเป็นจะต้องมีที่อยู่ที่ชัดเจนช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ว่าจ้างได้ไม่น้อย

ส่วนการว่าจ้างผู้รับเหมาในแบบบุคคลธรรมดาก็ใช่ว่าจะไม่ควรว่าจ้าง เพียงแต่ว่าการตรวจสอบนั้นทำได้ยากกว่ามาก แต่ถ้าหากคุณมั่นใจว่าเจอคนที่สามารถทำให้งานคุณเป็นไปตามความต้องการได้จริงๆ การว่าจ้างใครก็ไม่ผิดแต่อย่างใด

3. ราคาต้องเป็นธรรม

ราคาเป็นปัจจัยแรกๆ ในการตัดสินใจใช้บริการของผู้ว่าจ้าง ซึ่งส่วนมากแล้วผู้ว่าจ้างมักจะหาข้อมูลจำพวกวัสดุ การก่อสร้าง หรือการให้บริการมาบ้างไม่น้อย ซึ่งก็พอให้รู้ราคาคร่าวๆ ได้

บางครั้งผู้รับเหมาบางรายอาจจะเสนอราคาสูงสวนทางกับวัสดุที่ใช้ในการทำงานก็อาจจะทำให้คุณเปลืองเงินได้ แต่บางครั้งเองก็มีการเสนอราคาที่ต่ำมากๆ ซึ่งข้อนี้เพื่อนๆ จำเป็นจะต้องมีการตรวจสอบลงไปถึงตัววัสดุว่าการเสนอราคาต่ำมาแบบนี้วัสดุจะได้คุณภาพหรือไม่

แต่บางครั้งคุณภาพวัสดุดีจริงแต่เมื่อผู้รับเหมาทำไปสักพักรู้ว่าขาดทุนก็เลยทิ้งงานกลางคันก็มี ดังนั้นข้อนี้เพื่อนๆ จะต้องตรวจสอบและพิจารณาหลายๆ ด้านก่อนไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินใจ

4. เช็คราคาวัสดุ

อันดับแรกๆ ที่เราไม่ควรพลาดเลยก็คือการเช็คคุณภาพของวัสดุที่ใช้สำหรับการสร้างบ้าน เพื่อให้บ้านมีความแข็งแรง และวัสดุในท้องตลาดนั้นมีหลากหลายตั้งแต่แบบล่างๆ ไปจนถึงคุณภาพดีเยี่ยม ซึ่งมันก็จะมีราคาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเหมือนกัน และไม่ควรจะดูวัสดุเพียงเจ้าเดียวแต่ให้เปรียบเทียบกับหลายๆ เจ้าเราจะได้เห็นถึงความแตกต่างในด้านราคา วิธีนี้ก็ช่วยให้เราประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้ไม่น้อย และได้วัสดุที่มีคุณภาพคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด

หากเป็นไปได้แนะนำว่าทำบัญชีปริมาณวัสดุและราคาไปด้วยก็ได้ เพื่อให้เราเห็นรายละเอียดสิ่งของต่างๆ ที่เราจะต้องใช้สำหรับการทำงานของเรา และทำให้เราเห็นภาพของราคาได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงมาปรับลดหรือเพิ่มเติมได้ทีหลังตามงบประมาณที่เรามีได้

5. หมั่นตรวจงานเป็นประจำ

ในการว่าจ้างรับเหมาก่อสร้างสิ่งที่คุณไม่ควรทำเลยคือการไม่ตรวจงาน บางคนอาจจะคิดว่าเมื่อเราทำสัญญาจ้างหรือตกลงรายละเอียดในการทำงานเรียบร้อยแล้วจะปล่อยไม่ไปตรวจก็ได้ เพราะยังไงเค้าก็ต้องทำตามสัญญา ซึ่งอันนี้ก็ไม่ผิดที่ฝั่งผู้รับเหมาเองก็ต้องทำตามนั้น แต่บางครั้งมันอาจจะเกิดปัญหาขึ้นระหว่างการทำงานได้ เช่น การฉาบกำแพง การติดตั้งเสาเข็ม หรืออะไรก็แล้วแต่ หากเราได้ไปตรวจงานก็สามารถแย้งได้ทันทีจะได้ไม่ต้องเสียเวลาแก้ไข

เคยมีเคสบางเคสที่ผู้รับเหมาก่อสร้างไม่มีความซื่อสัตย์แอบเปลี่ยนวัสดุในการก่อสร้างสำหรับบางส่วน ทำให้โครงสร้างบ้านอาจจะไม่ได้มีคุณภาพ ทีนี้หากเราไม่ได้มาตรวจงานแล้วมาพบเจอภายหลังการแก้ไขทีนี้เป็นเรื่องยากและใช้เวลานานแน่ๆ และการเข้าไปตรวจงานบ่อยครั้งก็ช่วยให้เราคอยสังเกตวัสดุที่ผู้รับเหมาก่อสร้างใช้ด้วยว่าเป็นไปตามสเปคที่เราได้ระบุไว้หรือไม่

6. ตรวจรับงานหลังงานเสร็จ

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเราก็จำเป็นจะต้องตรวจสอบงานก่อนการส่งมอบเสมอ เพราะหากมีปัญหาที่เกิดขึ้นกับงานของเราจะได้ให้ฝั่งของผู้รับเหมาทำการแก้ไขก่อนการส่งมอบ ทั้งนี้หากเราไม่มีความเชี่ยวชาญแนะนำว่าให้ว่าจ้างวิศวกรหรือบริษัทที่รับตรวจงานก่อสร้างจะดีกว่า เพราะจะมีความเชี่ยวชาญในการตรวจรับงานและสามารถตรวจสอบจุดที่บกพร่องและเกิดปัญหาขึ้นได้ และเมื่อตรวจสอบเสร็จแก้ไขเสร็จแล้วคราวนี้เพื่อนๆ ก็เซ็นรับงานได้อย่างสบายใจและไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง

สรุป

เรื่องการก่อสร้างสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะบ้านนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เราจะต้องเตรียมตัวหลายอย่างและต้องรู้หลายเรื่องเกี่ยวกับการก่อสร้าง รวมถึงการหาผู้รับเหมาก่อสร้างที่สามารถไว้ใจและทำงานได้เรียบร้อยตรงกับความต้องการ ปัจจุบันต้องยอมรับว่ามันก็มีทั้งผู้รับเหมาก่อสร้างที่ดีและไม่ดีปะปนกันไปทำให้เราอาจจะเสียทรัพย์โดยใช่เหตุได้ ดังนั้นเช็คลิสต์เหล่านี้เราก็เชื่อว่าจะช่วยเพื่อนๆ ในการเลือกผู้ว่าจ้างรับเหมาก่อสร้างที่เหมาะสมกับความต้องการของตัวเองได้


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย