10 โทนสีบ้านเบสิค ดูดีทุกยุคสมัย

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

การเลือกโทนสีสำหรับบ้านเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อความสวยงามและบรรยากาศของที่อยู่อาศัย สีที่เหมาะสมไม่เพียงแต่เพิ่มความน่าอยู่ แต่ยังสะท้อนถึงรสนิยมและสไตล์ของเจ้าของบ้านอีกด้วย ในบทความนี้ เราจะนำเสนอ 10 โทนสีบ้านที่เป็นที่นิยมและไม่เคยตกยุค พร้อมทั้งอธิบายถึงลักษณะและความเหมาะสมของแต่ละโทนสี เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกสีที่ตรงกับความต้องการและสไตล์ของบ้านคุณ

1. สีขาวคลาสสิก

บ้านโทนสีขาว

ห้องโทนสีขาว ช่วยเพิ่มความสว่างและความสบายตาให้ผู้อยู่อาศัย : ภาพจาก Apartment Therapy

สีขาวเป็นสีที่ไม่เคยล้าสมัยเลยแม้แต่น้อย และสามารถเข้ากับสไตล์บ้านได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นหรือคลาสสิก สีขาวช่วยให้บ้านดูสะอาด โปร่งสบาย และเพิ่มความสว่างให้กับพื้นที่ นอกจากนี้ สีขาวยังเป็นสีที่เพิ่มมูลค่าให้กับบ้านเมื่อขายต่อ เนื่องจากเป็นสีที่เป็นกลางและดึงดูดผู้ซื้อได้ง่าย​

ทาสีบ้าน

ภาพจาก : Freepik

การเลือกใช้สีขาวสำหรับภายนอกบ้านยังช่วยให้การตกแต่งภายในมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เนื่องจากสีขาวเป็นพื้นฐานที่สามารถเข้ากับเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งได้ทุกสี อย่างไรก็ตาม ควรระวังในการเลือกเฉดสีขาว เนื่องจากบางเฉดอาจทำให้บ้านดูเย็นชา ควรเลือกสีขาวที่มีโทนอุ่นเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับบ้าน​ นอกจากนี้บ้านที่เป็นสีขาวโดยเฉพาะภายนอกหากผ่านลมผ่านฝนเป็นเวลานาน ก็อาจจะทำให้เกิดคราบบริเวณรอบๆ ตัวบ้านได้

2. สีเทาอมเบจ

ห้องสีเบจผสมเทา

ห้องโทนสีเทาผสมเบจ : ภาพจาก English Blinds

สีเทาอมเบจเป็นการผสมผสานระหว่างสีเทาและสีเบจ ทำให้ได้สีที่อบอุ่นและเป็นกลาง โทนสีนี้เหมาะกับบ้านที่ต้องการความเรียบหรูและทันสมัย สีเทาอมเบจสามารถเข้ากับวัสดุตกแต่งภายนอกได้หลากหลาย เช่น ไม้ หิน หรืออิฐ และยังช่วยให้บ้านดูอบอุ่นและน่าอยู่​

สีเทาอมเบจยังเป็นสีที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามแสงและสภาพแวดล้อม ในบางสภาวะ สีนี้อาจดูเป็นสีเทามากขึ้น หรือในบางครั้งอาจมีความเป็นสีเบจมากขึ้น ทำให้บ้านมีมิติและความน่าสนใจ การเลือกใช้สีเทาอมเบจยังช่วยให้บ้านดูมีความเป็นธรรมชาติและกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมรอบข้าง​

นอกจากนี้เรื่องของสีเราก็สามารถเลือกเองได้เช่นกันว่าต้องการให้ปริมาณของสีเบจเด่นชัดกว่าสีเทา หรือต้องการให้สีเทาเด่นชัดมากกว่าสีเบจก็ได้เช่นกัน แล้วแต่สไตล์ที่คุณชอบ

3. สีเขียวธรรมชาติ

ห้องสีเขียวธรรมชาติ

ห้องโทนสีเขียวธรรมชาติ อาจจะใช้ต้นไม้ตกแต่งได้เช่นกัน : ภาพจาก Behr

สีเขียวที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ เช่น สีเขียวมะกอกหรือสีเขียวใบไม้ เป็นโทนสีที่ช่วยให้บ้านดูกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะบ้านที่มีสวนหรืออยู่ใกล้พื้นที่ธรรมชาติ สีเขียวให้ความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสบายใจ​

การใช้สีเขียวธรรมชาติยังช่วยให้บ้านมีความโดดเด่นและแตกต่างจากบ้านหลังอื่น ๆ ในบริเวณเดียวกัน นอกจากนี้ สีเขียวยังเป็นสีที่สื่อถึงความยั่งยืนและการรักษาสิ่งแวดล้อม ทำให้บ้านของคุณดูเป็นมิตรกับธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ควรเลือกเฉดสีเขียวที่ไม่เข้มหรืออ่อนเกินไป เพื่อไม่ให้บ้านดูมืดหรือซีดเกินไป​

4. สีฟ้าอมเทา

ห้องสีฟ้าอมเทา

โทนสีนี้ให้ความรู้สึกสว่างและก็สงบในเวลาเดียวกัน : ภาพจาก Behr

สีฟ้าอมเทาเป็นโทนสีที่ให้ความรู้สึกสงบและทันสมัย สีนี้เหมาะกับบ้านที่ต้องการความเรียบง่ายแต่มีสไตล์ สีฟ้าอมเทายังช่วยเพิ่มความสดชื่นและโปร่งสบายให้กับบ้าน ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกผ่อนคลาย​

สีฟ้าอมเทายังเป็นสีที่สามารถเข้ากับวัสดุตกแต่งภายนอกได้หลากหลาย เช่น ไม้ หิน หรือโลหะ ทำให้การตกแต่งบ้านมีความหลากหลายและน่าสนใจ นอกจากนี้ สีฟ้าอมเทายังเป็นสีที่ไม่แสดงคราบสกปรกได้ง่าย ทำให้บ้านดูสะอาดและใหม่อยู่เสมอ​

5. สีเบจอบอุ่น

สีเบจเป็นสีที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง โทนสีนี้เหมาะกับบ้านที่ต้องการความเรียบง่ายและคลาสสิก สีเบจสามารถเข้ากับวัสดุตกแต่งได้หลากหลาย และช่วยให้บ้านดูนุ่มนวลและน่าอยู่​

การเลือกใช้สีเบจยังช่วยให้บ้านดูมีความเป็นธรรมชาติและกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมรอบข้าง นอกจากนี้ สีเบจยังเป็นสีที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามแสงและสภาพแวดล้อม ทำให้บ้านมีมิติและความน่าสนใจ อย่างไรก็ตาม ควรเลือกเฉดสีเบจที่ไม่เข้มหรืออ่อนเกินไป เพื่อไม่ให้บ้านดูมืดหรือซีดเกินไป​

6. สีดำโมเดิร์น

สีดำเป็นสีที่เพิ่มความโมเดิร์นและหรูหราให้กับบ้าน แม้จะเป็นสีที่เข้ม แต่หากใช้ร่วมกับสีที่สว่างหรือวัสดุที่เหมาะสม จะทำให้บ้านดูโดดเด่นและมีสไตล์ สีดำยังช่วยเน้นรายละเอียดสถาปัตยกรรมของบ้านได้อย่างชัดเจน​

การใช้สีดำสำหรับภายนอกบ้านยังช่วยให้บ้านดูมีความลึกลับและน่าสนใจ นอกจากนี้ สีดำยังเป็นสีที่ไม่แสดงคราบสกปรกได้ง่าย ทำให้บ้านดูสะอาดและใหม่อยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ควรระวังในการใช้สีดำ เนื่องจากอาจทำให้บ้านดูมืดหรือเล็กลง ควรใช้ร่วมกับสีที่สว่างหรือวัสดุที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มความสมดุล

7. สีขาวครีม

สีขาวครีมเป็นอีกหนึ่งโทนสีที่ได้รับความนิยมสูง เพราะผสมผสานความสะอาดของสีขาวเข้ากับความอบอุ่นของโทนสีครีมอย่างลงตัว โทนสีนี้เหมาะกับบ้านทุกสไตล์ โดยเฉพาะบ้านสไตล์คลาสสิก มินิมอล หรือบ้านที่ต้องการความนุ่มนวลแต่ยังคงความเรียบหรูไว้ครบถ้วน สีขาวครีมทำให้บ้านดูสว่างโดยไม่ให้ความรู้สึกแข็งหรือเย็นจนเกินไป ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง

นอกจากนี้ สีขาวครีมยังเป็นสีที่เข้ากันได้ดีกับวัสดุธรรมชาติอย่างไม้ หินอ่อน หรือเหล็กโทนทองแดง ทำให้การออกแบบบ้านดูมีมิติและสัมผัสของความเป็นธรรมชาติ เหมาะกับผู้ที่ต้องการบรรยากาศแบบ cozy แต่ยังคงความสง่างาม หากต้องการเพิ่มความทันสมัย อาจเลือกใช้คู่กับโทนสีทอง แชมเปญ หรือเทาอ่อน เพื่อเพิ่มความหรูหราในแบบเรียบง่าย

8. สีเทาเข้ม

สีเทาเข้มให้ความรู้สึกมั่นคง ทันสมัย และสุขุม เป็นโทนสีที่มักถูกเลือกใช้ในบ้านสไตล์โมเดิร์น ลอฟต์ หรือมินิมอล ด้วยความเข้มของสีที่มีน้ำหนัก ทำให้สีนี้สามารถดึงรายละเอียดของโครงสร้างบ้านออกมาได้ชัดเจน เหมาะกับผู้ที่ชอบบ้านที่ดูเรียบ เท่ แต่ยังคงความมีรสนิยมแบบเรียบหรู

การใช้สีเทาเข้มไม่ได้หมายความว่าบ้านจะดูมืดเสมอไป หากเลือกใช้คู่กับสีอ่อน เช่น ขาว ครีม หรือไม้ธรรมชาติ จะเกิดคอนทราสต์ที่ช่วยให้บ้านมีจุดเด่น และมีความสมดุลในเรื่องของแสงและมิติ สีเทาเข้มยังสามารถจับคู่กับสีทองแดงหรือดำด้าน เพื่อเสริมความหรูหราหรือเพิ่มกลิ่นอายอุตสาหกรรมให้บ้านดูมีเอกลักษณ์

นอกจากความสวยงาม สีเทาเข้มยังมีข้อดีในเรื่องการดูแล เพราะเป็นสีที่ไม่เปื้อนง่าย และสามารถกลบคราบหรือรอยเปื้อนได้ดี เหมาะกับบ้านที่ต้องการความเท่และดูแลง่ายในระยะยาว อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้กับหลังคา รั้ว หรือประตูเพื่อเพิ่มความหนักแน่นให้กับภาพรวมของบ้าน

9. สีฟ้าเข้ม

สีฟ้าเข้มให้ความรู้สึกสงบ มั่นใจ และลึกลับในขณะเดียวกัน เป็นโทนสีที่สื่อถึงความเป็นผู้ใหญ่ มีระดับ และมีจริตแบบคลาสสิกที่ไม่ล้าสมัย นิยมใช้กับบ้านสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน คลาสสิก หรือแม้แต่โมเดิร์นในบางรูปแบบ สีนี้ทำให้บ้านดูน่าสนใจโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งการตกแต่งมากมาย

ความพิเศษของสีฟ้าเข้มคือมันให้ความลึกกับตัวบ้าน เพิ่มมิติให้บ้านดูมีบุคลิก และสามารถใช้ร่วมกับสีโทนอบอุ่นได้ดี เช่น ครีม ทอง หรือไม้โทนแดง รวมถึงวัสดุโลหะอย่างทองเหลืองหรือทองแดง เพื่อสร้างความหรูหราที่ไม่ฉูดฉาด

นอกจากความงาม สีฟ้าเข้มยังช่วยให้บ้านดูเย็นตา เหมาะกับภูมิอากาศร้อนแบบเมืองไทย เพราะให้ความรู้สึกสดชื่น แม้ในพื้นที่จำกัด สีฟ้าเข้มยังสามารถทำให้บ้านดู “กว้างขึ้น” ได้ในเชิงสายตา ถ้าใช้อย่างชาญฉลาด เช่น ในพื้นที่รอบขอบหน้าต่าง ประตู หรือผนังบางส่วนเพื่อเน้นความลึก

10. สีเขียวอมเทา

สีเขียวอมเทาเป็นหนึ่งในโทนสีที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงหลัง เพราะเป็นสีที่สื่อถึงธรรมชาติ ความสงบ และความกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมรอบข้างได้ดีมาก เป็นโทนที่มีความเป็นกลางอยู่ในตัว ทำให้เหมาะกับบ้านทุกสไตล์ ตั้งแต่บ้านสวน บ้านไม้ ไปจนถึงบ้านโมเดิร์นมินิมอล

สีเขียวอมเทาให้ความรู้สึกสบายตา ไม่แข็งเกินไปเหมือนสีเทา ไม่เย็นเกินไปเหมือนสีฟ้า และไม่จัดจ้านเหมือนสีเขียวสด ทำให้บ้านดูอบอุ่นในขณะที่ยังคงความทันสมัย เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบความเรียบง่ายแต่ไม่จำเจ สีนี้ยังเหมาะกับการใช้เป็นสีหลักของผนังภายนอก หรือจะใช้เป็นโทนรองในรายละเอียดตกแต่ง เช่น กรอบหน้าต่างหรือซุ้มประตู ก็ช่วยเพิ่มความลุ่มลึกให้บ้านได้อย่างมีสไตล์

ข้อดีอีกอย่างคือ สีเขียวอมเทาช่วยอำพรางฝุ่นหรือคราบสกปรกได้ดี จึงเหมาะกับบ้านในพื้นที่ที่มีฝุ่นหรือความชื้นสูง และเมื่อผสมกับวัสดุอย่างไม้สน ไม้โอ๊ค หรือหินธรรมชาติ จะยิ่งเสริมให้บ้านดูสงบและกลมกลืนกับธรรมชาติรอบตัว

สรุป

โทนสีก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เพิ่มความน่าอยู่ให้กับบ้านและมีผลต่อสภาพจิตใจและการเป็นอยู่ไม่น้อย หากห้องของคุณใช้สีทึบจนเกินไป ก็อาจจะทำให้รู้สึกเกิดความไม่น่าอยู่ได้หากห้องนั้นถูกทาสีที่ไม่ได้เหมาะกับวัตถุประสงค์การใช้งาน หรือแม้กระทั่งโทนสีบ้านเองก็บ่งบอกสไตล์ของเราได้ด้วยเหมือนกัน


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

เลือกสวนให้เข้ากับบ้าน 10 ไอเดียสวนสุดเก๋ที่ต้องลอง

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

บ้านนอกจากจะเป็นที่อยู่อาศัยแล้ว ยังเป็นสถานที่ที่ช่วยให้เราได้พักผ่อนหย่อนใจ นอกจากเรื่องของดีไซน์บ้านที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่อยู่อาศัยด้วยแล้ว ยังมีเรื่องของความสวยงาม มองแล้วรู้สึกสบายตา แต่อย่างไรก็ตามหากตัวบ้านของเราแม้ว่าจะสวยงามแค่ไหน แต่รอบๆ บ้านของเราดันรกซะงั้น มันก็คงแย่ไม่น้อยสำหรับคนที่อยู่อาศัย

ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ด้วยการจัดบริเวณรอบๆ บ้านให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น โดยอาจจะดัดแปลงเป็น “สวน” ขนาดย่อม ที่ช่วยเพิ่มชีวิตชีวาให้กับผู้อยู่อาศัย สามารถใช้งานพักผ่อนได้ แถมยังช่วยสร้างบรรยากาศดีๆ ให้กับบ้านได้ไม่น้อย

วันนี้เราจะพาคุณไปพบกับ 10 ไอเดียสวนสุดเก๋ที่สามารถนำไปปรับใช้ให้เข้ากับบ้านของคุณได้อย่างลงตัว ไม่ว่าคุณจะมีพื้นที่ขนาดเล็กหรือใหญ่ สวนแต่ละแบบก็มีเอกลักษณ์และข้อดีเฉพาะตัว ลองมาทำความรู้จักและเลือกแบบที่ใช่สำหรับบ้านของคุณกันเลย

สวนสไตล์อังกฤษ

สวนสไตล์อังกฤษขึ้นชื่อเรื่องความงดงามและให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในเทพนิยาย จุดเด่นของสวนประเภทนี้คือการใช้พืชพรรณที่มีความหลากหลาย ทั้งไม้พุ่ม ไม้ดอก และไม้เลื้อยที่เติบโตแบบเป็นธรรมชาติ ประดับด้วยซุ้มไม้ระแนง ม้านั่งเหล็กดัด และทางเดินอิฐสีแดงที่ให้บรรยากาศสุดโรแมนติก บ้านที่เหมาะกับสวนสไตล์อังกฤษมักเป็นบ้านที่มีลักษณะคลาสสิก หรือสไตล์วินเทจ ที่จะช่วยเสริมกันให้เกิดความอบอุ่นและมีเสน่ห์มากขึ้น

การดูแลสวนสไตล์อังกฤษต้องให้ความสำคัญกับการตัดแต่งพืชเป็นระยะ เพื่อให้คงความเป็นธรรมชาติและสวยงามเสมอ นอกจากนี้ การเลือกดอกไม้ให้มีสีสันที่เข้ากัน และปลูกให้มีช่วงเวลาออกดอกที่ต่อเนื่อง จะช่วยให้สวนมีชีวิตชีวาตลอดทั้งปี

สวนสไตล์ญี่ปุ่น

ถ้าคุณชอบบรรยากาศที่เงียบสงบและเรียบง่าย สวนสไตล์ญี่ปุ่นคือทางเลือกที่น่าสนใจ สวนแบบนี้เน้นความเป็นธรรมชาติและความสมดุลขององค์ประกอบต่างๆ เช่น หิน ทราย น้ำ และพืชที่ได้รับการคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถัน ต้นไม้ที่นิยมใช้มักเป็นไม้พุ่มเตี้ย ต้นไผ่ ต้นเมเปิล และมอสที่ช่วยเพิ่มความเขียวขจี การมีบ่อน้ำเล็กๆ หรือสะพานไม้ข้ามลำธารจำลองก็เป็นอีกองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยสร้างบรรยากาศแบบสวนญี่ปุ่นแท้ๆ ได้เป็นอย่างดี

สิ่งสำคัญในการดูแลสวนสไตล์ญี่ปุ่นคือการรักษาความสะอาดขององค์ประกอบต่างๆ เช่น การกวาดทรายให้เรียบร้อย จัดเรียงหินให้สมดุล และดูแลน้ำในบ่อให้ใสสะอาดเสมอ เพื่อให้สวนคงไว้ซึ่งความสงบและความเป็นธรรมชาติที่สมบูรณ์

สวนสไตล์มินิมอล

สำหรับคนที่ชอบความเรียบง่ายแต่ดูดี สวนสไตล์มินิมอลเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ การจัดสวนแบบนี้เน้นเส้นสายที่เรียบง่ายและความโล่งโปร่ง ใช้พืชไม่กี่ชนิดแต่จัดวางให้เกิดมิติและความน่าสนใจ ต้นไม้ที่นิยมใช้มักเป็นพืชที่ดูแลรักษาง่าย เช่น กระบองเพชร ไม้พุ่มเตี้ย หรือไม้ที่มีใบเรียบเนียน วัสดุที่ใช้ในสวนมักเป็นไม้ หิน หรือคอนกรีต ที่ให้ความรู้สึกทันสมัย บ้านสไตล์โมเดิร์นหรือสไตล์สแกนดิเนเวียนเหมาะกับสวนแบบนี้เป็นพิเศษ

การดูแลสวนมินิมอลนั้นไม่ยุ่งยาก เนื่องจากใช้พืชที่ต้องการการดูแลต่ำ และเหมาะมากสำหรับคนที่อยากมีสวนสวยๆ ไว้ในบ้านแต่ไม่ค่อยมีเวลาดู อย่างไรก็ตามควรหมั่นทำความสะอาดพื้นสวน และตัดแต่งต้นไม้เป็นระยะเพื่อรักษาความเรียบง่ายและเป็นระเบียบของสวน

สวนสไตล์โมเดิร์น

สวนสไตล์โมเดิร์นเหมาะสำหรับบ้านที่มีดีไซน์ร่วมสมัย เน้นการใช้เส้นสายที่เรียบง่ายและมีความสมดุล วัสดุที่ใช้มักเป็นคอนกรีต หิน หรือโลหะ และมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้ดูโปร่งและสะอาดตา ต้นไม้ที่นิยมนำมาใช้ เช่น ไม้พุ่มทรงเรขาคณิต ต้นไทรเกาหลี หรือบอนไซขนาดเล็ก ซึ่งช่วยเสริมบรรยากาศทันสมัยให้กับสวน

สวนโมเดิร์นต้องการการดูแลเรื่องการจัดวางองค์ประกอบให้คงความสมดุลเสมอ ควรหมั่นเช็ดทำความสะอาดพื้นผิวคอนกรีตหรือกระจกที่ใช้ในการตกแต่ง และตัดแต่งต้นไม้ให้เป็นทรงอยู่เสมอ

สวนสไตล์ทรอปิคอล

สวนทรอปิคอลเป็นสวนที่เน้นความเป็นธรรมชาติ ความเขียวชอุ่ม และบรรยากาศที่สดชื่นอยู่ตลอดปี เหมาะสำหรับบ้านที่ตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้นที่ต้องการพื้นที่สีเขียวเพื่อให้เกิดความเย็นสบาย พืชพรรณที่นิยมปลูกในสวนสไตล์นี้มักเป็นไม้ใบขนาดใหญ่ เช่น ปาล์มหมาก ปาล์มยะวา เฟิร์น กล้วยไม้ และพืชประเภทไม้เลื้อยที่ช่วยสร้างมิติให้สวนดูมีความเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังนิยมใช้พืชพันธุ์พื้นเมือง เช่น ไผ่ โมก มะลิ และต้นลั่นทม ที่ช่วยให้สวนดูเขียวขจีตลอดเวลา

องค์ประกอบสำคัญของสวนทรอปิคอลคือการมีแหล่งน้ำ เช่น น้ำตก บ่อน้ำ หรือธารน้ำจำลอง เพราะเสียงของน้ำไหลจะช่วยเพิ่มความสดชื่นและทำให้บรรยากาศร่มรื่นขึ้นอีกระดับ หินธรรมชาติ เช่น หินก้อนใหญ่ หรือกรวดแม่น้ำ ก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ช่วยเสริมความเป็นธรรมชาติให้กับสวน นอกจากนี้ การวางเส้นทางเดินด้วยไม้หรือหินแผ่นใหญ่ ยังช่วยให้การเดินเล่นในสวนเป็นเรื่องสนุกและผ่อนคลายมากขึ้น

การดูแลสวนทรอปิคอลให้คงความสวยงามต้องให้ความสำคัญกับการตัดแต่งกิ่งไม้ใหญ่ให้โปร่งเพื่อให้มีแสงส่องถึงพืชชั้นล่าง ควรหมั่นรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากพืชเขตร้อนต้องการความชื้นสูง รวมถึงใส่ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อให้พืชเติบโตได้ดี การกำจัดใบไม้แห้งและวัชพืชเป็นประจำก็ช่วยให้สวนดูสะอาดตาและร่มรื่นอยู่เสมอ

สวนสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน

หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบบรรยากาศแบบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สวนสไตล์นี้เป็นตัวเลือกที่เหมาะอย่างยิ่ง จุดเด่นของสวนประเภทนี้คือการเลือกใช้พืชที่สามารถทนต่อสภาพอากาศแห้งแล้งได้ดี เช่น ต้นมะกอกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแถบเมดิเตอร์เรเนียน ต้นโรสแมรี่ที่มีกลิ่นหอมช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับสวน รวมถึงอากาเว่และต้นลาเวนเดอร์ที่เสริมบรรยากาศให้ดูเป็นธรรมชาติและผ่อนคลาย

นอกจากพืชพรรณแล้ว การตกแต่งสวนสไตล์นี้มักใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น หินกรวดขนาดเล็กที่โรยเป็นพื้นแทนสนามหญ้า ช่วยลดการใช้น้ำและดูแลรักษาได้ง่าย รวมถึงกระถางดินเผาสีอบอุ่นที่เข้ากันได้ดีกับบรรยากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน หากบ้านของคุณมีผนังสีขาว ครีม หรือสีเอิร์ธโทน จะช่วยให้สวนดูโดดเด่นและกลมกลืนกับสไตล์นี้มากขึ้น

การเพิ่มองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น ม้านั่งไม้สีธรรมชาติ ซุ้มระแนงไม้เลื้อย หรือบ่อน้ำพุขนาดเล็ก ก็สามารถช่วยเสริมให้สวนมีบรรยากาศที่ผ่อนคลายเหมือนอยู่ในรีสอร์ตริมทะเลได้อย่างลงตัว

สวนแนวตั้ง

หากคุณมีพื้นที่จำกัด แต่ต้องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับบ้าน การจัดสวนแนวตั้งเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการนำธรรมชาติเข้ามาใกล้ตัวโดยไม่ต้องใช้พื้นที่มากเกินไป สวนแนวตั้งสามารถจัดได้หลายรูปแบบ เช่น การใช้แผงไม้ระแนงสำหรับแขวนกระถางต้นไม้ การติดตั้งชั้นวางสำหรับวางกระถางขนาดเล็ก หรือแม้แต่การสร้าง “กำแพงพืช” ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใบสวยงาม

ต้นไม้ที่เหมาะสำหรับสวนแนวตั้ง ควรเป็นพืชที่ดูแลง่ายและไม่ต้องการการรดน้ำบ่อย เช่น พลูด่างที่มีใบเขียวสดช่วยเพิ่มความสดชื่น เฟิร์นที่ช่วยสร้างบรรยากาศธรรมชาติให้กับพื้นที่ หรือพืชอวบน้ำที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมและมีรูปร่างสวยงาม นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกปลูกไม้ดอกขนาดเล็กเพื่อเพิ่มสีสันให้กับสวนแนวตั้งได้อีกด้วย

ข้อดีของสวนแนวตั้งไม่ได้มีแค่ช่วยประหยัดพื้นที่ แต่ยังช่วยลดความร้อนให้กับตัวบ้าน เพิ่มความเป็นส่วนตัว และทำให้บรรยากาศของบ้านดูมีชีวิตชีวามากขึ้น หากต้องการเพิ่มเสน่ห์ให้สวนแนวตั้งของคุณ ลองติดไฟตกแต่งหรือใช้กระถางดีไซน์เก๋ ๆ เพื่อเพิ่มมิติให้กับพื้นที่สีเขียวนี้

สวนหิน

สวนหินเป็นอีกหนึ่งสไตล์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสวนที่ดูแลง่ายและมีความสวยงามแบบเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติ จุดเด่นของสวนหินคือการใช้หินและทรายเป็นองค์ประกอบหลักแทนสนามหญ้า ซึ่งช่วยลดภาระในการดูแลและรดน้ำ สวนสไตล์นี้มักได้แรงบันดาลใจมาจากสวนญี่ปุ่นที่เน้นความสมดุลและความสงบของธรรมชาติ

พืชที่เหมาะกับสวนหินควรเป็นพืชที่แข็งแรงและทนแล้ง เช่น กระบองเพชรหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งมีรูปทรงที่แปลกตาและดูแลไม่ยาก ต้นสนขนาดเล็กที่ให้บรรยากาศแบบมินิมอล หรือไม้พุ่มเตี้ยที่ช่วยเพิ่มสีสันให้สวนดูมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น

นอกจากการเลือกพืชแล้ว การจัดเรียงหินก็เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ การวางหินขนาดใหญ่สลับกับหินก้อนเล็ก และการใช้หินแม่น้ำสีต่าง ๆ สามารถช่วยเพิ่มมิติให้สวนดูน่าสนใจมากขึ้น หากต้องการเพิ่มความผ่อนคลาย สามารถเพิ่มองค์ประกอบอย่างเช่น บ่อน้ำขนาดเล็ก หรือสะพานไม้เล็ก ๆ เพื่อให้สวนดูมีชีวิตชีวาขึ้น

สวนหินไม่เพียงแต่ดูแลง่าย แต่ยังเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการนั่งเล่นพักผ่อน หากต้องการเพิ่มความสะดวกสบาย สามารถนำเก้าอี้หวายหรือศาลาไม้มาเสริมให้เป็นมุมพักผ่อนส่วนตัวที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติ

สวนเซน

สวนเซนเป็นสวนที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมญี่ปุ่น โดยมีแนวคิดที่เน้นความเรียบง่าย ความสมดุล และความสงบของธรรมชาติ จุดเด่นของสวนประเภทนี้คือการจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ให้มีความหมายลึกซึ้ง โดยใช้หิน กรวด และทรายเป็นองค์ประกอบหลักแทนสนามหญ้า เพื่อสร้างบรรยากาศที่สงบและเป็นระเบียบ

พืชที่นิยมใช้ในสวนเซนมักเป็นพืชที่ดูแลง่ายและมีความหมายในเชิงปรัชญา เช่น ต้นสนที่เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและยืนยาว มอสที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและให้ความรู้สึกสงบ หรือไม้พุ่มที่ถูกตัดแต่งอย่างประณีตเพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดของความสมดุล

สวนประเภทนี้ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่ที่สวยงาม แต่ยังช่วยสร้างบรรยากาศสงบ ผ่อนคลาย และเหมาะกับการทำสมาธิ การมองดูสวนเซน หรือแม้แต่การดูแลและปรับแต่งองค์ประกอบภายในสวน เช่น การคราดลายบนทราย ก็ถือเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้จิตใจสงบและมีสมาธิ

สวนสไตล์ไทย

สวนสไตล์ไทยเป็นการจัดสวนที่สะท้อนเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมไทยผ่านองค์ประกอบทางธรรมชาติและสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น เสน่ห์ของสวนประเภทนี้อยู่ที่ความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ เสียงน้ำไหลจากบ่อน้ำหรือโอ่งน้ำล้น และกลิ่นหอมของดอกไม้ไทยที่อบอวลอยู่ในอากาศ

พืชพรรณที่นิยมปลูกในสวนสไตล์ไทยมักเป็นไม้ยืนต้นที่ให้ร่มเงา เช่น ต้นมะม่วง ต้นขนุน หรือพืชที่มีใบดกหนาทึบเพื่อช่วยลดความร้อน นอกจากนี้ยังมีไม้ดอกที่มีกลิ่นหอมและให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เช่น ดอกจำปี ดอกจำปา ดอกแก้ว และดอกมะลิ ซึ่งนอกจากจะให้ความงามทางสายตาแล้ว ยังช่วยสร้างบรรยากาศที่สดชื่นและสงบเงียบ

วัสดุที่ใช้ในสวนสไตล์ไทยมักเน้นไปที่วัสดุจากธรรมชาติ เช่น ศาลาไม้ทรงไทยที่ใช้เป็นมุมนั่งเล่นและพักผ่อน ทางเดินที่ปูด้วยอิฐมอญหรือศิลาแลงที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น หรือแม้แต่การใช้เครื่องปั้นดินเผาตกแต่งสวนก็ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้สวนดูมีเอกลักษณ์ยิ่งขึ้น

สรุป

การเลือกสวนให้เข้ากับบ้านไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม แต่ยังต้องคำนึงถึงฟังก์ชันและการดูแลรักษาด้วย สไตล์สวนที่เลือกควรสะท้อนบุคลิกของเจ้าของบ้านและช่วยเสริมบรรยากาศของบ้านให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ไม่ว่าคุณจะชอบความร่มรื่นแบบสวนทรอปิคอล ความสงบแบบสวนเซน หรือความสดใสแบบสวนอังกฤษ ลองเลือกสไตล์ที่เข้ากับบ้านและไลฟ์สไตล์ของคุณดู แล้วคุณจะพบว่าสวนที่ดีสามารถเปลี่ยนบ้านให้เป็นสถานที่ที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ตรวจสอบบ้านหลังเกิดแผ่นดินไหว ตรวจยังไงดี

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

แผ่นดินไหวเป็นภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว และอาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของอาคารบ้านเรือนได้ แม้ว่าแผ่นดินไหวจะไม่รุนแรงจนถึงขั้นทำให้บ้านถล่มลงมา แต่ก็อาจเกิดรอยร้าวหรือความเสียหายที่มองไม่เห็นได้ ซึ่งหากละเลยก็อาจเป็นอันตรายในระยะยาว การตรวจสอบบ้านหลังแผ่นดินไหวจึงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อความปลอดภัยของทุกคนในบ้าน มาดูกันว่าวิธีการตรวจสอบบ้านหลังเกิดแผ่นดินไหวที่ถูกต้องและปลอดภัยควรทำอย่างไรบ้าง นี้คือวิธีการตรวจสอบเบื้องต้นเท่านั้น หากพบว่าภายนอกมีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างรอยร้าวแตกบริเวณผนังเป็นช่องกว้างๆ หรือพื้นดินทรุดตัว “ห้ามเข้าไปในอาคาร” โดยเด็ดขาด !!

1. ตรวจสอบโครงสร้างภายนอกของบ้าน

ตรวจสอบรอบบ้าน

ตรวจสอบสภาพภายนอกของบ้านก่อน หากพบว่ามีรอยร้าวที่กว้างและลึก ไม่ควรเข้าไปในบ้าน :
ภาพจาก UltraTech Cement

เมื่อแผ่นดินไหวสงบแล้ว สิ่งแรกที่ควรทำคือตรวจสอบโครงสร้างภายนอกของบ้านเพื่อหาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับส่วนต่าง ๆ เช่น กำแพง เสา คาน หรือฐานราก ลองเดินสำรวจรอบบ้านเพื่อดูว่ามีรอยร้าวขนาดใหญ่หรือไม่ หากพบว่ามีกำแพงแตกร้าวเป็นแนวเฉียงหรือเป็นรอยแตกลึก อาจเป็นสัญญาณว่ามีความเสียหายต่อโครงสร้างหลัก ควรเรียกวิศวกรหรือผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบอย่างละเอียด

หากมีระเบียงหรือลานบ้าน ควรตรวจสอบว่าพื้นยังมั่นคงดีหรือไม่ หากพบว่ามีการทรุดตัวของพื้นบ้านหรือเสาค้ำยันมีรอยแตกร้าว อาจเป็นอันตรายในอนาคตได้ ส่วนของรั้วบ้านก็ควรเช็กว่ามีรอยร้าวหรือเอียงผิดปกติหรือไม่ เพราะอาจมีความเสี่ยงที่จะพังลงมา

ควรสังเกตต้นไม้หรือเสาไฟฟ้าบริเวณรอบบ้านด้วย หากพบว่ามีการเอนเอียงผิดปกติ อาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของพื้นดินใต้บ้านที่อาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างในระยะยาว

แนะนำหากพบว่าบ้านมีการทรุดตัวอย่างรุนแรงหรือพบรอยร้าวที่กว้างมากๆ ห้ามเข้าไปในพื้นที่เด็ดขาด และควรติดต่อเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบให้เร็วที่สุด

2. ตรวจสอบหลังคาและโครงสร้างด้านบน

รอยร้าวในบ้าน

รอยร้าวบริเวณโครงสร้างด้านบนที่รุนแรงมาก : ภาพจาก amc911

หลังคาหรือฝ้าเพดานเป็นอีกจุดที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวได้ง่าย ควรมองขึ้นไปดูว่าหลังคามีการโยกหรือเลื่อนออกจากจุดเดิมหรือไม่ กระเบื้องหลังคามีรอยแตกหรือหลุดร่วงหรือเปล่า หากพบว่ามีกระเบื้องเสียหาย ควรรีบซ่อมแซมเพื่อป้องกันการรั่วซึมหรืออันตรายจากการตกลงมา

หากเป็นบ้านที่มีฝ้าเพดาน ควรตรวจสอบดูว่าฝ้ามีรอยแตกร้าวหรือแผ่นฝ้ามีการหลุดหรือไม่ บางครั้งแผ่นดินไหวอาจทำให้ฝ้าเกิดรอยแยกที่มองไม่เห็นได้ทันที แต่เมื่อเวลาผ่านไปอาจทำให้เกิดปัญหาน้ำรั่วซึมหรือชิ้นส่วนฝ้าตกลงมาได้

ควรใช้ไฟฉายส่องใต้หลังคาเพื่อสำรวจว่ามีคานไม้หรือโครงสร้างเหล็กบิดเบี้ยวหรือไม่ หากพบว่าโครงสร้างหลังคาเสียหาย อาจต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาประเมินความแข็งแรงและทำการซ่อมแซม

3. ตรวจสอบผนังและรอยแตกร้าวภายในบ้าน

รอยร้าวที่เป็นอันตราย

รอยร้าวที่เป็นอันตรายต่อตัวบ้านเป็นอย่างยิ่ง : ภาพจาก Geobear UK

หลังจากตรวจสอบภายนอกบ้านแล้ว ต่อไปคือการตรวจสอบภายในบ้าน เริ่มจากผนังภายในว่ามีรอยร้าวหรือไม่ รอยร้าวที่เล็กน้อยอาจเป็นเพียงรอยที่เกิดจากการขยับตัวของอาคาร แต่หากรอยร้าวมีขนาดใหญ่หรือเป็นรอยแตกต่อเนื่องจากพื้นถึงเพดาน อาจหมายถึงโครงสร้างบ้านได้รับความเสียหาย และคุณควรรีบออกจากพื้นที่โดยทันที

ประตูและหน้าต่างเป็นอีกจุดที่ควรตรวจสอบ ลองเปิดปิดประตูหน้าต่างดูว่ามีการติดขัดหรือไม่ หากพบว่ามีปัญหาในการเปิดปิด อาจเป็นไปได้ว่าโครงสร้างบ้านมีการบิดเบี้ยวจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ซึ่งควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ให้สังเกตว่ามีฝุ่นผงหรือเศษปูนตกลงมาจากเพดานหรือไม่ เพราะอาจเป็นสัญญาณของโครงสร้างภายในที่เสียหาย ควรรีบซ่อมแซมหรือเสริมความแข็งแรงก่อนเกิดปัญหาที่ใหญ่ขึ้น

4. ตรวจสอบพื้นบ้านและระบบไฟฟ้า

พื้นบ้านอาจเกิดการทรุดตัวได้หลังแผ่นดินไหว ควรสำรวจว่ามีรอยร้าวหรือมีส่วนที่ยุบลงไปหรือไม่ หากพบว่ามีการทรุดตัวของพื้น อาจต้องพิจารณาการเสริมฐานรากหรือปรับปรุงโครงสร้างพื้นบ้านใหม่

นอกจากนี้ ระบบไฟฟ้าก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตรวจสอบ ตรวจสอบดูว่ามีสายไฟขาดหรือชำรุดหรือไม่ หากพบว่ามีปลั๊กไฟหลุด หลอดไฟแตก หรือมีกลิ่นไหม้จากสายไฟ ควรรีบตัดกระแสไฟและเรียกช่างไฟเข้ามาตรวจสอบทันทีเพื่อป้องกันอัคคีภัย

ควรตรวจสอบตู้ควบคุมไฟฟ้าและเบรกเกอร์ว่ามีรอยไหม้หรือมีเสียงผิดปกติหรือไม่ เพราะหากระบบไฟฟ้าเสียหาย อาจทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรและเสี่ยงต่อไฟไหม้ได้

5. ตรวจสอบระบบน้ำและท่อประปา

แผ่นดินไหวอาจทำให้ท่อน้ำแตกหรือรั่วซึมได้ ให้ลองเปิดก๊อกน้ำและตรวจสอบแรงดันน้ำว่าปกติหรือไม่ หากพบว่าแรงดันน้ำลดลงผิดปกติ อาจมีการรั่วไหลของน้ำที่มองไม่เห็น ควรตรวจสอบรอบ ๆ บ้านว่ามีน้ำซึมออกมาจากผนังหรือพื้นบ้านหรือไม่ และควรซ่อมแซมโดยเร็วเพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม

ควรตรวจสอบถังเก็บน้ำหรือแทงค์น้ำที่ติดตั้งไว้ว่าเกิดการรั่วหรือแตกร้าวหรือไม่ เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำที่ใช้ในบ้านยังปลอดภัยและไม่มีการปนเปื้อน

6. เฝ้าระวังอาการผิดปกติในระยะยาว

บางครั้งความเสียหายที่เกิดจากแผ่นดินไหวอาจไม่ปรากฏให้เห็นในทันที แต่อาจค่อย ๆ แสดงอาการเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้น ควรเฝ้าระวังและสังเกตการเปลี่ยนแปลงของบ้านเป็นระยะ หากพบว่าโครงสร้างบ้านมีการแตกร้าวเพิ่มขึ้น ผนังเริ่มแยกออกจากกัน หรือพื้นบ้านมีการทรุดตัวมากขึ้น ควรรีบติดต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบและซ่อมแซมก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม

สรุป

การตรวจสอบบ้านหลังเกิดแผ่นดินไหวเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การสำรวจโครงสร้างภายนอก ภายใน ระบบไฟฟ้า และระบบประปา จะช่วยให้เราสามารถระบุและแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัยของบ้านได้ ควรติดตามอาการผิดปกติของโครงสร้างบ้านและเตรียมพร้อมรับมือกับแผ่นดินไหวในอนาคต เพื่อให้บ้านของเรายังคงมั่นคงและปลอดภัยเสมอ


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

สร้างบ้านเองดียังไง ? เหตุผลที่ต้องสร้างเอง

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

การมีบ้านเป็นของตัวเองคือความฝันของใครหลายคน บางคนเลือกซื้อบ้านสำเร็จรูปเพื่อความสะดวก แต่บางคนกลับอยากสร้างบ้านเองให้ตรงกับความต้องการมากที่สุด คำถามคือ การสร้างบ้านเองดีจริงหรือไม่? และมีเหตุผลอะไรที่ทำให้การสร้างบ้านเองเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ? บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับข้อดีของการสร้างบ้านเอง พร้อมเหตุผลที่หลายคนตัดสินใจเลือกแนวทางนี้

1. ควบคุมงบประมาณได้เอง

หนึ่งในเหตุผลหลักที่หลายคนเลือกสร้างบ้านเองคือสามารถควบคุมงบประมาณได้ดีกว่าการซื้อบ้านสำเร็จรูป เพราะคุณสามารถกำหนดได้ว่าต้องการใช้วัสดุแบบไหน จะเลือกของคุณภาพสูงหรือประหยัดตรงไหนได้บ้าง รวมถึงสามารถแบ่งจ่ายเป็นงวด ๆ ตามความสามารถทางการเงินของตนเอง โดยไม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ในคราวเดียวเหมือนการซื้อบ้านจากโครงการ

หากคุณเลือกใช้วัสดุท้องถิ่นแทนของนำเข้า หรือลดบางฟังก์ชันที่ไม่จำเป็นออก ก็สามารถลดค่าใช้จ่ายไปได้มาก ในขณะเดียวกัน คุณยังสามารถเพิ่มงบในส่วนที่สำคัญ เช่น โครงสร้าง หรือระบบไฟฟ้าประปาให้มีคุณภาพสูงขึ้น ซึ่งช่วยให้บ้านของคุณอยู่ได้นานและคุ้มค่ากับการลงทุน

2. ออกแบบได้ตรงใจ

บ้านเป็นสถานที่ที่เราต้องอยู่ไปอีกนาน ดังนั้น การที่สามารถออกแบบบ้านให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญ คนที่เลือกสร้างบ้านเองจะสามารถกำหนดแปลนบ้านได้เอง ไม่ต้องกังวลว่าจะเจอข้อจำกัดจากโครงการหมู่บ้านที่มีรูปแบบตายตัว

ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นคนชอบทำอาหาร อาจต้องการห้องครัวขนาดใหญ่ หรือถ้าคุณทำงานที่บ้าน คุณอาจต้องการห้องทำงานที่มีแสงธรรมชาติและเงียบสงบ สิ่งเหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ โดยไม่ต้องมาปรับปรุงหรือรีโนเวททีหลังให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่ม สามารถออกแบบและสร้างได้ตั้งแต่ต้นเลย

3. เลือกวัสดุและผู้รับเหมาเอง

การสร้างบ้านเองทำให้คุณสามารถเลือกวัสดุได้เอง ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมกับงบประมาณและคุณภาพที่ต้องการได้ ไม่ต้องใช้วัสดุที่โครงการกำหนดมาให้ ซึ่งบางครั้งอาจไม่ตรงใจกับความต้องการคุณ

นอกจากนี้ คุณยังสามารถเลือกทีมผู้รับเหมาหรือสถาปนิกที่มีความสามารถและไว้ใจได้ ลดปัญหาการใช้วัสดุคุณภาพต่ำหรือการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน หากคุณศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับทีมงานก่อสร้างดี ๆ ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการถูกโกงหรือทำงานล่าช้าได้

4. ได้ทำเลที่เหมาะสม

เรื่องทำเลหลายคนก็ค่อนข้างให้ความใส่ใจเป็นอันดับต้นๆ เพราะเราต้องอยู่อาศัยกับ ณ ที่แห่งนั้นแทบจะตลอดชีวิตหากไม่ได้มีแพลนในการย้ายบ้านหรือที่อยู่อาศัยใหม่ ซึ่งหากเราสร้างบ้านเองก็สามารถเลือกทำเลที่เหมาะสมได้ตามความต้องการของเราและสอดคล้องกับการดำเนินชีวิตประจำวัน แถมยังสามารถออกแบบบ้านในฝันให้อยู่ในทำเลที่เหมาะสมได้อีก แน่นอนว่าสำหรับคนที่มีที่ดินเป็นของตัวเองมักจะสร้างบ้านด้วยตัวเองทั้งนั้น

5. มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า

สำหรับเรื่องความเป็นส่วนตัวในปัจจุบันหลายคนก็ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะไม่ต้องการมีรั้วรอบขอบชิดใกล้กับบ้านใครหรือไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนบ้าน เช่น เวลาทำกับข้าวแล้วกลิ่นลอยอาจจะทำให้สร้างความไม่พอใจให้กับเพื่อนบ้านได้ หรือบางคนอยากจะเพิ่มความสงบให้กับบ้านด้วยการปลูกต้นไม้สูงรอบบ้านแบบไม่ต้องกลัวปลิวไปตกที่ข้างบ้านก็สามารถทำได้เช่นกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าทำเลที่คุณปลูกบ้านนั้นใกล้กับบ้านคนอื่นหรือไม่ หรือค่อนข้างมีความชุกชุมของผู้คนน้อย

6. ประหยัดค่าส่วนกลาง

เรื่องค่าส่วนกลางหากซื้อบ้านที่เป็นโครงการคุณจำเป็นจะต้องจ่ายทุกเดือน เพราะเงินที่คุณจ่ายนั้นจะถูกนำไปบำรุงดูแลรักษาบริเวณรอบโครงการบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการด้านส่วนกลาง การรักษาความปลอดภัย การจ้างพนักงานทำความสะอาด การบริหารจัดการอื่นๆ แต่ด้วยปัจจุบันไลฟ์สไตล์หลายคนเริ่มเปลี่ยนไป ทำให้การใช้งานส่วนกลางค่อนข้างลดลงมากพอสมควรในหลายๆ โครงการ หรือสำหรับคนที่ไม่ได้มีความต้องการใช้ส่วนกลาง การสร้างบ้านเองก็เป็นทางออกที่ช่วยประหยัดเงินในระยะยาวอย่างน้อยๆ เดือนละ 2 – 3,000 บาท ได้

หากคุณกังวลเรื่องความปลอดภัย ในปัจจุบันก็มีพวกเทคโนโลยีกล้องวงจรปิดหรืออุปกรณ์ Smart Home ที่ช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับบ้านได้เหมือนกัน คุณอาจจะเอาเงินที่ประหยัดจากค่าส่วนกลางที่ไม่ต้องจ่ายเอาไปลงทุนเพิ่มเติมกับอุปกรณ์เหล่านี้ได้

7. ต่อเติมได้ตลอด

ในเรื่องการต่อเติมบ้านหรือปรับปรุงบ้านนั้นหากเป็นบ้านโครงการอาจจะไม่สามารถต่อเติมหรือปรับปรุงได้ดั่งใจมากนัก เพราะด้วยข้อจำกัดของทั้งกฎหมายเองและข้อกำหนดจากทางโครงการทำให้เราไม่สามารถทำอะไรมากได้ ยกเว้นแต่ว่าหากคุณสร้างบ้านเป็นของตัวเองแล้ววางแผนว่าจะขยายบ้านเพิ่มเติมก็สามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตหรือกลัวว่าจะรบกวนเพื่อนบ้านได้หากว่าคุณสร้างตรงนั้นคนเดียว หรือแม้กระทั่งคุณจะสร้างกำแพงให้สูงขึ้นแต่ยังอยู่ในข้อกฎหมายกำหนดก็ทำได้เช่นกัน

สรุป

การสร้างบ้านเองมีข้อดีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมงบประมาณ การออกแบบให้ตรงความต้องการ การเลือกวัสดุและผู้รับเหมาได้เอง หรือแม้แต่การเลือกทำเลที่เหมาะสม นอกจากนี้ การสร้างบ้านเองยังช่วยให้คุณได้บ้านที่มีคุณค่าในระยะยาวและเป็นที่พักอาศัยที่สะท้อนตัวตนของคุณมากที่สุด

แม้ว่าการสร้างบ้านเองจะมีความยุ่งยากและใช้เวลานานกว่าการซื้อบ้านสำเร็จรูป แต่หากมีการวางแผนที่ดี ก็สามารถลดปัญหาและทำให้บ้านที่คุณสร้างขึ้นมานั้นเป็นบ้านที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับคุณและครอบครัวได้ แต่ทั้งนี้ทางบ้านเพื่อนขอแนะนำว่าหากคุณจะสร้างบ้านเองหรือแม้กระทั่งมีความสนใจจะซื้อบ้านโครงการ อย่างน้อยๆ ก็ควรมีความรู้ทางด้านก่อสร้างไว้สักนิดก็ยังดี เผื่อจะได้ใช้ประโยชน์ในอนาคต


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

เหตุผลที่กู้บ้านไม่ผ่าน เป็นเพราะอะไร

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

การมีบ้านเป็นของตัวเองคือความฝันของหลาย ๆ คน แต่เมื่อถึงเวลายื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย กลับพบว่าธนาคารปฏิเสธคำขอ ทำให้ความฝันต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว หลายคนอาจรู้สึกสับสนและผิดหวังว่าเหตุใดจึงไม่ได้รับการอนุมัติ ทั้งที่ตนเองเตรียมตัวมาอย่างดี หรืออาจคิดว่าเป็นเรื่องของโชคชะตา แต่ในความเป็นจริงแล้ว การกู้บ้านไม่ผ่านนั้นมาจากเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ และสามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ในอนาคต บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่าเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้การกู้บ้านไม่ผ่านมีอะไรบ้าง และควรปรับปรุงอย่างไรเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติในครั้งต่อไป

1. รายได้ไม่เพียงพอต่อภาระหนี้

ธนาคารพิจารณาความสามารถในการผ่อนชำระของผู้กู้จากรายได้ต่อเดือน เมื่อรายได้ของผู้ขอสินเชื่อต่ำเกินไป หรือไม่สอดคล้องกับภาระหนี้ที่ต้องแบกรับ ธนาคารอาจตัดสินใจปฏิเสธคำขอทันที นั่นเป็นเพราะว่าธนาคารต้องมั่นใจว่าผู้กู้สามารถผ่อนชำระเงินกู้ได้จริงโดยไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต

ตัวอย่างเช่น หากคุณมีรายได้เดือนละ 30,000 บาท และต้องการกู้เงินจำนวน 3 ล้านบาท ด้วยระยะเวลาผ่อน 30 ปี ค่างวดโดยประมาณอยู่ที่ 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งสูงถึง 50% ของรายได้ ธนาคารอาจเห็นว่าเป็นความเสี่ยงและปฏิเสธคำขอได้ เพราะแน่นอนว่าธนาคารไม่สามารถแบกรับความเสี่ยงที่อาจจะทำให้ลูกหนี้ผิดนัดชำระหรือผ่อนบ้านต่อไม่ไหวอย่างแน่นอน

แนวทางแก้ไข หากต้องการเพิ่มโอกาสในการกู้ผ่าน ควรลดภาระหนี้ที่มีอยู่ หรือพิจารณาหาผู้กู้ร่วมเพื่อช่วยเพิ่มรายได้รวมให้สูงขึ้น

2. ภาระหนี้สินมากเกินไป

นอกจากรายได้แล้ว ธนาคารยังพิจารณาสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt-to-Income Ratio: DTI) หากคุณมีภาระหนี้จากบัตรเครดิต สินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อส่วนบุคคลจำนวนมาก การขอสินเชื่อบ้านอาจถูกปฏิเสธ เนื่องจากธนาคารมองว่าอาจเกิดปัญหาในการชำระหนี้ในอนาคต

ตัวอย่างเช่น หากคุณมีรายได้ 40,000 บาทต่อเดือน แต่มีภาระหนี้จากบัตรเครดิต 10,000 บาทต่อเดือน และผ่อนรถอีก 8,000 บาท รวมเป็น 18,000 บาท ธนาคารอาจมองว่าคุณมีภาระหนี้สูงถึง 45% ของรายได้ ซึ่งเป็นระดับที่เสี่ยงต่อการผิดนัดชำระ

แนวทางแก้ไข ลดภาระหนี้ก่อนยื่นกู้ เช่น ปิดบัตรเครดิตที่ไม่จำเป็น หรือโปะหนี้สินเชื่อบางส่วนให้ลดลงก่อน

3. เครดิตบูโรไม่ดี หรือประวัติการเงินมีปัญหา

เครดิตบูโรเป็นสิ่งสำคัญที่ธนาคารใช้ในการพิจารณาสินเชื่อ หากประวัติการชำระเงินของคุณไม่ดี เช่น เคยผิดนัดชำระหนี้ ล่าช้าเกิน 90 วัน หรือมีการปิดบัญชีสินเชื่อด้วยสถานะหนี้เสีย ธนาคารอาจมองว่าคุณเป็นลูกค้าความเสี่ยงสูงและไม่อนุมัติสินเชื่อ

บางคนอาจคิดว่าเครดิตบูโรไม่สำคัญ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประวัติการเงินที่ดีเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ธนาคารมั่นใจว่าคุณสามารถจัดการหนี้สินได้ดี หากคุณเคยมีปัญหาด้านการเงิน เช่น การผิดนัดชำระหนี้ซ้ำ ๆ หรือภาระหนี้ที่ถูกฟ้องร้อง นั่นเป็นสัญญาณเตือนที่ทำให้ธนาคารไม่กล้าให้สินเชื่อ

แนวทางแก้ไข ตรวจสอบเครดิตบูโรก่อนยื่นกู้ หากพบว่ามีประวัติการผิดนัด ให้ใช้เวลาปรับปรุงเครดิตโดยชำระหนี้ให้ตรงเวลาอย่างน้อย 6-12 เดือนก่อนยื่นขอสินเชื่อใหม่ และหลีกเลี่ยงการเปิดบัตรเครดิตหรือสินเชื่อใหม่ที่ไม่จำเป็น

4. อายุงานไม่ผ่านเกณฑ์ หรืออาชีพไม่มั่นคง

ธนาคารต้องการเห็นความมั่นคงทางการเงินของผู้กู้ หากคุณเพิ่งเปลี่ยนงาน หรือทำงานในสายอาชีพที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น ฟรีแลนซ์ หรือพ่อค้าแม่ค้า โดยไม่มีเอกสารทางการเงินที่ชัดเจน ธนาคารอาจมองว่าคุณมีความเสี่ยงสูงในการผิดนัดชำระหนี้

แนวทางแก้ไข ควรมีอายุงานอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปีขึ้นไป หรือหากเป็นอาชีพอิสระ ควรจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายให้ชัดเจน มีเอกสารแสดงรายได้ที่แน่นอน เช่น สเตทเมนต์ย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละเจ้าที่ให้คุณกู้ยืมสินเชื่อ หรือภาษีเงินได้ที่ยื่นต่อสรรพากร

5. เอกสารไม่ครบถ้วนหรือมีข้อมูลที่ผิดพลาด

เอกสารถือเป็นหัวใจสำคัญของการขอสินเชื่อ หากมีการส่งเอกสารไม่ครบถ้วน หรือกรอกข้อมูลผิดพลาด เช่น รายได้ที่แจ้งไม่ตรงกับสลิปเงินเดือน หรือเอกสารแสดงตัวตนไม่ชัดเจน อาจทำให้ธนาคารปฏิเสธสินเชื่อได้ทันที นอกจากนี้ หากเอกสารเกี่ยวกับแหล่งที่มาของรายได้ไม่ชัดเจน ธนาคารอาจมองว่าคุณมีความเสี่ยงต่อการชำระหนี้ในอนาคต

แนวทางแก้ไข ตรวจสอบเอกสารให้ละเอียดก่อนส่ง และควรมีเอกสารสนับสนุนที่ครบถ้วน เช่น สัญญาจ้างงาน ใบรับรองเงินเดือน และรายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน หากเป็นอาชีพอิสระ ควรมีใบเสียภาษีเพื่อยืนยันรายได้

6. มูลค่าบ้านต่ำกว่าราคาซื้อขาย

เมื่อคุณยื่นขอสินเชื่อบ้าน ธนาคารจะทำการประเมินราคาบ้านก่อนปล่อยกู้ หากราคาประเมินออกมาต่ำกว่าราคาซื้อขายจริง ธนาคารจะอนุมัติสินเชื่อตามราคาประเมินเท่านั้น ทำให้ผู้กู้ต้องหาส่วนต่างมาโปะเอง หากไม่มีเงินสำรองเพียงพอ อาจทำให้ขอสินเชื่อไม่ผ่านหรือไม่สามารถดำเนินการซื้อขายต่อได้

ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาท แต่ธนาคารประเมินบ้านไว้ที่ 2.5 ล้านบาท ธนาคารจะปล่อยกู้ตามราคาประเมิน นั่นหมายความว่าคุณต้องจ่ายส่วนต่าง 500,000 บาทด้วยเงินของตัวเอง หากไม่สามารถจ่ายได้ ธุรกรรมนี้อาจล้มเหลว

ปัจจัยที่อาจทำให้ราคาประเมินบ้านต่ำกว่าราคาซื้อขาย เช่น

  • สภาพบ้านเก่าหรือมีปัญหาโครงสร้าง
  • ทำเลไม่ดี หรือมีปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาตลาด เช่น น้ำท่วมบ่อย
  • บ้านอยู่ในโครงการที่ไม่มีมาตรฐาน หรือไม่มีข้อมูลเปรียบเทียบในตลาด
  • ราคาขายที่ตั้งไว้สูงเกินไปเมื่อเทียบกับราคาตลาดในบริเวณเดียวกัน

แนวทางการแก้ไข หากพบว่าเป็นเช่นนี้คุณอาจจะต้องดูราคาจากบ้านบริเวณใกล้เคียงเพื่อตรวจสอบว่ามูลค่าของบ้านที่เราต้องการซื้อสูงเกินไปหรือไม่ หรือไม่ก็อาจจะเจรจากับเจ้าของบ้านเพื่อขอลดราคาบ้านให้ใกล้เคียงกับราคาประเมินให้ได้มากที่สุดก็ได้เช่นกัน แต่ถ้าหากว่าสุดท้ายแล้วไม่ได้จริงๆ เราอาจจะต้องสำรองเงินส่วนต่างเอาไว้

7. อายุของผู้กู้ไม่เหมาะสม

อายุของผู้กู้มีผลโดยตรงต่อระยะเวลาผ่อนชำระและจำนวนเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติ ธนาคารส่วนใหญ่มักมีข้อกำหนดให้ระยะเวลาการผ่อนชำระสิ้นสุดก่อนที่ผู้กู้จะมีอายุ 60-70 ปี ดังนั้น หากผู้กู้มีอายุมาก การกู้เงินเพื่อซื้อบ้านอาจถูกจำกัดด้วยระยะเวลาการผ่อนที่สั้นลง ซึ่งส่งผลให้ค่างวดต่อเดือนสูงขึ้นจนเกินกำลังผ่อน หรือในบางกรณี ธนาคารอาจไม่อนุมัติสินเชื่อเลยเนื่องจากความเสี่ยงที่ผู้กู้อาจไม่มีรายได้เพียงพอหลังเกษียณ

ตัวอย่างเช่น หากคุณอายุ 50 ปีและต้องการกู้เงินผ่อน 30 ปี ธนาคารอาจลดระยะเวลาผ่อนเหลือเพียง 10-15 ปีเท่านั้น ทำให้ค่างวดที่ต้องจ่ายต่อเดือนสูงกว่าปกติ ส่งผลให้ภาระทางการเงินเพิ่มขึ้นและอาจทำให้ธนาคารปฏิเสธคำขอสินเชื่อ

อีกปัจจัยที่เกี่ยวข้องคือรายได้ของผู้กู้หลังเกษียณ หากผู้กู้ไม่มีแผนการเงินรองรับรายได้หลังจากหยุดทำงาน เช่น เงินบำนาญหรือเงินออมที่เพียงพอ ธนาคารอาจมองว่าเป็นความเสี่ยงในการชำระหนี้ และอาจลดวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติลง

แนวทางแก้ไข หากอายุของผู้กู้เป็นปัจจัยที่ทำให้กู้ไม่ผ่าน อาจพิจารณากู้ร่วมกับผู้ที่อายุน้อยกว่า เช่น บุตรหลานหรือคู่สมรส เพื่อช่วยให้ธนาคารสามารถขยายระยะเวลาการผ่อนชำระออกไปได้นานขึ้น นอกจากนี้ ควรเลือกธนาคารที่มีนโยบายการปล่อยสินเชื่อสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งบางธนาคารอาจขยายระยะเวลาการกู้เกินกว่า 60 ปีได้หากมีหลักฐานยืนยันรายได้ที่มั่นคงหลังเกษียณ 

สรุป

สาเหตุที่ทำให้การกู้บ้านไม่ผ่านมีหลากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องรายได้ ภาระหนี้ ประวัติทางการเงิน ความมั่นคงในการทำงาน เอกสารที่ไม่ครบถ้วน หรือแม้แต่ราคาประเมินของบ้านที่ต่ำกว่าราคาซื้อขาย ซึ่งแต่ละปัจจัยสามารถแก้ไขและปรับปรุงได้ หากคุณพบว่าการขอสินเชื่อของตนเองถูกปฏิเสธ อย่าท้อแท้ ให้กลับมาวิเคราะห์จุดอ่อนของตัวเอง ปรับปรุงด้านการเงิน ลดภาระหนี้ เพิ่มความน่าเชื่อถือทางเครดิต หรือหาผู้กู้ร่วมเพื่อเพิ่มโอกาสในการอนุมัติ การเตรียมตัวให้พร้อมและรอบคอบจะช่วยให้คุณสามารถยื่นขอสินเชื่อบ้านได้สำเร็จ และทำให้ความฝันในการมีบ้านเป็นของตัวเองเป็นจริงได้ในที่สุด

 


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

โอนบ้านต้องรู้อะไรบ้าง มีส่วนไหนที่ต้องจ่าย ?

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

การโอนบ้านเป็นขั้นตอนสำคัญที่ผู้ซื้อและผู้ขายต้องเข้าใจอย่างละเอียด เพราะเกี่ยวข้องกับกฎหมาย ภาษี และค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมไว้ หากไม่มีความเข้าใจในกระบวนการเหล่านี้ อาจทำให้เกิดปัญหาหรือค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการโอนบ้าน ตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้คุณสามารถวางแผนได้อย่างถูกต้องและไม่มีปัญหาตามมาในภายหลัง

ขั้นตอนการโอนบ้าน

การโอนบ้านต้องดำเนินการตามกฎหมายและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้

1. ตรวจสอบข้อมูลทรัพย์สิน

ก่อนจะโอนบ้าน ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าทรัพย์สินที่ต้องการซื้อขายนั้นไม่มีภาระผูกพันหรือข้อจำกัดทางกฎหมาย เช่น การจำนอง หนี้สิน หรือคดีความที่อาจมีผลกระทบต่อการซื้อขาย วิธีที่ง่ายที่สุดคือการขอเอกสารโฉนดที่ดินหรือหนังสือกรรมสิทธิ์บ้านจากสำนักงานที่ดินเพื่อตรวจสอบข้อมูล นอกจากนี้ ควรตรวจสอบว่าสิ่งปลูกสร้างหรือบ้านที่อยู่บนที่ดินนั้นได้รับอนุญาตถูกต้องหรือไม่ มีการรุกล้ำที่ดินข้างเคียงหรือไม่ และอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของกฎหมายผังเมืองหรือไม่ เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมายในอนาคต หากบ้านมีการปล่อยเช่าหรือมีบุคคลอื่นครอบครอง ควรตรวจสอบสถานะของสัญญาเช่าและข้อตกลงต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่อการโอนกรรมสิทธิ์

2. การเตรียมเอกสารสำหรับการโอน

การเตรียมเอกสารที่ถูกต้องและครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญในการโอนบ้าน เพราะเอกสารเหล่านี้ใช้ยืนยันความถูกต้องของทรัพย์สินและสิทธิของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย หากมีเอกสารขาดตกบกพร่อง อาจทำให้การโอนกรรมสิทธิ์ล่าช้าหรือเกิดปัญหาตามมาได้ ดังนั้น การตรวจสอบเอกสารก่อนยื่นเรื่องที่สำนักงานที่ดินจะช่วยให้กระบวนการดำเนินไปอย่างราบรื่น

  • ผู้ซื้อและผู้ขายต้องเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องให้พร้อม ซึ่งมักจะประกอบไปด้วย
  • บัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของทั้งสองฝ่าย
  • โฉนดที่ดินหรือหนังสือกรรมสิทธิ์บ้าน
  • สัญญาซื้อขาย (ถ้ามี)
  • ใบปลอดภาระหนี้ (กรณีมีการจำนองมาก่อนและได้ปลดจำนองแล้ว)
  • หนังสือยินยอมจากคู่สมรส (ถ้ามี)
  • ใบรับรองการเสียภาษีโรงเรือน (ถ้ามี)
  • หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามีการมอบอำนาจให้บุคคลอื่นดำเนินการแทน)

3. การดำเนินการที่สำนักงานที่ดิน

เมื่อเตรียมเอกสารครบแล้ว ผู้ซื้อและผู้ขายต้องเดินทางไปยังสำนักงานที่ดินที่ทรัพย์สินนั้นตั้งอยู่ เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเอกสาร พิจารณาภาระผูกพัน และดำเนินการคำนวณค่าธรรมเนียมต่าง ๆ หลังจากนั้นจะมีการลงนามในสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ และออกเอกสารสิทธิ์ใหม่ให้กับผู้ซื้อ

การโอนบ้านมีค่าใช้จ่ายหลายรายการที่ต้องพิจารณา โดยแบ่งออกเป็นค่าธรรมเนียมหลัก ๆ ได้แก่

1. ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์

สำนักงานที่ดินจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการโอนบ้านในอัตรา 2% ของราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยกรมธนารักษ์ ค่าใช้จ่ายส่วนนี้มักจะตกลงกันว่าผู้ซื้อหรือผู้ขายเป็นผู้รับผิดชอบ

2. ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (หัก ณ ที่จ่าย)

ผู้ขายต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งคำนวณจากราคาประเมินและระยะเวลาที่ถือครองทรัพย์สิน หากเป็นการขายโดยนิติบุคคล ภาษีจะคำนวณในอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลปกติ

3. ภาษีธุรกิจเฉพาะ

หากผู้ขายเป็นเจ้าของบ้านมาไม่ถึง 5 ปี หรือลงทะเบียนเป็นนิติบุคคล จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตรา 3.3% ของราคาขายหรือราคาประเมินที่ดิน (แล้วแต่ว่าจำนวนใดสูงกว่า) หากเป็นเจ้าของบ้านมานานเกิน 5 ปีและมีทะเบียนบ้านอยู่ในบ้านที่ขายนานกว่า 1 ปี จะได้รับการยกเว้นภาษีนี้

4. ค่าอากรแสตมป์

หากไม่ได้เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ จะต้องเสียค่าอากรแสตมป์ในอัตรา 0.5% ของราคาประเมินที่ดินหรือราคาขาย (เลือกจำนวนที่สูงกว่า)

5. ค่าจดจำนอง (ถ้ามี)

หากผู้ซื้อขอสินเชื่อบ้านจากธนาคาร จะต้องเสียค่าธรรมเนียมจดจำนองในอัตรา 1% ของมูลค่าจำนองกับสำนักงานที่ดิน ค่าใช้จ่ายนี้มักเป็นภาระของผู้ซื้อ

คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโอนบ้าน

การเจรจาระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ควรตกลงให้ชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายแต่ละรายการ เพราะบางกรณีผู้ซื้ออาจรับผิดชอบค่าโอนทั้งหมด หรืออาจแบ่งกันจ่ายขึ้นอยู่กับการตกลง

การใช้บริการนายหน้าหรือที่ปรึกษากฎหมาย หากไม่มั่นใจเกี่ยวกับกระบวนการโอนบ้าน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอสังหาริมทรัพย์หรือนายหน้ามืออาชีพเพื่อช่วยดูแลเรื่องเอกสารและการเจรจา

การตรวจสอบสัญญาซื้อขายให้รอบคอบ ก่อนเซ็นเอกสารใด ๆ ควรอ่านให้ละเอียดและทำความเข้าใจข้อกำหนดทั้งหมด เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

การวางแผนภาษีและค่าใช้จ่าย เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการโอนบ้านอาจสูง ควรวางแผนทางการเงินให้รอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อหรือขายบ้าน

สรุป

การโอนบ้านเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความเข้าใจในกฎหมาย เอกสาร และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้ขั้นตอนดำเนินไปอย่างราบรื่น ลดความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น การตรวจสอบข้อมูลทรัพย์สิน การทำความเข้าใจภาษีและค่าธรรมเนียม ตลอดจนการเจรจาเรื่องค่าใช้จ่ายล่วงหน้า เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายควรทำเพื่อให้การโอนบ้านเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นธรรม ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายควรศึกษาให้รอบด้านก่อนตัดสินใจ เพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างโปร่งใสและไม่มีปัญหาภายหลัง


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย