แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ในยุคที่ผู้คนเริ่มหันมาทำธุรกิจส่วนตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ร้านอาหาร ซาลอน หรือแม้แต่ร้านขายเสื้อผ้าเล็ก ๆ การมองหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการเริ่มต้นนั้นคือหนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะเลือกเช่าหรือเซ้งสถานที่ก็ล้วนมีผลต่อการลงทุนในระยะสั้นและระยะยาว แต่หลายคนที่เพิ่งเริ่มต้นอาจยังสับสนว่า “เซ้ง” กับ “เช่า” นั้นแตกต่างกันอย่างไร ทั้งสองคำนี้แม้จะดูคล้ายกันในบริบทของการใช้พื้นที่ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีรายละเอียดและข้อผูกพันที่ต่างกันอยู่มากพอสมควร

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงความหมายของคำว่า “เซ้ง” และ “เช่า” อย่างชัดเจน พร้อมเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย และแนะนำข้อควรรู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำสัญญา เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องก่อนจะเริ่มต้นธุรกิจหรือใช้พื้นที่เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ

เซ้งคืออะไร

การเซ้งในเชิงกฎหมายหรือในทางปฏิบัติคือการที่ผู้เช่ารายเดิมทำการโอนสิทธิการใช้พื้นที่ที่เขาเช่ามาให้กับบุคคลอื่นต่อ โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นในกรณีที่ผู้เช่ารายเดิมไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ หรือไม่ต้องการใช้งานพื้นที่นั้นแล้ว แต่ยังมีระยะเวลาในสัญญาเช่าคงเหลืออยู่ โดยผู้ที่เข้ามาเซ้งจะรับสิทธิการใช้งานพื้นที่ต่อจากผู้เช่ารายเดิมตามระยะเวลาที่เหลือของสัญญา และอาจมีการตกลงเพิ่มเติมกับเจ้าของพื้นที่เพื่อขยายสัญญาในอนาคต

ในแง่ธุรกิจ การเซ้งมักจะรวมถึงการโอนทรัพย์สินบางอย่างที่อยู่ในพื้นที่ด้วย เช่น อุปกรณ์ เครื่องใช้ภายในร้าน การตกแต่ง และแม้กระทั่งชื่อเสียงหรือฐานลูกค้าของร้านเดิมก็อาจมีมูลค่าในดีลนั้นด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ผู้เช่ารายใหม่จะต้องจ่ายเป็นเงินก้อนที่เรียกว่า “ค่าเซ้ง” เพื่อแลกกับสิทธิการเข้าดำเนินธุรกิจในพื้นที่นั้นทันที โดยไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์

ในบางกรณี การเซ้งยังอาจมีการทำข้อตกลงร่วมกับเจ้าของพื้นที่โดยตรง เพื่อยืนยันสิทธิและความชัดเจนในการใช้งานพื้นที่ในระยะยาวอีกด้วย

เช่าคืออะไร

การเช่าคือการที่ผู้เช่าได้รับสิทธิในการใช้ทรัพย์สินหรือพื้นที่จากเจ้าของทรัพย์สิน โดยตกลงกันว่าจะจ่ายค่าเช่าในระยะเวลาหนึ่งตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งสามารถเป็นแบบระยะสั้นหรือระยะยาวก็ได้ขึ้นอยู่กับสัญญาที่ตกลงกันไว้ โดยทั่วไป การเช่าจะเริ่มต้นจากศูนย์ กล่าวคือ ผู้เช่าจะต้องเตรียมการตกแต่งพื้นที่เอง ลงทุนในอุปกรณ์ต่าง ๆ และเริ่มต้นสร้างฐานลูกค้าขึ้นมาใหม่ทั้งหมด

ข้อได้เปรียบของการเช่าคือสามารถควบคุมต้นทุนได้ในระดับหนึ่ง เพราะผู้เช่าจะรู้ว่าต้องจ่ายค่าเช่าเท่าไรในแต่ละเดือน และไม่มีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่อย่าง “ค่าเซ้ง” แต่ข้อเสียคืออาจต้องใช้เงินลงทุนมากขึ้นในส่วนของการตกแต่งหรือจัดเตรียมพื้นที่

การเช่ามักเหมาะกับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจของตนเองตั้งแต่เริ่มต้น หรือผู้ที่ต้องการเช่าพื้นที่เพื่อการอยู่อาศัย หรือทำกิจกรรมในระยะยาวโดยไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมที่เคยมีอยู่

ความแตกต่างระหว่างเซ้งกับเช่า

เมื่อดูจากพื้นฐานแล้ว เซ้งและเช่าอาจดูคล้ายกันเพราะต่างก็เกี่ยวข้องกับการใช้งานพื้นที่ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของโดยตรง แต่ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างเซ้งกับเช่านั้นมีอยู่หลายจุด

ข้อแรกคือ “การเริ่มต้น” ในการเช่าคือการเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ไม่มีอุปกรณ์ ไม่มีการตกแต่ง ผู้เช่าต้องจัดการเองทุกอย่าง ในขณะที่การเซ้งคือการรับต่อจากผู้เช่ารายเดิม ซึ่งมักจะมีอุปกรณ์ เครื่องใช้ และระบบต่าง ๆ อยู่แล้ว ทำให้ประหยัดเวลาและต้นทุนในบางส่วน

ข้อสองคือ “ค่าใช้จ่ายเริ่มต้น” การเช่ามักจะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นไม่มากนัก อาจจะมีแค่ค่ามัดจำ ค่าเช่าล่วงหน้า และค่าตกแต่งต่างหาก ในขณะที่การเซ้งจะมีค่าเซ้งที่ต้องจ่ายเป็นเงินก้อน ซึ่งในบางกรณีอาจมีมูลค่าหลักแสนหรือหลักล้าน ขึ้นอยู่กับทำเลและสิ่งที่ได้รับจากการเซ้ง

อีกเรื่องที่สำคัญคือ “สิทธิการใช้งานพื้นที่” การเช่าคุณจะทำสัญญาโดยตรงกับเจ้าของพื้นที่ ส่วนการเซ้งนั้นมักจะเป็นการรับช่วงต่อสัญญาเช่าจากผู้เช่ารายเดิม ซึ่งอาจทำให้ความมั่นคงทางสิทธิในระยะยาวน้อยกว่า โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการอนุมัติหรือทำสัญญาใหม่กับเจ้าของพื้นที่โดยตรง

นอกจากนี้ การเซ้งมักจะมาพร้อมกับ “สิ่งที่แถมมา” ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ เฟอร์นิเจอร์ หรือแม้กระทั่งพนักงานเดิมที่ยังอยู่ และอาจจะรวมถึงฐานลูกค้าเดิมด้วย ในขณะที่การเช่าคุณจะต้องสร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง

อีกหนึ่งข้อที่แตกต่างคือเรื่องของความเสี่ยง ในการเซ้ง หากไม่ศึกษารายละเอียดให้ดี คุณอาจต้องรับภาระที่ค้างคา เช่น ค่าบำรุง ค่าภาษี หรือแม้แต่คดีความของผู้เช่าเดิมที่ยังไม่สะสางก็เป็นได้ ดังนั้นต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจ

ข้อควรรู้และสัญญา

ไม่ว่าคุณจะเลือกเซ้งหรือเช่า สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการทำสัญญา สัญญาคือหลักฐานที่ใช้ยืนยันสิทธิ หน้าที่ และข้อตกลงระหว่างผู้เช่ากับเจ้าของพื้นที่ หรือในกรณีของการเซ้งคือระหว่างผู้เซ้งกับผู้ให้เซ้ง และเจ้าของพื้นที่ด้วยหากมีการทำข้อตกลงร่วม

ในสัญญาควรระบุข้อมูลสำคัญให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นชื่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ขอบเขตของพื้นที่ ระยะเวลา ค่าใช้จ่าย เงื่อนไขในการต่อสัญญา การยกเลิก และกรณีเกิดข้อพิพาท

กรณีเซ้ง ต้องระวังเป็นพิเศษในเรื่องของการอนุมัติจากเจ้าของพื้นที่ เพราะถ้าไม่มีการเซ็นสัญญาร่วมกันหรือเจ้าของพื้นที่ไม่อนุมัติ การเซ้งอาจไม่มีผลทางกฎหมาย ซึ่งอาจกลายเป็นปัญหาในอนาคตได้

อีกประเด็นหนึ่งที่หลายคนมองข้ามคือเรื่องของการซ่อมแซมบำรุง บางสัญญาระบุชัดว่าผู้เช่าหรือผู้เซ้งต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด บางครั้งก็รวมถึงภาษีป้ายหรือภาษีโรงเรือนด้วย ดังนั้นควรอ่านและตรวจสอบเงื่อนไขให้ละเอียดก่อนลงนาม

อีกข้อควรรู้คือการตรวจสอบสถานะของพื้นที่นั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารสิทธิ์ ความถูกต้องของการใช้งาน การขออนุญาตต่าง ๆ และแม้แต่การสอบถามข้อมูลกับเจ้าของพื้นที่โดยตรงก็ถือเป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้โดยไม่ติดปัญหาทางกฎหมายหรือระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ประเด็นเพิ่มเติมที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ

อีกหนึ่งประเด็นที่ไม่ควรมองข้ามในการตัดสินใจระหว่างการเช่าหรือเซ้งคือ “จุดประสงค์ในการใช้งาน” หากคุณต้องการพื้นที่เพื่อเปิดกิจการทันที และไม่ต้องการเสียเวลาตกแต่งหรือจัดหาทรัพย์สินใหม่ เซ้งอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เพราะสามารถเข้าดำเนินการได้ทันที แต่ถ้าคุณมีไอเดียเฉพาะตัว ต้องการควบคุมทุกรายละเอียดตั้งแต่การออกแบบร้านไปจนถึงระบบการจัดการ เช่าอาจเป็นทางเลือกที่ยืดหยุ่นและเป็นอิสระมากกว่า

อีกข้อหนึ่งคือเรื่องของการเจรจา บางครั้งการเช่าหรือเซ้งไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามที่อีกฝ่ายเสนอ คุณสามารถเจรจาเงื่อนไขต่าง ๆ ได้ เช่น การขอลดค่าเช่าในช่วงเริ่มต้น การแบ่งจ่ายค่าเซ้ง หรือการขอต่อสัญญาล่วงหน้าในอัตราที่กำหนดไว้ เป็นต้น ซึ่งหากคุณมีทนายหรือที่ปรึกษาทางกฎหมายช่วยตรวจสอบก็จะเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น

สรุป

การเลือกว่าจะเช่าหรือเซ้งนั้นไม่มีคำตอบตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับเป้าหมาย เงินทุน ความพร้อม และแผนธุรกิจของแต่ละคน การเซ้งอาจดูสะดวกในแง่ของการเข้าดำเนินกิจการได้ทันที แต่ก็มีความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่ต้องแบกรับ ขณะที่การเช่าแม้จะเริ่มจากศูนย์ แต่ก็เปิดโอกาสให้คุณได้ควบคุมทิศทางของธุรกิจตามที่ต้องการ

ไม่ว่าคุณจะเลือกทางใด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียด ศึกษาสัญญาให้รอบคอบ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากจำเป็น เพราะการตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของสถานที่ แต่คือหนึ่งในก้าวสำคัญของการลงทุนและการดำเนินชีวิตในอนาคต


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย