แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

เมื่อฤดูฝนใกล้เข้ามา หลายคนอาจจะรู้สึกดีที่ได้สัมผัสอากาศเย็นและไอฝนที่สดชื่นหลังจากผ่านฤดูร้อนอันร้อนระอุมาอย่างยาวนาน แต่ขณะเดียวกัน ฝนที่โปรยปรายก็เป็นสัญญาณเตือนสำหรับเจ้าของบ้านว่าควรเตรียมความพร้อมในการรับมือกับปัญหาที่อาจตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการรั่วซึมของบ้านที่มักจะสร้างความปวดหัวได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นน้ำหยดจากเพดาน ฝ้าเปียก คราบเชื้อรา หรือผนังชื้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากปล่อยไว้นาน ปัญหาเล็ก ๆ อาจลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่ ส่งผลต่อโครงสร้างบ้านและสุขภาพของผู้อยู่อาศัยได้อย่างไม่คาดคิด

การตรวจเช็กบ้านก่อนเข้าฤดูฝนจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง การเตรียมพร้อมตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่เพียงช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น แต่ยังช่วยให้เจ้าของบ้านอุ่นใจว่าเมื่อฝนเทลงมา บ้านจะยังคงเป็นที่พักพิงที่มั่นคงและปลอดภัย ในบทความนี้ เราจะพาไปเรียนรู้วิธีตรวจเช็กจุดเสี่ยงของการรั่วซึมในบ้านอย่างละเอียด พร้อมเทคนิคและคำแนะนำที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เพื่อให้บ้านของคุณพร้อมรับหน้าฝนได้อย่างสบายใจ

ทำความเข้าใจก่อนว่า “การรั่วซึม” มาจากอะไร

การรั่วซึมของบ้านมักเกิดจากหลายสาเหตุร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน วัสดุก่อสร้างที่เสื่อมสภาพตามเวลา หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยเองที่ไม่ได้ดูแลบ้านอย่างสม่ำเสมอ การเข้าใจต้นเหตุของปัญหาเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้บ้านเกิดการรั่วซึมเมื่อฝนตก

โดยทั่วไปแล้ว สาเหตุหลัก ๆ ของการรั่วซึมสามารถแบ่งได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกคือความบกพร่องของโครงสร้าง เช่น รอยร้าวตามผนัง หรือรอยต่อวัสดุที่ไม่มีการยาแนวอย่างเหมาะสม ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือปัญหาจากระบบระบายน้ำ เช่น ท่ออุดตัน รางน้ำตัน หรือท่อน้ำทิ้งที่ไม่สามารถระบายน้ำออกได้อย่างรวดเร็ว

ตรวจสอบหลังคาบ้าน จุดเสี่ยงอันดับหนึ่งของการรั่วซึม

หลังคาเปรียบเสมือนร่มที่คอยปกป้องบ้านจากฝน แดด และลม หากหลังคามีปัญหาเพียงเล็กน้อยก็อาจกลายเป็นช่องทางให้ฝนสาดเข้าบ้านได้อย่างง่ายดาย สิ่งแรกที่ควรทำคือขึ้นไปตรวจสอบสภาพกระเบื้องหรือแผ่นมุงหลังคา ว่ายังอยู่ในสภาพเรียงตัวแน่นหรือไม่ มีแผ่นใดแตก บิ่น หรือเคลื่อนออกจากแนวหรือไม่

นอกจากนี้ จุดรอยต่อระหว่างกระเบื้อง หรือรอยเชื่อมของหลังคากับส่วนอื่นของบ้าน เช่น ผนังหรือปล่องไฟ มักเป็นบริเวณที่น้ำสามารถแทรกซึมได้หากวัสดุกันซึมเสื่อมสภาพ หากมีคราบรั่วหรือคราบน้ำที่ฝ้าเพดานด้านในบ้าน ก็มักจะสื่อถึงปัญหาที่เกิดจากหลังคานั่นเอง

หากตรวจพบความผิดปกติ ควรดำเนินการซ่อมแซมทันที เช่น การเปลี่ยนกระเบื้องที่แตกร้าว การยาแนวซ้ำที่รอยต่อ หรือแม้แต่การติดตั้งแผ่นกันซึมเสริมเพื่อเพิ่มความมั่นใจ

ตรวจสอบรางน้ำและท่อน้ำฝน ระบบระบายน้ำที่ต้องไม่พัง

อีกจุดหนึ่งที่หลายคนมองข้ามคือรางน้ำฝนและท่อน้ำลง หากระบบระบายน้ำนี้อุดตันหรือติดตั้งผิดวิธี น้ำฝนจะไม่สามารถไหลออกจากหลังคาได้ทัน ส่งผลให้เกิดการล้นและไหลย้อนเข้าบ้าน หรือลงไปยังฐานรากซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาโครงสร้างได้ในระยะยาว

การตรวจสอบรางน้ำควรทำอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้งก่อนเข้าหน้าฝน โดยควรดูว่ามีใบไม้ กิ่งไม้ หรือเศษขยะติดอยู่ในรางหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบว่ารางน้ำมีรอยรั่วหรือไม่ หากพบว่ามีน้ำหยดบริเวณจุดต่อของรางน้ำเมื่อฝนตก นั่นหมายถึงต้องซ่อมรางทันทีเพื่อไม่ให้เกิดการซึมเข้าไปในผนัง

ท่อน้ำฝนที่ต่อจากรางก็ควรเช็กให้แน่ใจว่าไม่หลุดหรือแตก และควรมีความยาวที่พอเหมาะเพื่อพาน้ำออกไปให้ไกลจากตัวบ้าน หากพื้นที่รอบบ้านระบายน้ำไม่ดี ควรพิจารณาทำทางระบายน้ำเพิ่มเติมเพื่อป้องกันน้ำขัง

สำรวจผนังภายนอกและสีทาบ้าน

ผนังบ้านโดยเฉพาะด้านที่รับฝนโดยตรงคืออีกหนึ่งจุดเสี่ยงของการรั่วซึม หากสีที่ใช้ทาเริ่มเสื่อมสภาพ หลุดล่อน หรือแตกลายงา ความสามารถในการกันน้ำจะลดลงทันที นอกจากนี้ รอยร้าวเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนไม่มีอันตราย ก็อาจกลายเป็นช่องทางให้น้ำแทรกเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว

ควรเดินสำรวจผนังภายนอกทั่วทั้งบ้าน โดยเฉพาะด้านที่หันไปทางทิศตะวันตกหรือทิศใต้ ซึ่งมักโดนฝนสาดแรงที่สุด หากพบรอยร้าว ควรทำการอุดโป๊วด้วยวัสดุกันซึมเฉพาะจุด และหากพบว่าสีหลุดหรือซีดจาง ควรทาสีทับใหม่โดยใช้สีที่มีคุณสมบัติกันน้ำและทนต่อสภาพอากาศ

บางบ้านอาจมีการติดตั้งฝ้าเพดานบริเวณชายคา ควรตรวจดูว่ามีคราบน้ำ รอยเปียก หรือฝ้าที่บวมออกมาหรือไม่ เพราะนั่นอาจบอกถึงการรั่วซึมจากด้านบนได้อีกทางหนึ่ง

ตรวจสอบประตู หน้าต่าง และช่องเปิดต่าง ๆ

ช่องเปิดอย่างประตูและหน้าต่างคือจุดที่น้ำสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ง่าย หากติดตั้งไม่แน่นหนา หรือวัสดุยาแนวที่ใช้เสื่อมสภาพแล้ว อาจทำให้เกิดน้ำรั่วในช่วงที่ฝนตกหนักและมีลมแรง

สิ่งที่ควรทำคือการตรวจดูรอยยาแนวรอบกรอบประตูและหน้าต่างว่ามีรอยแตกหรือร่องที่น้ำสามารถเข้าได้หรือไม่ ถ้าพบว่าซีลกันน้ำเสื่อม ควรเปลี่ยนใหม่ทันที นอกจากนี้ ควรเปิด–ปิดประตูหน้าต่างเพื่อตรวจสอบว่ากรอบยังคงแนบสนิทหรือมีช่องว่างหรือไม่

สำหรับบ้านที่ใช้บานกระจก ควรตรวจดูว่าซิลิโคนกันน้ำรอบกระจกยังสมบูรณ์หรือไม่ เพราะหากซิลิโคนแห้งกรอบหรือหลุดล่อน น้ำฝนสามารถไหลซึมผ่านเข้ามาได้ทันที

ตรวจสอบพื้นที่ชั้นล่างและพื้นบ้านโดยรอบ

แม้ว่าการรั่วซึมส่วนใหญ่จะเกิดจากหลังคาหรือผนัง แต่พื้นที่ชั้นล่างก็ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะบ้านที่อยู่ในพื้นที่ต่ำหรือติดคลอง เพราะอาจเผชิญปัญหาน้ำขังรอบบ้านจนน้ำซึมเข้าสู่พื้นภายใน

การเช็กพื้นบ้านบริเวณรอบนอกควรดูว่าพื้นลาดเอียงออกนอกบ้านหรือไม่ เพราะหากพื้นเอียงเข้าตัวบ้าน น้ำฝนอาจไหลย้อนเข้ามาได้ นอกจากนี้ ควรสังเกตผนังชั้นล่างที่ติดพื้นว่ามีรอยชื้น รอยคราบ หรือมีเชื้อราเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะนั่นอาจแสดงถึงน้ำที่ซึมเข้ามาทางฐานรากหรือผนัง

หากบ้านมีห้องใต้ดินหรือพื้นต่ำเป็นพิเศษ ควรติดตั้งระบบปั๊มน้ำอัตโนมัติหรือทำแนวกันซึมเสริมเพื่อป้องกันความเสียหายระยะยาว

ตรวจสอบฝ้าเพดานและผนังภายในบ้าน

ฝ้าเพดานเป็นส่วนที่สังเกตได้ง่ายที่สุดเมื่อเกิดปัญหารั่วซึม เพราะจะมีคราบน้ำเปื้อนให้เห็นอย่างชัดเจน หรือในบางกรณีอาจพบว่าฝ้าเริ่มบวม หรือมีเชื้อราขึ้น หากเจอปัญหานี้แม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของการรั่วจากหลังคาหรือท่อน้ำบนฝ้า

การเช็กฝ้าเพดานภายในควรใช้ไฟฉายส่องดูตอนกลางวัน เพราะแสงธรรมชาติอาจไม่พอ หากพบว่ามีจุดที่ดูชื้นหรือผิดปกติ ควรทำการเปิดฝ้าตรวจสอบให้แน่ใจว่าต้นเหตุมาจากตรงไหน

สำหรับผนังภายใน ควรสังเกตรอยแตก รอยปูด หรือคราบน้ำตามมุมผนังและพื้น โดยเฉพาะบริเวณหลังเฟอร์นิเจอร์หรือผ้าม่านที่อาจบดบังสายตา

สรุป

บ้านที่ดูดีภายนอกอาจไม่ใช่บ้านที่ดีจริง หากภายในเกิดปัญหารั่วซึมเมื่อฝนตก ฤดูฝนไม่ควรเป็นฤดูที่สร้างความกังวลใจให้กับเจ้าของบ้าน การตรวจสอบบ้านอย่างละเอียดทุกจุดเสี่ยงตั้งแต่ก่อนฝนแรกจะตกลงมาคือสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น แต่ยังช่วยยืดอายุบ้านให้อยู่ได้นานขึ้น

เมื่อเข้าใจถึงวิธีการตรวจสอบบ้านก่อนหน้าฝนแล้ว ก็อย่าลืมลงมือทำจริงอย่างสม่ำเสมอ เพราะบ้านคือพื้นที่สำคัญที่ให้ความปลอดภัยและความอบอุ่นกับชีวิต การดูแลบ้านให้พร้อมรับทุกฤดูกาลจึงเป็นสิ่งที่ควรทำด้วยความใส่ใจและต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกคนในบ้านได้อยู่กันอย่างสบายใจแม้ในวันที่ฝนตกหนักที่สุด


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย