แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

การมีบ้านเป็นของตัวเองเป็นความฝันของหลาย ๆ คน แต่บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้เป็นไปตามแผนเสมอไป รายจ่ายที่เพิ่มขึ้น ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างการตกงานหรือเจ็บป่วย อาจทำให้เจ้าของบ้านหลายคนต้องเผชิญกับปัญหา “ผ่อนบ้านไม่ไหว” ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่กดดันและสร้างความเครียดอย่างมาก

แต่ก่อนที่คุณจะตัดสินใจทำอะไร อยากให้ใจเย็น ๆ แล้วลองมองหาทางออกที่เหมาะสม เพราะมีหลายวิธีที่ช่วยให้คุณสามารถแก้ปัญหานี้ได้โดยไม่ต้องเสียบ้านไปฟรี ๆ และบางวิธีอาจช่วยให้คุณกลับมาตั้งหลักใหม่ได้อีกครั้ง

1. ประเมินสถานการณ์ทางการเงินของตัวเอง

ก่อนอื่นเลย ต้องรู้ก่อนว่าปัญหาของเราร้ายแรงแค่ไหน ลองสำรวจว่าตอนนี้เรามีรายรับเท่าไร รายจ่ายอะไรที่ลดได้ และมีเงินสำรองพอสำหรับกี่เดือน ถ้ารู้ตัวว่าเริ่มหมุนเงินไม่ทัน อย่ารอจนถึงจุดที่จ่ายไม่ไหวจริง ๆ แล้วค่อยหาทางออก เพราะยิ่งปล่อยไว้นาน ดอกเบี้ยค้างชำระก็จะเพิ่มขึ้น และอาจเสียเครดิตไปด้วย

สิ่งที่ควรทำ

  • จดบันทึกรายรับรายจ่ายทั้งหมด
  • ดูว่ามีเงินออม หรือสินทรัพย์อะไรที่สามารถนำมาใช้จ่ายได้บ้าง
  • ตรวจสอบว่าหนี้บ้านของคุณมียอดค้างชำระเท่าไร และต้องผ่อนเดือนละเท่าไร

หากพบว่าปัญหายังพอจัดการได้ ก็อาจลองปรับพฤติกรรมการใช้เงินก่อน แต่ถ้าเริ่มมองเห็นสัญญาณอันตราย เช่น ต้องกู้เงินมาผ่อนบ้านเป็นประจำ หรือรายจ่ายสูงกว่ารายรับมากเกินไป ก็ควรรีบหาทางออกทันที

2. ติดต่อธนาคารก่อนที่จะเป็นหนี้เสีย

หลายคนที่ผ่อนบ้านไม่ไหวอาจหลีกเลี่ยงการติดต่อธนาคารเพราะกลัวว่าจะโดนยึดบ้านหรือกลัวถูกปฏิเสธความช่วยเหลือ แต่จริง ๆ แล้ว ธนาคารไม่ต้องการให้ลูกหนี้เป็นหนี้เสีย (NPL) เพราะมันสร้างความยุ่งยากทั้งสองฝ่าย ธนาคารต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้อง หรือขายทอดตลาด ซึ่งอาจได้เงินคืนไม่ครบ ดังนั้น หากคุณรู้ตัวว่ากำลังเผชิญกับปัญหาผ่อนบ้านไม่ไหว ให้รีบติดต่อธนาคารก่อนที่หนี้จะค้างชำระเกิน 3 เดือน

สิ่งที่ธนาคารอาจช่วยได้

การปรับโครงสร้างหนี้ (Re-structuring Loan)

เป็นการเจรจาขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสินเชื่อบ้านให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ของคุณ ซึ่งอาจรวมถึง

  • ขยายระยะเวลาผ่อน เช่น จาก 15 ปี เป็น 25-30 ปี เพื่อลดค่างวดต่อเดือน
  • ปรับลดดอกเบี้ย ชั่วคราวหรือถาวร เพื่อให้ภาระดอกเบี้ยลดลง
  • เปลี่ยนเงื่อนไขการชำระเงิน เช่น จากผ่อนเงินต้น + ดอกเบี้ย เป็นจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยชั่วคราว

การปรับโครงสร้างหนี้เป็นวิธีที่ดี เพราะช่วยให้คุณสามารถจัดการหนี้ได้โดยไม่ต้องผิดนัดชำระ

ขอพักชำระหนี้ชั่วคราว (Payment Holiday)

บางธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือพิเศษที่อนุญาตให้ลูกหนี้สามารถ พักชำระหนี้ เป็นระยะเวลาหนึ่ง (เช่น 3-6 เดือน) ในช่วงที่กำลังเผชิญกับปัญหาทางการเงิน

  • พักชำระเงินต้น จ่ายเฉพาะดอกเบี้ย – วิธีนี้ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายรายเดือนในระยะสั้น
  • พักทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย – ธนาคารบางแห่งอาจให้พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยชั่วคราว แต่ดอกเบี้ยจะถูกนำไปรวมกับเงินต้น ทำให้ภาระหนี้ในอนาคตสูงขึ้น

ก่อนตัดสินใจใช้มาตรการนี้ ควรสอบถามรายละเอียดให้ชัดเจน เพราะแม้ว่าจะช่วยลดภาระระยะสั้น แต่ระยะยาวอาจทำให้ภาระหนี้เพิ่มขึ้น

ขอสินเชื่อเพิ่มเติม (Top-up Loan)

หากคุณผ่อนบ้านมาเป็นเวลานานและบ้านมีราคาสูงขึ้น อาจขอสินเชื่อเพิ่มโดยใช้บ้านเป็นหลักประกัน ซึ่งช่วยให้คุณมีเงินก้อนมาใช้จ่ายหรือปิดหนี้บางส่วน

วิธีนี้อาจเหมาะกับคนที่ต้องการเงินหมุนเวียนชั่วคราว แต่ไม่ควรใช้เงินก้อนนี้ไปจ่ายหนี้อื่น ๆ ที่ไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้หนี้เพิ่มขึ้นกว่าเดิม

หากคุณเริ่มผ่อนบ้านไม่ไหว สิ่งที่ต้องทำทันทีคือการติดต่อธนาคารเพื่อขอความช่วยเหลือ อย่ารอจนถึงจุดที่หนี้เสียหรือถูกฟ้อง เพราะธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือหลายรูปแบบที่อาจช่วยให้คุณผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ยิ่งคุณมีประวัติการเป็นลูกหนี้ที่ดี ไม่มีการจ่ายช้ากว่ากำหนดหรือไม่เคยขาดส่งเลย ธนาคารก็จะพิจารณาการช่วยเหลือคุณง่ายขึ้นอีกด้วย

3. หารายได้เสริมเพื่อนำมาช่วยค่าผ่อนบ้าน

หากปัญหาเกิดจากรายได้ไม่พอ ทางออกที่ดีที่สุดคือการเพิ่มรายได้ ซึ่งอาจทำได้หลายวิธี เช่น

  • หางานเสริม เช่น งานฟรีแลนซ์ งานพาร์ทไทม์ หรือขายของออนไลน์
  • ปล่อยเช่าบ้านหรือห้องบางส่วน ถ้าบ้านของคุณมีห้องว่าง อาจลองปล่อยเช่าระยะสั้นเพื่อช่วยจ่ายค่าผ่อน
  • ขายของที่ไม่จำเป็น บางครั้งทรัพย์สินที่เราไม่ค่อยใช้ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า รถสำรอง หรือของสะสม อาจนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสดเพื่อช่วยลดภาระหนี้ได้

บางคนอาจมองว่าการเพิ่มรายได้เป็นเรื่องยาก แต่ถ้าหากลองปรับตัวและพยายามหาโอกาสใหม่ ๆ อาจช่วยให้คุณผ่านพ้นวิกฤตไปได้

4. ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น

การลดรายจ่ายถือเป็นวิธีที่ง่ายและเห็นผลได้เร็วที่สุดเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาผ่อนบ้านไม่ไหว เพราะบางครั้ง รายจ่ายที่เรามองว่า “จำเป็น” จริง ๆ แล้วอาจมีช่องทางลดลงได้ หากรู้จักวางแผนและจัดการให้เหมาะสม

4.1 วิเคราะห์รายจ่ายประจำเดือน

เริ่มจากการจดบันทึกรายจ่ายทั้งหมดเป็นเวลา 1-2 เดือน เพื่อดูว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่สามารถลดหรือเลิกได้ เมื่อมองเห็นตัวเลขที่ชัดเจน จะช่วยให้สามารถวางแผนลดรายจ่ายได้ง่ายขึ้น

4.2 ลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหารและของใช้ในบ้าน

หนึ่งในรายจ่ายที่กินเงินเยอะที่สุดของหลาย ๆ คนคือค่าอาหาร โดยเฉพาะอาหารนอกบ้านและเดลิเวอรี่ที่มีราคาสูงกว่าการทำอาหารกินเองหลายเท่า

4.3 ลดค่าเดินทางและค่ายานพาหนะ

ค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน และค่าจอดรถ อาจเป็นค่าใช้จ่ายที่ใหญ่กว่าที่คิด โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีรถยนต์หลายคัน

4.4 ลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับความบันเทิงและไลฟ์สไตล์

บางครั้งเราจ่ายเงินไปกับสิ่งที่ไม่ได้จำเป็นจริง ๆ เช่น ค่าสมาชิกฟิตเนสที่ไม่ค่อยได้ใช้ ค่าบริการสตรีมมิ่งหลายแพลตฟอร์ม หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการท่องเที่ยว

4.5 ลดค่าสาธารณูปโภคและค่าใช้จ่ายจิปาถะ

ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าโทรศัพท์ และค่าอินเทอร์เน็ต เป็นค่าใช้จ่ายที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ก็สามารถลดลงได้หากรู้จักวิธีใช้อย่างประหยัด

4.6 ลดหรือปรับค่าประกันและหนี้สินอื่น ๆ

หากคุณมีค่าประกันชีวิต ประกันรถยนต์ หรือค่าประกันสุขภาพ อาจลองดูว่ามีแผนประกันที่ถูกลงและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่

5. ขายบ้านเพื่อปิดหนี้ หรือเปลี่ยนไปซื้อบ้านที่ถูกลง

ถ้าหากพยายามทุกทางแล้วแต่ยังไม่สามารถรับภาระต่อไปได้ การขายบ้านอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด แม้ว่าจะเป็นการตัดใจครั้งใหญ่ แต่การยอมรับความจริงตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

วิธีการขายบ้านเพื่อปิดหนี้

  • ประเมินราคาบ้านของคุณ ว่าสามารถขายได้ในราคาที่คุ้มค่าหรือไม่
  • ตรวจสอบยอดหนี้คงเหลือกับธนาคาร
  • หากบ้านมีราคาสูงกว่าหนี้ สามารถขายและนำเงินมาปิดหนี้ได้
  • ถ้าขายบ้านแล้วเหลือเงิน อาจนำไปซื้อบ้านที่ราคาถูกลง หรือเช่าบ้านแทน

บางครั้ง การเลือกบ้านที่เหมาะสมกับกำลังทรัพย์ของเราจะช่วยให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นกว่าการต้องเครียดกับภาระหนี้ที่หนักเกินไป

สรุป

การผ่อนบ้านไม่ไหวเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่หากสถานการณ์บีบบังคับจริง ๆ สิ่งสำคัญคือการยอมรับความจริง และหาทางออกให้เร็วที่สุด

  • หากปัญหาเกิดขึ้นชั่วคราว ให้ลองปรับโครงสร้างหนี้หรือหารายได้เสริม
  • หากปัญหาร้ายแรงจนไม่สามารถแบกรับไหว การขายบ้านหรือหาบ้านที่เหมาะสมกว่าก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อย่าปล่อยให้ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตของคุณมากเกินไป การมีบ้านเป็นเรื่องดี แต่ถ้าการมีบ้านทำให้คุณต้องทุกข์ทรมานเกินไป บางครั้งการเริ่มต้นใหม่อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย