แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

การก่อสร้างเป็นกระบวนการที่เต็มไปด้วยรายละเอียดและความซับซ้อน ตั้งแต่การวางแผน ออกแบบ ไปจนถึงการก่อสร้าง จริงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้รับเหมาจึงมีความสำคัญมากในการทำให้โครงการสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากไม่มีเอกสารที่ช่วยยืนยันและกำกับข้อตกลงระหว่างทั้งสองฝ่าย และเพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคต สิ่งที่จำเป็นต้องมีเลยก็คือ “สัญญาก่อสร้าง” เอกสารสำคัญที่หลายคนมองข้าม แต่กลับมีบทบาทสำคัญในการป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปดูความสำคัญของสัญญาก่อสร้าง องค์ประกอบที่ควรมีในสัญญา เหตุผลที่สัญญาเป็นสิ่งจำเป็น และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากไม่มีสัญญา

สัญญาก่อสร้างคืออะไร ?

ทำสัญญาก่อสร้าง

ภาพจาก : Freepik

สัญญาก่อสร้าง คือข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรหรือปากเปล่าที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้รับเหมา โดยมีจุดประสงค์เพื่อกำหนดหน้าที่ ความรับผิดชอบ และเงื่อนไขในการทำงานร่วมกัน เอกสารนี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับขอบเขตงาน ระยะเวลา และค่าตอบแทน

การทำสัญญาก่อสร้างไม่เพียงแต่เป็นการป้องกันข้อพิพาท แต่ยังเป็นวิธีที่ช่วยส่งเสริมความมั่นใจและสร้างความโปร่งใสระหว่างทั้งสองฝ่ายทั้งจากผู้ว่าจ้างเองและผู้รับเหมาก่อสร้างด้วย

คำนิยามของสัญญาก่อสร้าง

สัญญาสร้างบ้าน

ภาพจาก : Freepik

ในเชิงกฎหมาย สัญญาก่อสร้าง หมายถึง การตกลงระหว่างฝ่ายหนึ่ง (ผู้ว่าจ้าง) ที่ต้องการให้มีการก่อสร้างหรือซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้าง กับอีกฝ่ายหนึ่ง (ผู้รับเหมา) ที่มีหน้าที่ดำเนินงานดังกล่าวตามข้อตกลง โดยเงื่อนไขในสัญญามักครอบคลุมถึง

  • ขอบเขตงาน (Scope of Work)
  • กำหนดเวลาในการทำงาน (Timeline)
  • ค่าใช้จ่ายและการชำระเงิน (Payment Terms)
  • มาตรฐานคุณภาพ (Quality Standards)

การกำหนดรายละเอียดเหล่านี้อย่างชัดเจนในสัญญาจะช่วยลดความเสี่ยงของความเข้าใจผิดและข้อพิพาทระหว่างทั้งสองฝ่าย

องค์ประกอบสำคัญของสัญญา

องค์ประกอบสัญญาก่อสร้าง

ภาพจาก : Freepik

สัญญาก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพเป็นเอกสารสำคัญที่ช่วยให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถปฏิบัติตามข้อตกลงได้อย่างถูกต้องและโปร่งใส องค์ประกอบสำคัญของสัญญาก่อสร้างนั้นต้องครอบคลุมทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับโครงการ เพื่อป้องกันข้อพิพาทและสร้างความมั่นใจแก่ทุกฝ่าย องค์ประกอบหลักที่ควรมีในสัญญาก่อสร้างเช่น

1. รายละเอียดงาน (Scope of Work)

รายละเอียดงานในสัญญาเป็นการระบุขอบเขตของงานทั้งหมดที่ต้องดำเนินการ โดยมีความชัดเจนและครบถ้วนเพื่อลดความสับสนหรือความเข้าใจผิด ตัวอย่างของสิ่งที่ควรรวมในขอบเขตงาน

  • ลักษณะงาน งานโยธา งานไฟฟ้า งานประปา หรืองานตกแต่งภายใน
  • ปริมาณงาน จำนวนงานหรือพื้นที่ เช่น ติดตั้งพื้นไม้ 100 ตารางเมตร
  • วิธีการดำเนินงาน ขั้นตอนการทำงาน เช่น การถมดิน การเทคอนกรีต

การเขียนขอบเขตงานอย่างละเอียดช่วยให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน หากเกิดความผิดพลาดหรือการละเว้นงาน สัญญาจะเป็นตัวกำหนดว่าฝ่ายใดต้องรับผิดชอบ

2. ระยะเวลา (Timeline)

ระยะเวลาก่อสร้างบ้าน

ภาพจาก : Freepik

การกำหนดระยะเวลาในสัญญาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อควบคุมความล่าช้าในโครงการ ระยะเวลาควรระบุอย่างละเอียด

  • วันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดของโครงการ เช่น โครงการเริ่มวันที่ 1 มกราคม 2567 และสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567
  • กำหนดการส่งมอบงานในแต่ละขั้นตอน เช่น งานโครงสร้างต้องเสร็จภายใน 3 เดือนแรก งานตกแต่งเสร็จใน 6 เดือนถัดไป
  • เงื่อนไขการขยายเวลา ระบุกรณีที่สามารถขยายเวลาได้ เช่น หากเกิดภัยธรรมชาติ ภัยพิบัติต่างๆ หรือเกิดเหตุไม่คาดฝันโดยที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากผู้รับเหมา

การกำหนดระยะเวลาช่วยให้ผู้ว่าจ้างสามารถติดตามความคืบหน้าของโครงการได้ และหากเกิดความล่าช้าโดยไม่มีเหตุผล ผู้รับเหมาจะต้องรับผิดชอบ

3. งบประมาณและการชำระเงิน (Budget and Payment Terms)

ส่วนนี้เป็นหัวใจของสัญญา เพราะเกี่ยวข้องกับการเงินโดยตรงและช่วยให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันในเรื่องค่าใช้จ่าย การชำระเงินควรระบุอย่างชัดเจนเช่น

  • งบประมาณรวมของโครงการ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด เช่น 2 ล้านบาท
  • การแบ่งงวดการชำระเงิน เช่น งวดแรกชำระ 30% เมื่อเริ่มงาน งวดสอง 40% เมื่อถึงงานขั้นกลาง และงวดสุดท้าย 30% เมื่อส่งมอบงาน
  • เงื่อนไขการชำระเงิน เช่น การชำระด้วยเงินสด โอนเงิน หรือเช็ค
  • การปรับเปลี่ยนค่าใช้จ่าย เช่น หากมีการเพิ่มงาน ผู้ว่าจ้างต้องอนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน

การระบุเงื่อนไขทางการเงินที่ชัดเจนช่วยป้องกันความเข้าใจผิด เช่น ผู้ว่าจ้างอาจเข้าใจผิดว่าไม่ต้องชำระเงินจนกว่างานจะเสร็จ หรือผู้รับเหมาอาจเรียกร้องค่าจ้างเกินกว่างบประมาณ เพื่อเป็นการป้องกันทั้งฝ่ายผู้ว่าจ้างเองและผู้รับเหมาไปในตัวด้วย

4. วัสดุและมาตรฐานงาน (Materials and Quality Standards)

วัสดุก่อสร้าง

ภาพจาก : Freepik

ในโครงการก่อสร้าง การระบุประเภทและมาตรฐานของวัสดุก่อสร้างเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถือได้ว่าเป็นหัวใจของโครงสร้างบ้านกันเลย หากใช้วัสดุที่ไม่เหมาะสมก็อาจจะส่งผลต่อโครงสร้างของบ้านในระยะยาวได้ด้วย

  • ประเภทของวัสดุ เช่น เหล็กเส้นขนาด 12 มม., ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภท 1
  • ยี่ห้อหรือแหล่งที่มาของวัสดุ เช่น สีทาภายในยี่ห้อ A B C
  • มาตรฐานงาน เช่น งานต้องเป็นไปตามมาตรฐานของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)

ส่วนนี้ช่วยให้ผู้ว่าจ้างมั่นใจได้ว่าวัสดุที่ใช้มีคุณภาพ และสามารถควบคุมต้นทุนได้ รวมถึงผู้รับเหมาเองก็ทราบด้วยว่าลูกค้ามีความต้องการอะไรบ้าง 

5. เงื่อนไขในกรณีเกิดข้อพิพาท (Dispute Resolution)

สัญญาที่ดีควรระบุแนวทางการจัดการข้อพิพาทในกรณีที่เกิดปัญหา เช่น

  • วิธีการแก้ไขเบื้องต้น การเจรจาไกล่เกลี่ย
  • ขั้นตอนทางกฎหมาย หากไม่สามารถตกลงกันได้ ให้ดำเนินการตามศาลที่กำหนดในสัญญา
  • การชดเชย เช่น ผู้รับเหมารับผิดชอบค่าเสียหายหากงานล่าช้าเกินกำหนด หรือหากมีการให้ต่อเติมนอกเหนือจากแบบที่คุยไว้ตอนแรก และได้รับอนุญาตจากหน่วยงานรัฐแล้ว ผู้ว่าจ้างอาจจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นเอง

การระบุเงื่อนไขเหล่านี้ช่วยลดความยุ่งยากในกระบวนการแก้ปัญหาและทำให้ทุกฝ่ายทราบถึงสิทธิและหน้าที่ของตน

6. เงื่อนไขการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงสัญญา 

โครงการก่อสร้างอาจมีเหตุที่ทำให้ต้องยกเลิกหรือปรับเปลี่ยนสัญญา เช่น

  • กรณีการยกเลิกสัญญา หากผู้รับเหมาหยุดงานโดยไม่มีเหตุผล ผู้ว่าจ้างสามารถยกเลิกสัญญาและเรียกร้องค่าชดเชยได้
  • กรณีการเปลี่ยนแปลงงาน หากผู้ว่าจ้างต้องการปรับแบบงาน ต้องมีการเจรจาและตกลงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

การกำหนดเงื่อนไขในกรณีนี้ช่วยให้โครงการดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แม้จะมีการเปลี่ยนแปลง

7. ข้อกำหนดทางกฎหมาย (Legal Provisions)

กฎหมายการก่อสร้าง

ภาพจาก : Freepik

สัญญาก่อสร้างควรเขียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น

  • ข้อกำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อให้สัญญามีผลทางกฎหมาย
  • การลงลายมือชื่อ ต้องมีการลงนามโดยผู้ว่าจ้างและผู้รับเหมา เพื่อให้เป็นการรับทราบตรงกันทั้งสองฝ่ายว่ายืนยันที่จะปฏิบัติตามสัญญา

แน่นอนว่าเรื่ององค์ประกอบของสัญญานั้นอาจจะไม่ได้มีเพียงเท่าที่ทางบ้านเพื่อนได้เขียนเอาไว้เท่านั้น ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้สัญญาที่ได้ทำจะต้องไม่เรียกร้องหรือผิดเกินกว่าข้อกฎหมายกำหนด เพราะอาจจะทำให้สัญญาหรือสิ่งที่ต้องชดเชยหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาอาจจะไม่สามารถเรียกร้องได้ ทั้งนี้คุณอาจจะปรึกษากับทนายความเพื่อให้ช่วยตรวจสอบสัญญาได้เช่นกัน

ความแตกต่างสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรกับสัญญาแบบปากเปล่า

ในกระบวนการก่อสร้าง ความสำคัญของการทำสัญญานั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของโครงการเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับรูปแบบของสัญญาที่ใช้ ซึ่งสัญญาในลักษณะ “ลายลักษณ์อักษร” และ “ปากเปล่า” ต่างก็มีจุดเด่นและข้อเสียแตกต่างกันไป

  • สัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยมากกว่า เนื่องจากมีเอกสารที่สามารถใช้เป็นหลักฐานในกรณีเกิดข้อพิพาท
  • สัญญาแบบปากเปล่า แม้จะมีผลผูกพันในทางกฎหมาย แต่ก็มักเสี่ยงต่อการเกิดความเข้าใจผิด เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน

เหตุผลที่สัญญาก่อสร้างจำเป็น

ทำสัญญาก่อสร้าง

ภาพจาก : Freepik

สัญญาก่อสร้าง ไม่ได้เป็นเพียงเอกสารธรรมดา แต่เป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันและจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการก่อสร้าง ทั้งผู้ว่าจ้างและผู้รับเหมาต่างได้รับประโยชน์จากการมีสัญญาที่ชัดเจนและครอบคลุม เหตุผลสำคัญที่สัญญาก่อสร้างมีความจำเป็น

1. การป้องกันข้อพิพาทระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้รับเหมา

ในกระบวนการก่อสร้างที่ซับซ้อน การสื่อสารอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้ง่าย โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีการกำหนดรายละเอียดและเงื่อนไขไว้อย่างชัดเจน เช่น ขอบเขตงาน งบประมาณ และระยะเวลา การทำสัญญาก่อสร้างที่ชัดเจนและรอบคอบช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดข้อพิพาทได้ เพราะสัญญาสามารถระบุข้อมูลที่จำเป็นได้ เช่น

  • รายละเอียดงาน เช่น งานประเภทใดที่ต้องดำเนินการ และงานใดที่ไม่อยู่ในขอบเขต
  • เงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น หากต้องการเปลี่ยนแปลงแบบงานหรือเพิ่มปริมาณงาน ต้องมีการเจรจาอย่างไร

ตัวอย่างปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหากไม่มีสัญญาชัดเจน คือ ผู้ว่าจ้างและผู้รับเหมามีความเข้าใจไม่ตรงกันเกี่ยวกับขอบเขตงาน ส่งผลให้เกิดความล่าช้า หรือผู้ว่าจ้างรู้สึกว่าไม่ได้รับงานตามความคาดหวัง

2. การรับประกันคุณภาพงาน

ประกันสร้างบ้าน

ภาพจาก : Freepik

สัญญาก่อสร้างเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการกำหนดมาตรฐานและคุณภาพของงานที่ผู้ว่าจ้างคาดหวังได้ ตัวอย่างที่สามารถระบุในสัญญา

  • วัสดุและอุปกรณ์ เช่น ใช้วัสดุยี่ห้อใด คุณภาพต้องได้ตามมาตรฐานที่ระบุไว้
  • มาตรฐานการปฏิบัติงาน เช่น การติดตั้งต้องสอดคล้องกับมาตรฐานอุตสาหกรรม

เมื่อมีสัญญาที่ระบุข้อมูลเหล่านี้อย่างละเอียด ผู้ว่าจ้างสามารถมั่นใจได้ว่างานก่อสร้างจะได้คุณภาพตามที่ตกลงไว้ และในกรณีที่เกิดปัญหาคุณภาพงาน สัญญาจะช่วยให้มีหลักฐานในการเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้รับเหมา

3. การปกป้องผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย

สัญญาก่อสร้างทำหน้าที่เหมือน “หลักฐานทางกฎหมาย” ที่ปกป้องผลประโยชน์ของทั้งผู้ว่าจ้างและผู้รับเหมา เช่น

  • กรณีผู้ว่าจ้างไม่ได้รับงานตามกำหนด สัญญาสามารถใช้เรียกร้องค่าชดเชยความเสียหายจากผู้รับเหมาได้
  • กรณีผู้รับเหมาไม่ได้รับค่าจ้าง สัญญาสามารถใช้ฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องค่าจ้างหรือเงินที่ค้างชำระได้

ตัวอย่างเช่น หากผู้ว่าจ้างไม่ชำระเงินตามที่ตกลงไว้ในงวดงานที่กำหนด ผู้รับเหมาสามารถยื่นฟ้องต่อศาลโดยใช้สัญญาเป็นหลักฐาน

4. การบริหารจัดการเวลาและงบประมาณ

การสร้างบ้าน

ภาพจาก : Freepik

โครงการก่อสร้างมักต้องดำเนินการภายใต้งบประมาณและระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งหากไม่มีสัญญาเป็นแนวทางชัดเจน อาจทำให้การบริหารจัดการยุ่งยาก

  • งานล่าช้าเพราะไม่มีการกำหนดวันส่งมอบงานในแต่ละขั้นตอน
  • งบประมาณบานปลายเนื่องจากไม่มีการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ชัดเจน

สัญญาก่อสร้างสามารถช่วยจัดการปัญหาเหล่านี้ได้โดยการระบุรายละเอียด เช่น

  • งบประมาณและการแบ่งจ่ายเงิน ชำระเงินในรูปแบบงวดงาน เช่น ชำระ 30% เมื่อเริ่มงาน ชำระอีก 40% เมื่องานถึงครึ่งทาง และชำระส่วนที่เหลือเมื่อส่งมอบงานเสร็จ
  • กำหนดเวลาส่งมอบงานในแต่ละระยะ เพื่อให้สามารถติดตามความคืบหน้าของงานได้

ซึ่งหากเรามีการกำหนดสัญญาที่ครบถ้วนทุกด้าน ก็จะทำให้เวลามีปัญหาภายหลังสามารถจัดการได้ง่ายขึ้นด้วย

5. การสร้างความโปร่งใสและความมั่นใจระหว่างคู่สัญญา

การมีสัญญาก่อสร้างช่วยให้ทั้งสองฝ่ายมีความมั่นใจในการดำเนินงานมากขึ้นทั้งผู้ว่าจ้างและผู้รับเหมามีเอกสารที่ระบุหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังลดโอกาสการเกิดความไม่พอใจ หรือข้อกล่าวหาในลักษณะที่ไม่มีหลักฐานยืนยัน

6. การรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน

ในโครงการก่อสร้างอาจมีปัญหาหรือสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่น ภัยธรรมชาติ การเพิ่มขอบเขตงาน หรือความล่าช้าที่ไม่ได้เกิดจากความผิดของผู้รับเหมา สัญญาก่อสร้างสามารถช่วยกำหนดวิธีการจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้

หากไม่มีสัญญาก่อสร้าง อาจเกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้นได้เช่น

  • ข้อพิพาททางกฎหมาย การฟ้องร้องระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้รับเหมาอาจเกิดขึ้นได้หากงานไม่เสร็จตามตกลง
  • ความไม่แน่นอนในเงื่อนไขการชำระเงิน ผู้ว่าจ้างอาจไม่ได้รับงานที่ตรงตามเงื่อนไข หรือผู้รับเหมาอาจไม่ได้รับค่าจ้างครบถ้วน
  • ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นทั้งทางการเงินและชื่อเสียง กรณีที่งานก่อสร้างล่าช้าหรือไม่สำเร็จตามแผน

จะเห็นได้เลยว่าการทำสัญญานั้นก็นับว่าเป็นข้อดีของทั้งสองฝ่ายที่มีข้อตกลงร่วมกัน

ข้อควรระวังในการทำสัญญาก่อสร้าง

  • การตรวจสอบรายละเอียดให้ชัดเจน ทุกเงื่อนไขควรเขียนให้ละเอียดและครอบคลุม
  • การเจรจาข้อตกลงที่เป็นธรรม หลีกเลี่ยงการใส่ข้อกำหนดที่เอาเปรียบฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
  • การทำสัญญาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้สัญญาถูกต้องตามข้อกำหนด

ทั้งนี้หากพบว่าสัญญานั้นไม่เป็นธรรม ทั้งสองฝ่ายอาจจะต้องมีการกำหนดจุดร่วมกันอีกครั้งเพื่อหาข้อสรุปที่ตรงกันทั้งสองฝ่าย และต้องไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์หรือเอารัดเอาเปรียบจนเกินไป

สรุป

สัญญาก่อสร้าง เป็นเอกสารสำคัญที่ช่วยป้องกันปัญหาในทุกขั้นตอนของการดำเนินงาน ตั้งแต่การเริ่มต้นจนถึงการส่งมอบงาน การมีสัญญาที่ชัดเจนและครอบคลุมไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยง แต่ยังเสริมสร้างความมั่นใจให้กับทั้งสองฝ่าย อย่าปล่อยให้การก่อสร้างของคุณตกอยู่ในความเสี่ยง เพราะการมีสัญญาที่ดีจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย