เสียงรบกวนจากภายนอกเป็นหนึ่งในปัญหาหลักที่ผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมหลายคนต้องเผชิญ โดยเฉพาะเมื่อผนังห้องมีความบางกว่าที่ควร การได้ยินเสียงทีวีจากห้องข้าง ๆ เสียงเดินจากห้องด้านบน หรือแม้แต่เสียงพูดคุยของเพื่อนบ้าน ล้วนส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นส่วนตัว บางครั้งอาจทำให้รู้สึกเครียด รำคาญ หรือแม้แต่เสียสุขภาพจิตในระยะยาว คำถามสำคัญที่หลายคนต้องการคำตอบคือ เมื่อกำแพงห้องคอนโดบางเกินไป จะสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยให้ห้องเงียบขึ้นและเป็นส่วนตัวมากขึ้น รวมถึงเสียงในห้องเวลาคุณทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ดูหนัง เล่นเกมส์ คุยโทรศัพท์ ซึ่งเสียงเหล่านี้อาจจะดังจนเล็ดรอดไปรบกวนข้างห้อง และคุณเองก็คงไม่ชอบที่จะให้คนอื่นได้ยินอย่างแน่นอน
บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยใช้หลักการทางวิศวกรรมควบคู่กับวิธีการที่สามารถลงมือทำได้จริง ทั้งแบบประหยัดงบประมาณและแบบที่ต้องลงทุนเพิ่มเพื่อให้ได้ผลสูงสุด มาดูกันว่าคุณสามารถเปลี่ยนห้องคอนโดที่เคยมีแต่เสียงรบกวน ให้กลายเป็นพื้นที่สงบและผ่อนคลายได้อย่างไร
ทำไมผนังคอนโดถึงบาง ?

ตัวอย่างกำแพงซับเสียง : ภาพจาก Wikipedia
ผนังของห้องคอนโดบางแห่งมักใช้แผ่นยิปซัมหรือผนังเบาที่มีโครงคร่าวโลหะอยู่ด้านใน ซึ่งแม้จะช่วยเรื่องความรวดเร็วในการสร้างและติดตั้งง่าย แต่กลับมีข้อจำกัดเรื่องการกันเสียง เนื่องจากมีความหนาแน่นไม่มากพอที่จะกั้นคลื่นเสียงจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงยังไม่สามารถกันเสียงจากภายในเล็ดลอดออกไปภายนอกได้อีก การจะทำให้ผนังลักษณะนี้สามารถป้องกันเสียงได้ดีขึ้น จำเป็นต้องพิจารณาทั้งเรื่องของวัสดุ โครงสร้าง และวิธีการติดตั้งเพิ่มเติมอย่างเหมาะสม แล้วเราจะแก้ปัญหานี้ยังไงดี ?
เสริมวัสดุดูดซับเสียงภายในห้อง

กำแพงกันเสียงบุรอบห้องดูหนัง : ภาพจาก Audimute.com
การติดตั้งวัสดุดูดซับเสียงเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถทำได้ง่ายและไม่ต้องรื้อโครงสร้างผนังเดิมออก วัสดุเหล่านี้มีหลากหลาย เช่น โฟมกันเสียง แผ่นใยแก้ว ผ้าอะคูสติก หรือแผ่นโฟมไข่ ซึ่งทำหน้าที่ลดการสะท้อนของเสียงภายในห้องและดูดซับเสียงบางส่วนที่มาจากภายนอก วิธีการนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดเสียงสะท้อนและเสียงก้องภายในห้องให้มีความสงบมากขึ้น รวมทั้งช่วยลดระดับเสียงที่เล็ดรอดเข้ามา
นอกจากนี้ การติดตั้งวอลเปเปอร์ชนิดหนา ผ้าม่านกันเสียง หรือแม้แต่การแขวนพรมบนผนังก็สามารถช่วยลดเสียงได้ในระดับหนึ่ง แม้จะไม่ได้กันเสียงได้ 100% แต่ก็ช่วยปรับบรรยากาศให้เงียบลงอย่างเห็นได้ชัด และยังเป็นการตกแต่งห้องไปในตัวอีกด้วย
ถ้าหากว่าคุณมีแผนที่จะรีโนเวทบ้านหรือห้องของคุณอยู่แล้ว ก็อาจจะวางแผนหรือพูดคุยปรึกษาเรื่องนี้กับผู้เชี่ยวชาญได้เลย เพื่อที่จะได้ทำไปพร้อมๆ กับการรีโนเวทบ้าน บางครั้งหากเราทำหลายอย่างพร้อมกันก็อาจจะทำให้ราคาการปรับปรุงบ้านของเรามีความคุ้มค่ามากขึ้นด้วย
ใช้แผ่นกันเสียงเพิ่มชั้นผนัง

ตัวอย่างการก่อสร้างกำแพงกันเสียง 2 ชั้น : ภาพจาก iKoustic
วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นและสามารถลงทุนเพิ่มได้ การติดตั้งแผ่นกันเสียงเพิ่มอีกหนึ่งชั้นบนผนังเดิมจะช่วยให้ผนังมีมวลมากขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการป้องกันคลื่นเสียง แผ่นกันเสียงที่นิยมใช้ เช่น แผ่นยางกันเสียง แผ่นซีเมนต์เบา แผ่นยิปซัมกันเสียง หรือแผ่นไม้ MDF ที่ติดตั้งร่วมกับโฟมดูดเสียงด้านหลัง ทั้งนี้ก็ต้องเลือกวัสดุให้เหมาะสมกับการก่อสร้างกำแพงกันเสียงแบบเพิ่มชั้นผนังด้วย เพราะถ้าหากไม่เหมาะสมก็อาจจะทำให้กำแพงล้มได้
โดยหลักการแล้ว ยิ่งผนังมีมวลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งป้องกันเสียงได้ดีมากขึ้นเท่านั้น การติดตั้งควรใช้วิธีเว้นช่องว่างระหว่างผนังเดิมกับผนังใหม่ เพื่อให้เกิดชั้นอากาศที่ช่วยลดแรงสั่นสะเทือน รวมถึงใช้วัสดุอุดรอยต่ออย่างแน่นหนา เพื่อไม่ให้มีช่องเสียงรั่วซึมได้ โดยกระบวนการนี้ควรให้ช่างผู้ชำนาญเป็นผู้ดำเนินการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ตรวจสอบและอุดช่องโหว่ตามขอบประตู หน้าต่าง

ตามร่องประตูหรือหน้าต่าง หากไม่พอดีกันก็สามารถมีเสียงลอดเข้ามาได้ : ภาพจาก Freepik
บ่อยครั้งเสียงที่เล็ดรอดเข้ามาในห้องไม่ได้มาจากผนังเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากช่องว่างเล็ก ๆ รอบขอบประตูหรือหน้าต่าง การตรวจสอบบริเวณเหล่านี้อย่างละเอียดจึงเป็นเรื่องสำคัญ และหากพบรอยรั่ว ควรอุดด้วยวัสดุซีลยางหรือโฟมกันเสียงแบบเฉพาะที่สามารถตัดตามขนาดได้
ในกรณีที่ประตูห้องเป็นบานบางหรือมีช่องระบายอากาศด้านล่าง อาจพิจารณาเปลี่ยนประตูใหม่ที่มีความหนาแน่นมากขึ้น หรือเสริมด้วยแผ่นกันเสียงและผ้าม่านกันเสียงที่คลุมมาถึงพื้น เพื่อป้องกันไม่ให้เสียงลอดผ่านเข้ามาทางประตู อีกทางเลือกหนึ่งคือการติดตั้งประตูสองชั้น ซึ่งมีลักษณะเหมือนห้องเก็บเสียงระดับมืออาชีพ แต่ก็ต้องใช้งบประมาณสูงและอาจกินพื้นที่ในห้องมากขึ้น
ปรับแต่งผังห้องและการวางเฟอร์นิเจอร์
บางครั้งวิธีง่ายที่สุดในการลดเสียงรบกวนคือการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของเฟอร์นิเจอร์ เช่น การนำตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ไปวางชิดผนังที่มีเสียงดังเข้ามา ก็สามารถทำหน้าที่เสมือนฉนวนกันเสียงได้ในระดับหนึ่ง หรือหากวางเตียงในตำแหน่งที่ติดกับผนังบาง ควรขยับออกมาเล็กน้อยและวางชั้นวางของหรือบานเฟอร์นิเจอร์ไว้ตรงกลางเพื่อลดแรงสะท้อนของเสียง
การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่บุด้วยผ้า เช่น โซฟา ผ้าม่าน พรม หรือแม้แต่เบาะรองนั่ง ก็สามารถช่วยดูดซับเสียงได้ดีเช่นกัน ห้องที่มีพื้นกระเบื้องลื่นหรือผนังเรียบมักจะสะท้อนเสียงมากกว่าห้องที่มีพื้นผิวแบบซับเสียง ดังนั้นการเพิ่มพื้นผิวที่ซับเสียงในห้องจะช่วยลดความดังของเสียงที่ลอดเข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ติดตั้งระบบผนังลอย (Floating Wall)
ผนังลอยเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง วิธีนี้คือการสร้างผนังใหม่ที่ไม่ติดกับผนังเดิมโดยตรง แต่จะเว้นช่องว่างไว้เล็กน้อยและใช้วัสดุกันเสียงติดตั้งในช่องว่างนั้น เทคนิคนี้จะช่วยลดแรงสั่นสะเทือนที่ส่งผ่านจากผนังเดิมมายังผนังใหม่ ทำให้เสียงที่ลอดเข้ามาลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ผนังลอยควรใช้ร่วมกับวัสดุดูดเสียงภายในและโครงคร่าวที่ติดตั้งแบบแยกส่วนจากโครงสร้างเดิม ซึ่งต้องใช้ความชำนาญและประสบการณ์สูงในการติดตั้ง ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่สามารถลงทุนในระยะยาวเพื่อเพิ่มความสงบและคุณภาพชีวิตในห้องคอนโด
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านอะคูสติก
หากคุณลองแก้ปัญหาด้วยตัวเองแล้วแต่ยังไม่สามารถลดเสียงได้ตามที่ต้องการ อาจถึงเวลาที่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านอะคูสติก ซึ่งสามารถเข้ามาวัดระดับเสียง วิเคราะห์จุดรั่วของเสียง และให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับลักษณะของห้องโดยเฉพาะ ผู้เชี่ยวชาญสามารถออกแบบแนวทางเฉพาะที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องงบประมาณ ความสวยงาม และข้อจำกัดของโครงสร้างห้อง
การใช้บริการจากมืออาชีพอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า หากคุณต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและถาวรในระยะยาว โดยเฉพาะในกรณีที่คุณใช้ห้องคอนโดเพื่อทำงาน เสียงรบกวนจะส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพและสุขภาพจิตใจของคุณ
สรุป
กำแพงห้องคอนโดที่บางและปล่อยให้เสียงรบกวนลอดเข้ามาได้ง่าย อาจเป็นปัญหาที่หลายคนคิดว่าแก้ไขไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงมีแนวทางมากมายที่สามารถช่วยให้ห้องเงียบลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในระดับเบื้องต้นที่ใช้วัสดุดูดเสียงภายในห้อง หรือในระดับขั้นสูงอย่างการติดตั้งผนังลอย ระบบกันเสียงเต็มรูปแบบ หรือแม้แต่การออกแบบใหม่ทั้งหมดโดยผู้เชี่ยวชาญ
ไม่ว่าจะเลือกวิธีใด การแก้ไขควรเริ่มจากความเข้าใจในธรรมชาติของเสียง และลงมือทำอย่างเป็นระบบ โดยพิจารณาทั้งข้อจำกัดของห้อง งบประมาณที่มี และความต้องการส่วนตัว เมื่อแก้ไขได้อย่างถูกต้อง ห้องของคุณก็จะกลายเป็นพื้นที่แห่งความสงบที่คุณสามารถพักผ่อน ทำงาน หรือใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ถูกรบกวนจากเสียงภายนอกอีกต่อไป