สถาปัตยกรรมเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้สิ่งใดในด้านการก่อสร้าง เพราะหากคุณต้องการสร้างตึก อาคาร หรือสิ่งก่อสร้างใดๆ ก็ตาม ก็จะต้องเริ่มต้นจากเรื่องสถาปัตยกรรมก่อนเสมอ เพื่อนๆ อาจจะสงสัยว่าแล้วสถาปัตยกรรมมันเกี่ยวอะไรกับการก่อสร้างด้วย งั้นเรามาทำความรู้จักกับเรื่องสถาปัตยกรรมก่อนดีกว่า
ก่อนจ้างผู้รับเหมาก่อสร้าง ต้องรู้อะไรบ้าง
สถาปัตยกรรมคืออะไร ?
สถาปัตยกรรมครอบคลุมการออกแบบ การวางแผน และการก่อสร้างอาคารและโครงสร้างทางกายภาพอื่นๆ โดยเกี่ยวข้องกับทั้งแง่มุมด้านสุนทรีย์และการใช้งานในการสร้างพื้นที่ที่ตอบสนองความต้องการต่างๆ ของมนุษย์ ตั้งแต่บ้านพักอาศัยไปจนถึงอาคารพาณิชย์
และจากโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะไปจนถึงภูมิทัศน์ สถาปนิกพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น สุนทรียภาพ ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม บริบททางวัฒนธรรม ผลกระทบทางสังคม และความเป็นไปได้ทางเทคนิคเมื่อออกแบบโครงสร้าง สถาปัตยกรรมผสมผสานศิลปะและวิทยาศาสตร์ โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ความรู้ด้านเทคนิค และทักษะการปฏิบัติ เพื่อสร้างพื้นที่ที่มีทั้งรูปลักษณ์ที่น่าดึงดูดและใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้
สถาปัตยกรรมมีกี่แบบ
หลักๆ สถาปัตยกรรมที่สามารถแบ่งออกได้เป็น 10 แบบใหญ่ๆ คือ
1. สถาปัตยกรรมทางด้านอาคาร เป็นการออกแบบบ้านและอาคาร รวมถึงโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับอาคารเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้สร้างทั้งในแง่ของการใช้งานและความสุนทรียภาพ
2. สถาปัตยกรรมทางด้านผังเมือง เป็นอีกสถาปัตยกรรมอีกหนึ่งแบบที่มีความสำคัญต่อภาพรวมในระดับประเทศมาก และเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างและพัฒนาเมืองให้มีความสอดคล้องและมีประสิทธิภาพ ต้องมีการคำนึงถึงหลายๆ ด้านทั้งแง่การใช้งาน ประสิทธิภาพ เศรษฐกิจ การวางระบบสาธารณูปโภค
3. สถาปัตยกรรมด้านอุตสาหกรรม ในด้านนี้จะประกอบไปด้วยหลายๆ ด้านเช่น นักออกแบบรถยนต์ ออกแบบเสื้อผ้า หรือสิ่งของใกล้ตัวต่างๆ นับเป็นอีกหนึ่งแบบที่มีความหลากหลายทางด้านการออกแบบมาก
4. สถาปัตยกรรมเชิงพาณิชย์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการออกแบบอาคารเพื่อวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์ เช่น สำนักงาน ร้านค้าปลีก ร้านอาหาร โรงแรม และห้างสรรพสินค้า สถาปนิกเชิงพาณิชย์มักพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น การสร้างแบรนด์ ประสบการณ์ของลูกค้า และการใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ
5. สถาปัตยกรรมสถาบัน เกี่ยวข้องกับการออกแบบอาคารสำหรับการใช้งานสาธารณะและสถาบัน รวมถึงโรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล อาคารของรัฐ ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ และโครงสร้างทางศาสนา
6. ภูมิสถาปัตยกรรม เกี่ยวข้องกับการออกแบบพื้นที่กลางแจ้ง สวนสาธารณะ สวน พลาซ่าในเมือง และพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ ภูมิสถาปนิกพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ภูมิประเทศ พืชพรรณ ภูมิอากาศ และปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์เมื่อสร้างสภาพแวดล้อมกลางแจ้ง
7. สถาปัตยกรรมภายใน มุ่งเน้นไปที่การออกแบบพื้นที่ภายในภายในอาคาร รวมถึงการจัดวาง การตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ แสงสว่าง และการวางแผนเชิงพื้นที่ สถาปนิกภายในมุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมภายในที่ใช้งานได้จริง มีความสวยงาม และสะดวกสบาย
8. สถาปัตยกรรมที่ยั่งยืน มุ่งเน้นไปที่การสร้างอาคารและโครงสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน สถาปนิกที่ยั่งยืนผสมผสานหลักการของการออกแบบสีเขียว พลังงานหมุนเวียน การออกแบบการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และวัสดุที่ยั่งยืนเข้าไว้ในโครงการเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
9. การอนุรักษ์และการฟื้นฟูประวัติศาสตร์ เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการนำอาคารประวัติศาสตร์ สถานที่สำคัญ และมรดกทางวัฒนธรรมกลับมาใช้ใหม่โดยปรับเปลี่ยนได้ สถาปนิกอนุรักษ์ประวัติศาสตร์มุ่งหวังที่จะปกป้องและรักษาความสมบูรณ์ทางประวัติศาสตร์ของอาคารในขณะเดียวกันก็ปรับให้เข้ากับการใช้งานร่วมสมัย
10 . สถาปัตยกรรมเฉพาะทาง รวมขอบเขตการปฏิบัติทางสถาปัตยกรรมเฉพาะที่เน้นประเภทอาคารหรือฟังก์ชันเฉพาะ เช่น สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการดูแลสุขภาพ วิทยาเขตการศึกษา ศูนย์กีฬา ศูนย์กลางการคมนาคม และสถานบันเทิง
สไตล์สถาปัตยกรรมสำหรับอาคาร
รูปแบบสถาปัตยกรรมสำหรับอาคารครอบคลุมแนวทางการออกแบบที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละแนวทางสะท้อนถึงบริบททางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และภูมิภาคที่เกิดขึ้น นอกจากนี้การออกแบบสถาปัตยกรรมสำหรับอาคารอีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องความสวยงามที่จะช่วยสร้างสุนทรียภาพในระหว่างที่เราใช้งานอาคารได้ด้วย สำหรับสไตล์สถาปัตยกรรมยอดนิยม 7 อย่างมีดังนี้
1. สไตล์โมเดิร์น แม้ว่าจะมีต้นกำเนิดในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แต่แบบสไตล์โมเดิร์นยังคงมีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมร่วมสมัย เส้นสายที่สะอาดตา ความเรียบง่าย และการเน้นการใช้งานเป็นลักษณะเฉพาะของอาคารสมัยใหม่ โดยเฉพาะการตกแต่งภายในที่จะทำให้ดูสะอาด สบายตา และสร้างบรรยากาศที่ดีในการอยู่อาศัยได้
2.สไตล์มินิมอล เน้นรูปแบบที่เรียบง่าย เส้นสายที่สะอาดตา และการเน้นพื้นที่เปิดโล่ง มีการลดรายละเอียดต่างๆ ของบ้านที่ไม่จำเป็นออกไป ส่วนมากแล้วถ้ามองจากภายนอกบ้านสไตล์มินิมอลมักจะเป็นทรงเรขาคณิตอย่างสี่เหลี่ยมมากกว่า นอกจากนี้ตัววัสดุที่ใช้สำหรับทำบ้านก็จะไม่ใช้วัสดุที่หลากหลายมากเกินไป ตามคำที่คนมักพูดว่า “บ้านสไตล์มินิมอล น้อยแต่มาก” เน้นโชว์เนื้อแท้ๆ ของวัสดุและเรียบง่ายมากที่สุด
3. สไตล์ร่วมสมัย เป็นแบบบ้านที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเป็นการผสมผสานวัฒนธรรมระหว่างอดีตกับปัจจุบันเข้าด้วยกันจนออกมาเป็นบ้านที่สวยงาม เรียบง่าย ไม่ได้มีความหรูหราหรือดูเก่าแก่จนเกินไป เรียกได้ว่าเป็นแบบบ้านที่ไม่มีตกยุค และตัวบ้านจะค่อนข้างมีมิติพอสมควร
4. บ้านสไตล์เนเชอรัล เป็นบ้านที่ให้ความรู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด เนื่องจากวัสดุส่วนมากจะใช้วัสดุจากธรรมชาติอย่างไม้มาเป็นวัสดุหลัก รวมถึงดีไซน์ของบ้านจะเน้นไปทางสบายๆ เปิดโล่ง ใช้สีเอิร์ธโทนที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ การสร้างบ้านสไตล์เนเชอรัลจะนิยมสร้างในแถบที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากกว่าเช่น สร้างในพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับป่าหรือเขา เป็นต้น
5. บ้านสไตล์คลาสสิก บ้านสไตล์คลาสสิกได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมประเพณีในยุคอดีต โดยเฉพาะจากยุคกรีกโบราณ โรม และยุโรป มักจะสื่อถึงความสง่างาม ความสมมาตร และความอมตะที่ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยมันก็ยังมีความสวยงามในแบบของตัวเอง โดยบ้านสไตล์นี้จะให้ความรู้สึกดูดีมีฐานะ เรียบหรู
6. บ้านสไตล์ลอฟท์ บ้านสไตล์ลอฟท์มีเอกลักษณ์เฉพาะด้วยผังแบบเปิด สุนทรียศาสตร์แบบอุตสาหกรรม และการนำพื้นที่อุตสาหกรรมหรือเชิงพาณิชย์กลับมาปรับปรุงรีโนเวทสร้างเป็นบ้านขึ้นมา บ้านสไตล์ลอฟท์มีต้นกำเนิดมาจากโกดัง โรงงาน และอาคารอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่รีโนเวทแล้วนำกลับมาทำเป็นบ้าน ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในเขตเมือง ด้วยลักษณะของตัวบ้านที่แสดงให้เห็นถึงความดิบของวัสดุในการก่อสร้างบ้าน ทำให้มันมีความสวยงามและมีสเน่ห์ในแบบของสไตล์ลอฟท์เอง
7. บ้านสไตล์ลักชัวรี่ บ้านสไตล์หรูหราโดดเด่นด้วยความหรูหรา ความประณีต และความใส่ใจในรายละเอียด บ้านเหล่านี้มักประกอบด้วยวัสดุระดับไฮเอนด์ งานฝีมืออันวิจิตรประณีต และสิ่งอำนวยความสะดวกหรูหราที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้พักอาศัยได้รับความสะดวกสบายมากที่สุด และบ้านแบบนี้ส่วนมากแล้วหากเทียบกับบ้านสไตล์อื่นๆ ถือว่ามีค่าใช้จ่ายสูงที่สุด
สรุป
สถาปัตยกรรมเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยกำหนดสิ่งต่างๆ ก่อนที่จะเริ่มทำ เริ่มสร้าง ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ของใช้ สิ่งของต่างๆ ก็ล้วนแล้วมีเรื่องสถาปัตยกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งนั้น เพราะมันจะเป็นตัวช่วยกำหนดรูปแบบให้ออกมาเป็นรูปแบบที่เราต้องการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการสร้างบ้านที่จะต้องมีการออกแบบเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ของบ้านได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงมีความน่าอยู่เพราะหากสร้างออกมาแล้วตัวบ้านให้บรรยากาศที่เราไม่ชอบก็จะทำให้เราไม่อยากอยู่อาศัยและส่งผลต่อจิตใจด้วยเช่นกัน ดังนั้นสถาปัตยกรรมก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้และต้องมาควบคู่กันเมื่อคุณต้องการจะสร้างบ้านสักหลังเป็นของตัวเอง