เสาเข็มมีกี่ชนิด แบบไหนที่เหมาะกับคุณ

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

เสาเข็มเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จำเป็นต่อการสร้างบ้านอย่างมากและไม่สามารถขาดได้ ก่อนที่จะเริ่มการก่อสร้างก็จำเป็นต้องลงเสาเข็มก่อนเสมอ และเสาเข็มเองก็ถือว่าเป็นพระเอกของบ้านได้เลยเนื่องจากว่ามันต้องแบกรับอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งจากตัวบ้านทั้งการรับน้ำหนัก การกระจายน้ำหนัก กันบ้านสั่น เพิ่มความแข็งแรงของบ้าน ฯลฯ และในการสร้างบ้านก็จำเป็นจะต้องเลือกเสาเข็มให้ถูกประเภทเพื่อที่จะได้สร้างบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรามาดูประเภทของเสาเข็มกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

เสาเข็มคืออะไร ?

เสาเข็ม (Pile) คือ ส่วนสำคัญของโครงสร้างฐานรากที่ใช้ในการรับและถ่ายเทน้ำหนักของอาคารหรือสิ่งก่อสร้างลงไปยังดินชั้นล่าง เสาเข็มถูกนำมาใช้เมื่อดินในชั้นบนมีความแข็งแรงไม่เพียงพอที่จะรองรับน้ำหนักของโครงสร้างทั้งหมด หรือเมื่อจำเป็นต้องก่อสร้างบนพื้นดินที่มีการเคลื่อนไหวหรือมีการยุบตัว และประโยชน์ของเสาเข็มก็มีหลากหลายอีกทั้งจำเป็นต่อการสร้างบ้านมาก

ประเภทของเสาเข็ม

ในตลาดก็มีเสาเข็มให้เลือกหลากหลายชนิดที่ใช้สำหรับการสร้างบ้านและเพื่อทำการเจาะลงพื้นดิน แต่หลักๆ ที่นิยมใช้สำหรับการสร้างบ้านจะมีด้วยกัน 3 ประเภทคือ

1. เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง (Prestressed Concrete Pile)

เป็นเสาเข็มที่ใช้ในงานก่อสร้างฐานรากของอาคารและโครงสร้างต่างๆ โดยมีการเสริมแรงเพิ่มเติมให้กับคอนกรีต ทำให้เสาเข็มมีความแข็งแรงและทนทานมากขึ้น การอัดแรงเข้ามาใช้ในการผลิตเสาเข็มนี้เป็นนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเสาเข็มในการรับน้ำหนักและแรงดึง

เสาเข็มคอนกรีตอัดแรงเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความทนทานของเสาเข็ม ทำให้สามารถรับน้ำหนักและแรงดึงได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับการใช้งานในโครงการก่อสร้างที่ต้องการความมั่นคงและความแข็งแรงสูง ด้วยการผลิตที่มีคุณภาพและกระบวนการอัดแรงที่ทันสมัย เสาเข็มคอนกรีตอัดแรงจึงเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับงานก่อสร้างที่ต้องการความแข็งแรงและทนทานสูง นิยมนำมาสร้างกับบ้านทั่วไป อาคารพาณิชย์ มีราคาถูกคุ้มค่ากับราคา และวิธีการลงเสาเข็มก็ไม่ยุ่งยากด้วย

2. เสาเข็มแบบเจาะ

เสาเข็มเจาะ เป็นวิธีการสร้างฐานรากอาคารที่นิยมใช้ในปัจจุบัน  โดยใช้เครื่องมือพิเศษเจาะลงไปในชั้นดินจนถึงระดับความลึกที่ต้องการ จากนั้นจึงใส่เหล็กเสริมและเทคอนกรีตลงในหลุมที่เจาะไว้ เมื่อคอนกรีตแห้งสนิทก็จะกลายเป็นเสาเข็มคอนกรีตที่ทำหน้าที่รับน้ำหนักของอาคารเอาไว้

วิธีการใช้เสาเข็มแบบเจาะจะค่อนข้างมีความยุ่งยาก เนื่องจากว่าจะเป็นการสร้างเสาเข็มในสถานที่จริงเลยทั้งเริ่มตั้งแต่การเจาะดิน การเทคอนกรีต การรอให้คอนกรีตแข็งตัว แต่วิธีนี้ก็ดีอย่างมากเพราะมันจะไม่สร้างแรงกระเทือนให้เกิดขึ้นกับอาคารบริเวณรอบๆ และช่วยลดเรื่องความเสียหายของตัวอาคารบริเวณข้างเคียงจากการเจาะได้มากที่สุด แถมยังหมดห่วงเรื่องมลพิษทางเสียงได้อีกด้วย

3. เสาเข็มกลมแรงเหวี่ยงอัดแรง

หรือที่รู้จักกันในนาม “เสาเข็มสปัน” (Spun Pile)  เป็นเสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กอัดแรงที่ผลิตโดยกรรมวิธีพิเศษ   ซึ่งอาศัยแรงเหวี่ยงความเร็วสูงผสมผสานกับเทคนิคการหล่อคอนกรีตอันล้ำสมัย ส่งผลให้เกิดเนื้อคอนกรีตที่มีความหนาแน่นสูงเหนือกว่าคอนกรีตทั่วไป เสริมด้วยโครงสร้างเหล็กเสริมแรงอัดแรง หล่อหลอมเป็นเสาเข็มกลมที่มีคุณสมบัติโดดเด่นทั้งด้านความแข็งแกร่ง ประสิทธิภาพการรับน้ำหนัก และความทนทานต่อสภาพแวดล้อม

เสาเข็มกลมแรงเหวี่ยงอัดแรง เป็นเสาเข็มที่มีประสิทธิภาพสูง เหมาะกับงานก่อสร้างที่ต้องการความแข็งแรง ทนทาน และรับน้ำหนักได้ดี แต่มีราคาค่อนข้างสูง และจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษในการติดตั้ง

สรุป

ในการสร้างสิ่งก่อสร้างประเภทของเสาเข็มก็จะต้องใช้แตกต่างกันไป การสร้างบ้านทั่วไปอาจจะใช้เพียงแค่เสาเข็มคอนกรีตอัดแรงก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าหากว่าต้องการสร้างอาคารพาณิชย์ที่มีน้ำหนักมากหรือต้องการความแข็งแรงทนทาน อาจจะใช้พวกเสาเข็มแบบเจาะหรือเสาเข็มกลมแรงเหวี่ยงอัดแรงเพื่อความมั่นคงของอาคารจะดีกว่า อย่างไรก็ตามขั้นตอนการลงหรือเลือกเสาเข็มทางวิศวกรจะต้องมีการคำนวณให้เหมาะสมเพราะไม่อย่างนั้นแล้วโครงสร้างของบ้านอาจจะมีปัญหาและผู้รับเหมาจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบได้


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

เสาเข็มมีความสำคัญอย่างไรกับตัวบ้าน

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ก่อนที่เราจะเริ่มสร้างบ้านแบบจริงๆ จังๆ ให้เป็นรูปร่างขึ้นมา เราก็มักจะต้องจัดการลงเสาเข็มให้กับบ้านก่อนการสร้างเสมอ และเสาเข็มก็เปรียบเหมือนกับหัวใจของบ้านที่จะไม่สามารถขาดมันไปได้เลย รวมถึงเป็นรากฐานอันแสนสำคัญที่จะละเลยไปไม่ได้ เรามาดูความสำคัญของเสาเข็มกันสักหน่อยดีกว่าว่าทำไมเวลาสร้างบ้านใหม่แล้วต้องมีการลงเสาเข็มกัน แล้วเสาเข็มมันมีกี่ประเภท ?

1. ป้องกันการทรุดตัว

เสาเข็มป้องกันการทรุดตัวของบ้านได้โดยการกระจายน้ำหนักของโครงสร้างบ้านลงไปยังชั้นดินที่มีความแข็งแรงและมั่นคงมากกว่า ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันที่กระทำบนดินบริเวณผิวหน้าและป้องกันไม่ให้ดินบริเวณนั้นทรุดตัวลงไป การใช้เสาเข็มยังช่วยป้องกันการเคลื่อนที่ของดินที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำใต้ดินหรือการกดทับจากน้ำหนักของโครงสร้างบ้าน

นอกจากนี้เสาเข็มยังทำหน้าที่เป็นสมอที่ช่วยยึดโครงสร้างบ้านให้แน่นและมั่นคง เมื่อดินรอบ ๆ เสาเข็มมีการเปลี่ยนแปลงหรือลดตัว เสาเข็มจะช่วยรับน้ำหนักและแรงกดดันแทนดิน ทำให้โครงสร้างบ้านยังคงมั่นคงและไม่เกิดการทรุดตัว โดยรวมแล้วการใช้เสาเข็มเป็นการเสริมสร้างความแข็งแรงและความมั่นคงให้กับบ้าน ช่วยป้องกันปัญหาการทรุดตัวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เสาเข็มมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการทรุดตัวของอาคารและโครงสร้าง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ดินมีความไม่เสถียรหรือมีความอ่อนนุ่ม การทรุดตัวของอาคารอาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น การกระจายน้ำหนักที่ไม่สมดุล การเปลี่ยนแปลงของดิน และการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน การใช้เสาเข็มช่วยลดปัญหานี้ได้

2. การกระจายน้ำหนัก

เสาเข็มช่วยกระจายน้ำหนักของบ้านไปยังชั้นดินที่แข็งแรงและลึกกว่า ทำให้บ้านสามารถรับน้ำหนักได้มากขึ้นโดยไม่เกิดการทรุดตัวหรือเสียหาย ดินชั้นล่างที่แข็งแรงมีความสามารถในการรับน้ำหนักได้ดีกว่าดินชั้นผิว ทำให้โครงสร้างบ้านมีความมั่นคงมากขึ้น

ยิ่งหากเป็นบ้านเก่าแล้วมีการต่อเติมเพิ่มจากเดิม ก็จำเป็นจะต้องมีการใส่เสาเข็มเพิ่มให้กับบ้านหากวิศวกรดูแล้วการต่อเติมน่าจะเป็นการเพิ่มน้ำหนัก ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้บ้านเกิดการทรุดตัวและทำให้บ้านเกิดความเสียหาย

3. การป้องกันการกัดเซาะ

เสาเข็มสามารถช่วยป้องกันการกัดเซาะของน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ใกล้น้ำ เช่น ริมฝั่งแม่น้ำ ทะเลสาบ หรือชายฝั่งทะเล การกัดเซาะของน้ำสามารถทำให้ดินรอบๆ ฐานรากอ่อนตัวลงและส่งผลให้โครงสร้างไม่มั่นคง

การใช้เสาเข็มช่วยป้องกันปัญหานี้ได้ เช่น การสร้างกำแพงกันน้ำ เสาเข็มสามารถถูกตอกลงไปในดินเพื่อสร้างกำแพงกันน้ำ ซึ่งช่วยลดแรงดันน้ำที่กัดเซาะดินรอบๆ โครงสร้าง ทำให้ดินมีความมั่นคงมากขึ้น หรือแม้กระทั่งการยึดดิน เสาเข็มช่วยยึดดินรอบๆ ฐานราก

ทำให้ดินไม่ถูกพัดพาออกไปโดยน้ำที่ไหลผ่าน พื้นที่ที่มีเสาเข็มจะมีความต้านทานต่อการกัดเซาะของน้ำมากขึ้น รวมถึงเสาเข็มยังช่วยลดแรงดันน้ำที่กดดันดินรอบๆ ฐานราก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีน้ำไหลผ่านอยู่ตลอดเวลา ทำให้ดินมีความเสถียรและไม่ถูกกัดเซาะ

4. การลดแรงสั่นสะเทือน

เสาเข็มช่วยลดแรงสั่นสะเทือนโดยการทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่สามารถดูดซับและกระจายแรงสั่นสะเทือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มต้นจากการที่เสาเข็มถูกตอกลึกลงไปในดิน ทำให้ฐานรากของอาคารได้รับการเสริมความแข็งแรงและมั่นคงมากขึ้น เมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือนจากภายนอก เช่น จากการจราจรหนัก หรือแผ่นดินไหว แรงสั่นสะเทือนนั้นจะถูกส่งผ่านมายังฐานรากของอาคาร

ในกรณีนี้ เสาเข็มจะทำหน้าที่เป็นตัวดูดซับแรงสั่นสะเทือน โดยเสาเข็มจะดูดซับแรงเหล่านี้และกระจายแรงลงไปยังชั้นดินที่อยู่ลึกและมีความแข็งแรงมากกว่าดินชั้นผิว ดินชั้นลึกมีคุณสมบัติที่สามารถดูดซับและกระจายแรงได้ดี ซึ่งทำให้แรงสั่นสะเทือนไม่ส่งผลกระทบมากนักต่อโครงสร้างอาคาร

เสาเข็มยังช่วยลดการเคลื่อนที่ของดินรอบ ๆ ฐานราก การเคลื่อนที่ของดินอาจเกิดขึ้นเมื่อมีแรงสั่นสะเทือน และอาจทำให้โครงสร้างไม่มั่นคง การที่เสาเข็มถูกตอกลึกลงไปในดินช่วยยึดดินรอบ ๆ ฐานราก ทำให้ดินมีความเสถียรและลดการเคลื่อนที่ เมื่อดินรอบฐานรากมีความแข็งแรง โครงสร้างอาคารก็จะมีความมั่นคงมากขึ้น

5. ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบ

เสาเข็มช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบโดยการรองรับน้ำหนักของโครงสร้างที่สร้างบนดินที่มีความอ่อนแอหรือไม่มั่นคง ทำให้สามารถสร้างอาคารหรือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ในบริเวณที่ดินมีปัญหาเรื่องการรับน้ำหนักได้

นอกจากนี้เสาเข็มยังสามารถปรับให้เข้ากับรูปแบบและขนาดของโครงสร้างที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้เสาเข็มยาวเพื่อรองรับน้ำหนักในชั้นดินที่ลึก หรือการใช้เสาเข็มสั้นในบริเวณที่ดินมีความแข็งแรงพอ

การใช้เสาเข็มในวิศวกรรมโยธายังช่วยลดความเสี่ยงของการทรุดตัวหรือการเคลื่อนที่ของดิน ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้โครงสร้างมีความคงทนและปลอดภัยมากขึ้นในระยะยาว ทั้งหมดนี้ทำให้วิศวกรและสถาปนิกมีความยืดหยุ่นในการออกแบบโครงสร้างที่มีความท้าทายและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ สรุปแบบง่ายๆ คือ “ถ้ารากฐานดี การสร้างบ้านที่ดีก็ไม่ใช่ปัญหา”

สรุป

เสาเข็มเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการสร้างบ้านและเป็นอีกหนึ่งโครงสร้างที่มีความสำคัญกับบ้านมากๆ หากมีการวิเคราะห์พื้นที่ก่อนการวางเสาเข็มก็จะยิ่งดีที่สุด เพราะแต่ละพื้นที่ก็มีความหนาของพื้นดินที่แตกต่างกัน และการใช้ประเภทของเสาเข็มก็ต้องแตกต่างกันด้วย และการวางเสาเข็มอย่างเหมาะสมให้กับบ้านก็จะทำให้บ้านที่เรารักมีอายุยืนยาว และไม่สร้างปัญหาที่ร้ายแรงให้กับตัวบ้าน มีความมั่นคงและความปลอดภัยให้กับเราด้วย


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

5 รอยร้าวที่อาจจะเป็นอันตรายกับบ้านของคุณ

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

บ้านร้าวอาจจะเป็นสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกว่าสภาพบ้านของคุณตอนนี้เป็นอย่างไร ซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นสัญญาณเตือนจากเรื่องของโครงสร้างบ้านที่ไม่มั่นคงและมีปัญหาแอบแฝงอยู่กับรอยร้าวนั้น ซึ่งต้องบอกว่ารอยร้าวนั้นมีตั้งแต่แบบเล็กๆ สามารถซ่อมแซมแบบง่ายๆ โดยที่ไม่เกิดผลกระทบใดๆ จนกระทั่งไปถึงรอยร้าวขนาดใหญ่ที่ส่งผลต่อตัวบ้านได้แบบร้ายแรง เรามาดูกันว่ารอยร้าวแบบไหนที่บอกว่าบ้านของคุณเริ่มจะมีปัญหาแล้ว

1. รอยร้าวแนวเฉียงของบ้าน

รอยร้าวแนวเฉียงของบ้านมักเกิดจากการเคลื่อนตัวของโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในบ้านและอาคาร สาเหตุหลักเกิดจาก การทรุดตัวของดิน ใต้ฐานรากที่ไม่เท่ากัน ทำให้โครงสร้างรับแรงไม่สมดุล เช่น ดินอ่อนหรือดินถมใหม่ การเปลี่ยนแปลงความชื้นในดิน หรือแรงสั่นสะเทือนจากการก่อสร้างใกล้เคียง

นอกจากนี้ ความผิดพลาดในการออกแบบหรือก่อสร้าง เช่น ฐานรากไม่ได้รองรับน้ำหนักอย่างเหมาะสม วัสดุไม่ได้มาตรฐาน หรือการเสริมเหล็กไม่เพียงพอ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดรอยร้าวแนวเฉียง โดยเฉพาะบริเวณมุมประตูหรือหน้าต่างที่เป็นจุดอ่อนของผนัง

รอยร้าวแนวเฉียงอาจบ่งบอกถึงปัญหาโครงสร้างที่ร้ายแรง หากไม่แก้ไขอาจลุกลามจนเป็นอันตรายต่อความปลอดภัย วิธีแก้ไขต้องตรวจสอบโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ อาจต้องปรับปรุงฐานรากหรือเสริมความแข็งแรงให้โครงสร้าง ทั้งนี้ การป้องกันเริ่มตั้งแต่การสำรวจสภาพดินและการวางแผนก่อสร้างอย่างเหมาะสม

2. รอยร้าวแบบแนวดิ่ง

รอยร้าวแบบแนวดิ่งนี้จะไม่มีการเฉียงไปด้านใดด้านหนึ่ง แต่เหมือนเป็นรอยร้าวที่ทิ้งดิ่งลงมาตรงๆ เลย มักจะเกิดกับบ้านที่มีสองชั้นขึ้นไป โดยสาเหตุอาจจะมาจากคานไม่สามารถรับน้ำหนักได้ไหวหรือมีการวางโครงสร้างผิดพลาดตั้งแต่แรก

นอกจากนี้หากชั้นบนของคุณมีของที่มีน้ำหนักมากเกินไปวางอยู่เหนือบริเวณจุดที่เกิดรอยร้าวก็สามารถทำให้เกิดปัญหาได้ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นเบื้องต้นหากคุณสังเกตเห็นรอยดังกล่าวแล้วชั้นบนของคุณมีของหนักวางอยู่ การแก้ไขแบบรวดเร็วคือย้ายของหนักๆ ชิ้นนั้นออกมาจากจุดที่เกิดรอยแตกร้าวแนวดิ่งก่อน แล้วเรียกให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบสาเหตุพร้อมกับแก้ไขอีกที

3. รอยร้าวแบบแตกเป็นใยแมงมุม

รอยร้าวแบบแตกเป็นใยแมงมุมหรือบางคนเรียกว่ารอยร้าวแตกแบบลายงานี้สามารถพบเจอปัญหาได้กับทั้งบ้านใหม่และบ้านเก่า ส่วนบริเวณที่พบปัญหามักจะอยู่ในบริเวณบนผนัง เพดาน หรือพื้นบ้าน มักมีลักษณะเป็นรอยร้าวขนาดเล็กที่แตกแขนงออกคล้ายใยแมงมุม

นอกจากนี้ส่วนมากการที่พบรอยแตกเช่นนี้มักจะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากนัก ส่วนสาเหตุเกิดมาจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิทำให้วัสดุที่ใช้สร้างบ้านเกิดการยืดหด เมื่อเกิดแบบนี้บ่อยครั้งเข้าก็สามารถทำให้เกิดการแตกเป็นลักษณะคล้ายกับใยแมงมุมได้ นอกจากนี้ยังเกิดได้จากการผสมปูนที่ไม่ได้สัดส่วนก็ทำให้เกิดรอยร้าวแบบนี้ได้เช่นกัน

วิธีแก้ง่ายๆ หากรอยร้าวดังกล่าวไม่ได้ลึกจนเกินไปก็สามารถทำได้ทั้งการใช้ซีเมนต์ซ่อมแบบง่ายๆ จากนั้นใช้กระดาษทรายขัดให้เรียบแล้วทาสีทับก็ได้ แต่ถ้าเกิดว่ารอยแตกแบบนี้มันลึกเกินไปก็ควรจะเรียกผู้เชี่ยวชาญมาจัดการจะดีกว่า

4. รอยร้าวบริเวณเสาบ้าน

สำหรับรอยร้าวที่เกิดขึ้นบริเวณเสาบ้านหรือเกิดขึ้นตรงเสาเลยอันนี้เป็นสัญญาณที่อันตรายมากๆ และมีความเกี่ยวข้องกับโครงสร้างของบ้านโดยตรง ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไขก็จะส่งผลกระทบที่อันตรายต่อบ้านได้เลย

สาเหตุการเกิดรอยร้าวในจุดนี้คือคานรับน้ำหนักมากเกินไปจนคานเริ่มรับไม่ไหวจนแสดงให้เห็นถึงรอยร้าว และถ้าหากคุณซื้อบ้านใหม่หากพบรอยร้าวชนิดนี้ต้องรีบให้ช่างประจำโครงการหรือช่างที่ดูแลบ้านที่คุณซื้อเข้ามาแก้ไขให้ทันที เนื่องจากว่ารอยร้ายชนิดนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กและไม่สามารถปล่อยปละละเลยได้

5. รอยร้าวกลางคานบ้าน

คานบ้านเป็นสิ่งที่มีความสำคัญกับบ้านมากๆ เป็นอันดับต้น เพราะมันทำหน้าที่เป็นผู้แบกรับน้ำหนักของบ้านทั้งหมด รวมถึงส่วนประกอบที่สำคัญอื่นๆ ของบ้าน เปรียบเหมือนกับสันหลังของมนุษย์ที่ไม่สามารถขาดได้และจำเป็นต้องใส่ใจรวมถึงมีการดูแลออกแบบเป็นพิเศษเพื่อให้บ้านมีความแข็งแรง ทนทานที่สุด

แต่ถ้าหากว่าเราพบรอยร้าวบริเวณคานบ้านไม่ว่าจะเป็นลักษณะแบบร้าวแนวดิ่ง ร้าวเป็นตัวยู ร้าวแบบมีเศษปูนร่วงลงมาด้วยนั่นก็หมายถึงว่าตัวคานนั้นกำลังมีปัญหาทางด้านโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อมันอย่างรุนแรง หากไม่มีการเข้าไปซ่อมแซมทันทีอาจจะทำให้ทั้งบ้านเกิดถล่มลงมาได้ รอยร้าวพวกนี้ที่เกิดขึ้นกับคานบ้านมีความอันตรายสุดๆ หากเทียบกับรอยร้าวชนิดอื่นๆ ดังนั้นหากสังเกตเห็นรอยร้าวที่เกิดขึ้นบริเวณคาน ควรรีบติดต่อผู้เชี่ยวชาญเรื่องบ้านให้เร็วที่สุดก่อนที่จะเกิดเหตุอันตรายต่อบ้าน ทรัพย์สิน และชีวิตของคุณ

สรุป

รอยร้าวนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งบ้านเก่าและบ้านที่พึ่งสร้างใหม่ โดยก็มีสาเหตุที่แตกต่างกันไปทั้งเรื่องอายุของบ้าน การสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน การที่บ้านคำนวณจุดรับน้ำหนักไม่ดีจนส่งผลให้บ้านเกิดรอยร้าว ทั้งนี้เราต้องมีการสังเกตอย่างต่อเนื่องและถ้าหากว่าเราไม่มั่นใจเราก็สามารถจ้างให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบโครงสร้างและสภาพของบ้านได้ด้วยเหมือนกัน เพราะถ้าหากเราฝืนใช้ต่อและไม่มีการบำรุงเลยก็อาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นได้

ทางบ้านเพื่อนการช่างนอกจากจะเชี่ยวชาญเรื่องการก่อสร้างบ้าน โกดัง ออกแบบบ้านแล้ว ยังสามารถช่วยคุณตรวจสอบโครงสร้างบ้าน ประเมินความเสี่ยง รวมถึงหาแนวทางแก้ไขและสามารถลงมือแก้ไขได้ และทางบ้านเพื่อนยินดีให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญแบบตรงๆ และไม่ต้องเสียเงิน


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

5 สัญญาณที่กำลังบอกว่าบ้านของคุณต้องเจอปลวก

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

ปลวกเป็นสิ่งที่อันตรายต่อบ้านไม้ทุกรูปแบบ แต่มีไม้อยู่ไม่กี่ประเภทเท่านั้นที่ปลวกจะไม่ชอบ และปลวกเองก็เป็นศัตรูตัวฉกาจของบ้านไม้ที่หากมันได้ขึ้นบ้านของเราเมื่อไหร่ การกำจัดมันออกจากบ้านก็ทำได้ยากด้วย แถมยังส่งผลกระทบต่อบ้านทั้งโครงสร้าง เนื้อไม้ และทำให้บ้านของเราเกิดปัญหาใหญ่ได้ แม้จะเห็นมันตัวเล็กๆ ก็ห้ามประมาท เราจำเป็นจะต้องมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอและคอยป้องกันปลวกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บ้านของคุณมีความปลอดภัยจากปลวกตัวร้าย และนี่คือ 6 สิ่งที่บอกว่าปลวกกำลังจะบุกบ้านคุณ

1. พบรังปลวก

จอมปลวก

รังปลวกหรือบ้านเราจะคุ้นหูกับคำว่า “จอมปลวก” มากกว่า หากเราพบเห็นมันอยู่ใกล้กับบริเวณบ้านเราให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าปลวกนั้นเริ่มที่จะเข้ามายังบ้านของคุณแล้ว หรือหากยังไม่เห็นเป็นรูปร่างที่ชัดเจนก็อาจจะสังเกตจากบริเวณพื้นดินที่มีความแตกต่างกับพื้นที่อื่นๆ อย่างชัดเจน เริ่มมีลักษณะคล้ายเนินดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ไม่ใช่ว่ารังปลวกจะอยู่บนพื้นดินอย่างเดียวเท่านั้น มันสามารถอยู่ได้แทบทุกที่ โดยเฉพาะที่ที่มีความชื้นสูง นอกจากนี้มันยังสามารถแฝงตัวอยู่ในบ้านเราด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราอาจจะต้องหมั่นสังเกตความผิดปกติภายในบ้าน

รูปจาก DDproperty

หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าแมลงเม่านั้นก็เป็นหนึ่งในปลวกด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่มดมีปีกอย่างที่หลายคนคิด โดยแมลงเม่าเป็นวรรณะหนึ่งของปลวกที่บินออกมาจากรังปลวก จากนั้นก็จะสลัดปีกเพื่อผสมพันธุ์และขยายรังปลวกอันใหม่ต่อไป ดังนั้นแล้วการมีแมลงเม่าอยู่บริเวณบ้านไม่ใช่เพียงแค่น่ารำคาญอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังจะกลายเป็นการขยายพันธุ์ปลวกให้เข้ามาบุกบ้านของเราได้ด้วย

3. พบรอยความเสียหาย

รูปจาก Safeguard Pest Control

หากคุณบังเอิญได้สังเกตเห็นรอยแตกแบบเล็กๆ เต็มเนื้อไม้ นั่นก็เป็นสัญญาณว่าปลวกนั้นได้บุกบ้านของคุณเรียบร้อยแล้วและมันก็ได้เริ่มทำลายไม้บางส่วนไปบ้างแล้ว เมื่อเป็นแบบนี้เราต้องรีบกำจัดปลวกออกไปให้เร็วที่สุดก่อนที่มันจะขยายพันธุ์ไปมากกว่าเดิมจนสร้างความเสียหายให้กับบ้านไปมากกว่านี้

4. พบทางเดินของปลวก

รูปจาก Happy House

เราสามารถสังเกตเห็นทางเดินของปลวกได้ง่ายมาก โดยเมื่อปลวกได้เดินอยู่ในบ้านของเรามันจะมีร่องรอยของดินที่มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเหมือนโคลนแห้งๆ ติดบนกำแพงเป็นทางเดินยาวเต็มไปหมด นั่นหมายความว่าปลวกนั้นได้เดินบนกำแพงบ้านของคุณและบ้านของคุณกำลังเผชิญหน้ากับปลวกอยู่ และการที่เราเห็นทางเดินของมันนั้นก็ยังช่วยให้เราสามารถหารังของมันเพื่อกำจัดต้นตอได้โดยง่ายด้วย

5. พบมูลของปลวก

รูปจาก Sanook

มูลปลวกจะมีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ สีน้ำตาลคล้ายเมล็ดพริกไท โดยส่วนมากเราจะพบมูลปลวกได้ในบริเวณที่มันเข้าไปทำลายหรือจุดที่เป็นรูที่สามารถทำให้ปลวกมุดตัวเข้าไปได้ และแบบนี้ก็ทำให้เราสังเกตได้เลยว่ามีปลวกขึ้นบ้านของเราเรียบร้อยแล้ว

6. พบเสียงแปลกๆ บริเวณผนัง

จุดยอดนิยมประจำหลายๆ บ้านเลยก็คือพื้นที่อับชื้น โดยเฉพาะพวกผนังที่เป็นจุดที่เรามองไม่เห็น มันมักจะมุดเข้าไปตามรอยแตกของเนื้อไม้หรือเนื้อปูนดั้งเดิม จากนั้นก็ทำรังอยู่ในบริเวณนั้น หากบ้านของคุณเป็นบ้านไม้แล้วเจอปลวกขึ้นบ้านอยู่ก็มักจะได้ยินเสียงแปลกๆ เกิดขึ้น

คล้ายกับมีคนเคาะอยู่เบาๆ อันนี้เราต้องตั้งใจฟังเสียงดีๆ หากคุณลองหาสาเหตุแล้วไม่พบต้นตอของเสียงจากที่อื่นเลยก็ให้เดาว่าเป็นเสียงปลวกที่กำลังกัดกินไม้อยู่ หากไม่มั่นใจอาจจะลองเคาะบริเวณนั้นๆ ดู หากรู้สึกว่ามันดูกลวงๆ ไม่แน่นไม่ตันตามวัสดุที่ใช้ แสดงว่าปลวกนั้นได้เข้าไปทำลายเนื้อไม้เรียบร้อยแล้ว ให้เรารีบกำจัดให้ไวที่สุด

สรุป

เรื่องปลวกขึ้นบ้านมันก็เป็นปัญหากวนใจของใครหลายคน ไม่ใช่แต่เพียงบ้านไม้เท่านั้นที่พบเจอปัญหากับปลวกขึ้นบ้าน แต่บ้านปูนเองก็เจอปลวกขึ้นบ้านได้ด้วยเหมือนกัน เพราะมันจะมาตามรอยที่แตกดั้งเดิมของบ้านและสร้างรังเพื่อออกไปหาอาหาร โดยบ้านปูนเองจุดที่ปลวกมักจะเข้าไปทำรังมากที่สุดก็คือตามท่อต่างๆ รวมถึงใต้พื้นบ้าน เพดาน กำแพง เป็นต้น แม้ว่าปลวกจะไม่กินปูนแต่หากเราเห็นมันเดินอยู่ในบ้านก็คงไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ ดังนั้นแล้วหากใครที่กำลังประสบปัญหากับเรื่องปลวกก็ต้องรีบจัดการทันทีก่อนที่จะสายเกินแก้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบ้านไม้ที่ต้องมีการตรวจสอบและป้องกันอย่างสม่ำเสมอ


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

วิธีดูแลบ้านไม้ที่เรารัก ให้อยู่ได้นานที่สุด

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

“บ้านไม้” เป็นหนึ่งในบ้านยอดนิยมของคนไทยมาอย่างช้านานตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันบ้านไม้ก็ยังได้รับความนิยมอยู่ และบ้านไม้เองก็ยังมีเสน่ห์และมีคุณค่าทางด้านสถาปัตยกรรมหลายอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ในด้านมุมมองของทั้งผู้อยู่อาศัยและผู้ที่ต้องการสร้างบ้านไม้เอง

นอกจากนี้ตัวไม้ยังมีคุณสมบัติที่ดีหลายอย่างทั้งการระบายลมได้ดี มีความทนทานสูง การก่อสร้างค่อนข้างประหยัดงบประมาณพอสมควร เป็นต้น ก่อนอื่นเลยหากคุณมีบ้านไม้อยู่แล้วหรือสนใจกำลังอยากสร้างบ้านด้วยไม้ เราจะมีวิธีบำรุงบ้านกันอย่างไรบ้าง ?

1.การทำความสะอาดเป็นประจำ

ไม้สามารถทำความสะอาดได้เหมือนกับบ้านปกติทั่วไป หากมีฝุ่นหรือสิ่งสกปรกเกิดขึ้นในบ้านเราสามารถชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดส่วนต่างๆ ของบ้านได้ทันที ไม่ควรใช้สารเคมีที่รุนแรงหรือมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนเนื้อไม้ เนื่องจากว่าหากใช้สารเคมีที่รุนแรงแล้วจะสร้างความเสียหายให้กับเนื้อไม้ได้ นอกจากนี้หากมีสารเคมีตกค้างในเนื้อไม้ก็อาจจะทำให้คนที่อาศัยในบ้านได้รับการเจ็บป่วยได้ ดังนั้นควรเลี่ยงพวกสารเคมีต่างๆ โดยไม่จำเป็นให้ได้มากที่สุด การทำความสะอาดพื้นฐานหากไม่ได้สกปรกมากเพียงแค่มีฝุ่นจับก็ชุบน้ำหมาดๆ เช็ดทำความสะอาดได้เลยไม่มีปัญหา

2. การป้องกันปลวกของบ้านไม้

ภาพจาก : Forbes

ปลวกเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำหรับบ้านไม้หลายๆ หลัง โดยเฉพาะบ้านไม้ที่ถูกสร้างขึ้นมานานแล้วอาจจะไม่ได้มีการเคลือบสารเพื่อป้องกันปลวก ทำให้ปลวกกินเนื้อไม้เข้าไปจนทำให้โครงสร้างอาจจะมีปัญหาได้ในอนาคต นอกจากนี้หากมีปลวกแล้วการขยายตัวของพวกมันก็เร็วมาก

ดังนั้นแล้วสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับบ้านไม้เลยคือ “การป้องกันปลวก” หากคุณสร้างบ้านไม้ไว้อยู่แล้วเราอาจจะทำได้เพียงแค่หมั่นทำความสะอาดและตรวจสอบร่องรอยของปลวก และหมั่นทาน้ำยาป้องกันปลวกให้กับบ้านเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหน้าฝนที่หลังจากหมดหน้าฝนแล้วควรทำทันที เพราะช่วงนั้นอากาศจะยังชื้นๆ และปลวกกำลังจะเริ่มเข้ามาพอดีจึงควรป้องกันก่อนที่ปลวกจะเริ่มเข้ามาขยายพันธุ์ที่บ้านของคุณ

3. ป้องกันปลวกก่อนการสร้างบ้าน

ภาพจาก : hbuildersinc

ปัจจุบันเทคโนโลยีได้พัฒนาไปค่อนข้างไกลพอสมควรแม้แต่วงการการก่อสร้างเองก็ด้วย สำหรับการป้องกันปลวกที่ดีที่สุดคือเริ่มต้นตั้งแต่ตอนสร้างบ้าน โดยสมัยนี้พวกน้ำยากำจัดปลวกหรือป้องกันปลวกต่างๆ ก็มีให้เลือกหลากหลายชนิด หากเรามียี่ห้อที่เรารู้จักหรือต้องการอยู่แล้วก็สามารถนำมาราดกับพื้นดินเพื่อป้องกันปลวกขึ้นบ้านได้ดีระดับหนึ่ง ซึ่งวิธีนี้นิยมอย่างมากก่อนที่จะเริ่มสร้างบ้านไม้ขึ้นมา

4. ป้องกันภายนอกของบ้านไม้

พื้นที่ภายนอกของบ้านไม้อย่างพวกระเบียง กำแพงบ้าน หรือส่วนที่ต้องโดนแดดโดนฝนเป็นอันดับแรกจำเป็นจะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษเนื่องจากว่าเป็นสิ่งที่ต้องปกป้องบ้านเป็นอันดับแรก สิ่งที่เราควรทำเลยคือทำการทาสีย้อมไม้หรือไม่ก็ทาน้ำยาถนอมรักษาเนื้อไม้เพื่อไม่ให้ไม้สูญเสียความชื้นจนเกิดความเสียหายกับไม้ ปัจจุบันสีย้อมบางชนิดก็สามารถป้องกันปลวกได้ด้วยเหมือนกัน อันนี้ก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการป้องกันปลวกขึ้นบ้านด้วย

ถ้าหากว่าต้องการเพิ่มความสวยงามให้กับเนื้อไม้ที่อยู่ภายนอกบ้านก็สามารถทาสีน้ำมันทับได้เหมือนกัน แต่ต้องรอให้สีย้อมหรือน้ำยาถนอมเนื้อไม้แห้งเสียก่อนจึงค่อยทาสีน้ำมันทับอีกที แต่แนะนำว่าห้ามใช้สีน้ำมันกับพื้นไม้ในบ้านเด็ดขาด เนื่องจากว่าจะทำให้มันลื่นได้

5. ป้องกันเนื้อไม้ในบ้าน

สำหรับเนื้อไม้ภายในบ้านก็ไม่ใช่ว่าไม่ต้องเผชิญกับสิ่งที่ทำให้เกิดความเสียหายได้เหมือนกับไม้ภายนอก เพราะมันต้องเจอกับปัญหาการใช้งานของคนที่อยู่อาศัยและปัญหาส่วนมากที่จะเจอเลยก็คือเนื้อไม้เกิดริ้วรอยจากการใช้งาน ทำให้มันไม่สวยงามและอาจจะดูขัดตาสำหรับใครหลายๆ คน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดริ้วรอยเราอาจจะต้อง “เคลือบผิวไม้” เพื่อป้องกันริ้วรอยของการใช้งาน สำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันไม้ภายในบ้านก็มักจะใช้ “โพลียูรีเทน” กันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งคุณสมบัติของมันก็มีให้เลือกหลากหลายแบบขึ้นอยู่กับยี่ห้อและชนิดการใช้งาน แต่หลักๆ โพลียูรีเทนก็จะช่วยเคลือบผิวไม้ให้มีความมันเงาสวยงาม และป้องกันริ้วรอยที่อาจจะเกิดขึ้นกับเนื้อไม้ได้ด้วยเหมือนกัน

นอกจากนี้โพลียูรีเทนก็ยังมีแบบกันซึมสำหรับใช้กับห้องน้ำด้วย อย่างไรก็ตามหลายคนอาจจะสงสัยระหว่างแล็คเกอร์กับโพลียูรีเทนว่าต่างกันอย่างไร แล้วใช้แล็คเกอร์แทนได้มั้ย ต้องบอกว่าแล็คเกอร์มันเหมาะกับกลุ่มไม้อย่างพวกเฟอร์นิเจอร์มากกว่า ส่วนโพลียูรีเทนจะเหมาะกับพวกไม้ที่ต้องเดินย่ำเหยียบไปมาหรือกิจกรรมที่ทำให้เกิดริ้วรอยกับไม้

สรุป

บ้านไม้เป็นหนึ่งในบ้านที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทยมาช้านาน มีความสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ และน่าอยู่อาศัย แต่หลายคนอาจจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องการดูแลบ้านไม้ที่อาจจะไม่เข้าใจว่าบ้านไม้จะไม่มีความคงทนเท่ากับบ้านปูน แต่อย่างที่หลายคนได้เห็นบ้านไม้บางบ้านก็มีอายุหลายสิบปีอยู่นานไม่แพ้กับบ้านปูนเลยหากมีการดูแลที่ดี

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องระวังมากๆ ของบ้านไม้เลยคือการดูแลและเรื่องของปลวก หากเราปล่อยให้มีปลวกขึ้นบ้านเมื่อไหร่การจะกำจัดก็ยากมาก แถมมันสร้างความเสียหายได้แบบสุดๆ ให้กับเนื้อไม้อีก ดังนั้นแล้วหากคุณกำลังสนใจบ้านไม้หรือมีบ้านไม้เป็นของตัวเอง ควรให้ความสำคัญกับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ และไม่ควรที่จะละเลยการดูแลเพราะมันอาจจะสร้างปัญหาให้กับคุณได้ในอนาคต


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการตกแต่งภายในบ้าน

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย

การตกแต่งภายในบ้านก็มีความสำคัญ เปรียบเหมือนกับการสร้างสภาพแวดล้อมให้มีความสวยงามน่าอยู่ และยังสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยให้กับสถานที่นั้นๆ รวมถึงสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการใช้งานพื้นที่ของเรา ในการออกแบบเราสามารถเลือกทั้งวัสดุที่จะทำมาใช้ การออกแบบ การจัดวาง ทำให้สถานที่ที่เป็นบ้านหรือสำนักงานหรือสถานที่นั้นๆ มีความน่าอยู่และสะดวกสบายมากขึ้น

ความสำคัญของการตกแต่งภายในบ้าน
  • สัญญาการรับเหมาก่อสร้าง

การตกแต่งภายในบ้านมีความสำคัญมากเนื่องจากมีผลต่อคุณภาพชีวิตและความพึงพอใจของผู้อยู่อาศัยในบ้านทั้งเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีน่าอยู่ เพิ่มความสวยงามและเสน่ห์ให้กับตัวบ้าน และเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ของบ้านได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยหลักๆ แล้วการตกแต่งภายในบ้านจะมีความสำคัญอาทิเช่น

1. การปรับปรุงของเดิมจากที่มีอยู่ เป็นการปรับปรุงการตกแต่งภายในบ้านที่จากเดิมเป็นสไตล์หนึ่งให้กลายเป็นอีกสไตล์หนึ่งให้ภายในบ้านมีบรรยากาศที่น่าอยู่มากขึ้น

2. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานในบ้านมากขึ้น บางทีการตกแต่งภายในบ้านแบบเดิมอาจจะไม่ได้สอดคล้องกับการใช้งานของเราในปัจจุบัน จึงต้องมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมมากขึ้น เพื่อให้เราใช้งานได้อย่างเต็มที่และเหมาะสมกับชีวิตประจำวันของเรามากที่สุด โดยอาจจะเปลี่ยนเป็นวัสดุใหม่ ลดพื้นที่การวาง การหาที่วางของใหม่เพื่อให้เราได้พื้นที่ใช้สอยมากยิ่งขึ้น เป็นต้น

ก่อนออกแบบบ้านเราต้องรู้อะไรบ้าง ?

1. การวางแผนการใช้พื้นที่

ก่อนที่เราจะเริ่มการตกแต่งภายในบ้าน เราจำเป็นต้องมีการวางแผนการใช้งานพื้นที่ให้ดีก่อนไม่งั้นแล้วเราอาจจะต้องมาปรับปรุงและรื้อออกภายหลัง ทำให้เสียทรัพย์เสียเวลาเพิ่มขึ้น ส่วนนี้เราอาจจะไปปรึกษากับบริษัทรับออกแบบบ้านเพื่อให้ช่วยวางแผนให้เราก็ได้

การวางแผนการใช้งานพื้นที่ก็อาจจะวางตามความต้องการของเราหรือวางให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์หรือการใช้ชีวิตประจำวันของเรา เช่น ที่บ้านมีเด็กเล็ก บ้านเป็นครอบครัวใหญ่ หรือบางบ้านอาจจะเป็นแค่คู่รัก 2 ท่าน ซึ่งแต่ละแบบแต่ละประเภทก็มีการใช้งานพื้นที่ที่แตกต่างกันไป

2. ดูขนาดพื้นที่และจุดบอดภายในบ้าน

ต่อมาเราต้องวิเคราะห์ในส่วนของขนาดพื้นที่เพิ่มเติมหรือพิจารณาในด้านข้อจำกัดของโครงสร้างบ้านอีกด้วย เพราะถ้าเราไม่ได้คำนึงถึงส่วนนี้บางทีตกแต่งในบ้านอาจจะไม่พอดีกับตัวบ้านได้เช่น เฟอร์นิเจอร์ชิ้นนี้อาจจะขนาดเล็กเกินไป พื้นที่ส่วนนี้กว้างเกินไปจนไปกินพื้นที่อื่น เป็นต้น

อีกส่วนที่สำคัญคือการดูเรื่องทิศทางของแสงและลม บางบ้านไม่ต้องการให้แสงแดดส่องเข้ามาในบ้านและอยากให้มีลมเข้าบ้านเพื่อถ่ายเทอากาศให้ดีขึ้น การที่เราวางของตกแต่งภายในแล้วไปบังลมก็อาจจะไม่เป็นไปตามความต้องการของเราก็ได้

3. การวางสไตล์การตกแต่งภายในบ้าน

ปัจจุบันสไตล์ของบ้านก็มีเยอะแยะเต็มไปหมด เช่น บ้านที่มีการตกแต่งภายในเป็นสไตล์ญี่ปุ่น การตกแต่งภายในแบบสไตล์โมเดิร์น สไตล์คอนเทมโพลารี สไตล์วินเทจ หรือสไตล์ใดๆ ก็แล้วแต่ มันช่วยเพิ่มความมีสุนทรียภาพในการอยู่อาศัยให้กับเจ้าของได้ไม่น้อย ดังนั้นแล้วเนี่ยการวางสไตล์ของบ้านก็เป็นเหมือนการวาง “Concept” ให้กับตัวบ้านว่าต้องการเป็นแบบใด ซึ่งข้อนี้มันก็จะส่งผลต่อการเลือกวัสดุและเฟอร์นิเจอร์ของเราด้วยเหมือนกัน

แนะนำว่าให้เพื่อนๆ ลองดูสไตล์ที่ชอบพร้อมๆ กับดูวัสดุที่น่าจะเข้ากับสไตล์ของเราไปพร้อมกันเลยก็ได้ เนื่องจากว่าบางทีตัววัสดุอาจจะมีราคาสูงเกินไปเราอาจจะต้องเปลี่ยนสไตล์ภายหลังได้ แต่ถ้าเพื่อนๆ มีคนให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการตกแต่งภายในบ้านอยู่แล้วก็อาจจะปรึกษากับผู้ให้บริการได้เหมือนกัน อย่างบ้านเพื่อนเองก็มีหลายเคสที่ลูกค้าต้องการสไตล์ที่ตัวเองชอบแต่จะให้ทางเราช่วยจัดให้ตามงบประมาณที่มีเราก็ทำได้เหมือนกัน

4. เลือกวัสดุที่เหมาะสม

การเลือกวัสดุที่เหมาะสมสำหรับการออกแบบตกแต่งภายในบ้านนั้นเกิดจากการพิจารณาหลายปัจจัย เช่น สไตล์ของบ้าน การใช้งานของพื้นที่ ความทนทานและการดูแลรักษา ซึ่งเรื่องวัสดุก็มีความสำคัญพอสมควร และแทบจะเป็นเรื่องหลักๆ ของการออกแบบภายในบ้านได้เลย ในปัจจุบันก็ได้มีวัสดุให้เลือกมากมายหลากหลายเกรดหลายคุณภาพ รวมถึงราคาก็มีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความสวยงามและคุณภาพของวัสดุ ดังนั้นเพื่อนๆ ควรจะเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับบ้านและสามารถใช้ได้จริง รวมถึงให้สอดคล้องกับงบประมาณด้วย

แม้ทุกคนจะชอบคุณภาพวัสดุที่ดีที่สุดก็จริง แต่ราคานั้นก็ไม่ได้เบาเลย ดังนั้นเพื่อนๆ อาจจะให้ผู้ที่รับออกแบบตกแต่งภายในหรือปรึกษากับผู้ที่ให้บริการตกแต่งภายในบ้านได้เช่นกัน เพื่อให้ช่วยดูคุณภาพของวัสดุรวมถึงราคาที่ดีที่สุดให้กับเราได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามเพื่อนๆ ก็ควรจะหาข้อมูลของวัสดุที่เราต้องการไว้ล่วงหน้าก่อน เราจะได้ทราบถึงคุณภาพที่แท้จริงและราคาของมันด้วย

5. กำหนดงบประมาณ

งบประมาณเป็นหัวใจหลักของการปรับปรุงการตกแต่งภายในบ้านซึ่งราคาจะมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสไตล์ของตัวบ้าน วัสดุ ขนาดการใช้พื้นที่ ค่าบริการจ้างนักออกแบบ และส่วนอื่นๆ ส่วนมากแล้วผู้ที่ให้บริการการออกแบบภายในก็จะช่วยคำนวณให้คุณได้เช่นกัน แต่เราเองก็ต้องมีการวางแผนเรื่องงบประมาณที่เรามีอยู่เพื่อที่การออกแบบภายในจะได้ไม่เกินงบของเรา

สรุป

การออกแบบภายในบ้านความจริงไม่ได้มีความซับซ้อนใดๆ มากนักในฝั่งของผู้ว่าจ้าง ปัจจุบันเพียงแค่คุณแจ้งงบประมาณที่ต้องการ สไตล์ของบ้าน วัสดุที่ต้องใช้หากเราคิดไว้แล้ว เท่านี้ก็สามารถไปคุยว่าจ้างให้ตกแต่งภายในบ้านได้แล้ว แต่ทั้งนี้เมื่อถึงเวลาการทำงานทุกขั้นตอน เราก็อยากให้คุณเป็นผู้ที่เข้าไปตรวจสอบดูแลการทำงานอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเวลาเกิดความผิดพลาดในการทำงาน หรือไม่ได้ทำตามแบบที่ตกลงกันไว้จะได้แก้ไขได้อย่างทันท่วงที

ทางด้านบ้านเพื่อนเองก็มีบริการรับตกแต่งภายในบ้านแบบครบวงจร ให้บริการตั้งแต่การให้คำปรึกษา ช่วยเลือกวัสดุ ตีกรอบงบประมาณให้เป็นไปตามความต้องการที่คุณมี พร้อมทั้งทีมงานที่จะดูแลคุณตลอดตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งปิดจบงาน นอกจากนี้คุณไม่ต้องห่วงว่าถ้าไม่ได้ไปดูหน้างานแล้วกลัวงานจะเสีย เพราะเรามีแอพพลิเคชั่น “บ้านเพื่อนแทร็กกิ้ง” ให้คุณตรวจสอบงานแบบ Real – Time ได้ตลอด 24 ชั่วโมงเลย


แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ อ่านเลย